Skip to content

สู่วิถีอสุรา 1058

ตอนที่ 1058 แซ่เป่ย สหายเก่า

กลางฟ้า เสียงเข่นฆ่าดังสนั่นฟ้าดิน เสียงครึกโครมดังก้องไปรอบๆ ไม่หยุด แสงหลากสีจากอภินิหารต่างๆ ราวกับดอกไม้ไฟที่ปล่อยมาใต้ฟ้า เกิดเป็นความงดงามอย่างยิ่งในเสี้ยวพริบตา

และยังมีโลหิตสด กลิ่นรุนแรงอบอวลไปรอบๆ เป็นการกระตุ้นผู้ฝึกฌานทุกคนที่นี่อย่างรุนแรง

เทียบกับสงครามระหว่างทั้งพันธมิตรเซียนกับสำนักดาราสัจธรรมแล้ว ที่นี่ตอนนี้เป็นเพียงสงครามส่วนเล็กเท่านั้น จำนวนคนที่เข้าร่วมเพียงสิบกว่าคน

ผู้ฝึกฌานจากพันธมิตรเซียนมีราวแปดหมื่นคนกับลังเข่นฆ่ากับผู้ฝึกฌานห้าหมื่นคน ที่ประจำการอยู่ตรงจุดเคลื่อนย้ายนี้

เมื่อสองวันก่อน ไม่รู้ว่าผู้ฝึกฌานแปดหมื่นคนจากพันธมิตรเซียนใช้วิธีอะไรบุกเข้ามาอย่างกะทันหัน วิธีเข้ามาก็คืออาศัยอาคมเคลื่อนย้ายของที่นี่ เดิมทีอาคมเคลื่อนย้ายนี้ส่งไปยังสำนักดาราสัจธรรมได้อย่างเดียว ทว่าคนพันธมิตรเซียนกลับปรากฏตัวกันมาจำนวนมาก ทำให้ศิษย์สำนักดาราสัจธรรมห้าหมื่นคนที่ประจำการอยู่ที่นี่ต้องทำสงครามอย่างไม่ทันตั้งตัว

เพียงสองวันผู้ฝึกฌานแปดหมื่นคนจากพันธมิตรเซียนตายไปเกือบสองหมื่นคน ศพพวกเขามีสภาพสมบูรณ์น้อยมาก ส่วนใหญ่จะกลายเป็นเศษซากลอยอยู่รอบๆ โลหิตลอยอยู่กลางฟ้า ส่งผลให้กลิ่นคาวเลือดเข้มข้นถึงขีดสุด

ราคาการตายของผู้ฝึกฌานพันธมิตรเซียนสองหมื่นคนคือศิษย์สำนักดาราสัจธรรมที่ประจำการที่นี่ก็มีคนตายไปสองหมื่นเช่นกัน เดิมทีผู้ฝึกฌานของสำนักดาราสัจธรรมแต่ละคนมีขั้นพลังสูงกว่าพันธมิตรเซียน ทว่าสงครามเกิดขึ้นอย่างกะทันหันจึงทำให้ศิษย์สำนักดาราสัจธรรมถูกโจมตีบาดเจ็บสาหัสในตอนแรก ดังนั้นจึงเกิดความเสียหายเท่ากัน

สงครามยังคงดำเนินต่อไป การสังหารยังคงขยายออกไป ผู้ฝึกฌานสองฝ่าย ตาแดงก่ำ ตอนนี้กลางกองกำลังของพันธมิตรเซียนมีลูกตายักษ์ลูกหนึ่งลอยอยู่ในฟ้า ลูกตาดวงนี้ฉายแววเย็นชา มองสนามรบอยู่ไกลๆ

ใต้ลูกตามีบุรุษที่แผ่กระจายขั้นพลังแกร่งกล้าล้อมเป็นวงกลมอยู่ พวกเขาเป็น ชายวัยกลางคนสามคน หนึ่งในสามคนนี้มีหน้าตาหล่อเหลา ถึงจะดูเป็นวัยกลางคน แต่กลับมีการเติบใหญ่จากนิสัยเข้มแข็งและอดทน คิ้วกระบี่ดวงตาดาราขยับวิบวับ จินตนาการได้รางๆ ว่าตอนเป็นเด็กหนุ่มจะต้องหล่อเหลาอย่างยิ่งแน่

เขาเอามือไพล่หลังยืนอยู่เงียบๆ ด้านหลังแบกคันศรใหญ่ สวมเสื้อคลุมยาวสีสันสวยงาม สีหน้าเรียบเฉยแต่น่าเกรงขาม สองคนด้านหลังมีพลังอำนาจไม่เท่า เป็นเพียงผู้ติดตามซ้ายขวาเท่านั้น

“ศิษย์พี่เป่ย ใกล้จะถึงสามวันแล้ว ด้วยความเร็วในการส่งข่าวของสำนักดารา สัจธรรม ต่อให้พันธมิตรเซียนมีวิธีขวางและยืดออกไป แต่หากล้มเหลว…” คนทางซ้ายชายเสื้อคลุมสวยงามกล่าวเสียงเบา

“ไม่ผิด ศิษย์พี่เป่ย ทดสอบได้สามวันก็เพียงพอจะสำเร็จภารกิจแล้ว ดูท่าสหายจากที่อื่นก็คงจะกลับกันแล้ว พวกเรา…ควรถอยหรือไม่?” คนทางขวาชายวัยกลางคนรีบพูดขึ้น

“พันธมิตรเซียนส่งพวกเรามาเพื่อให้ทดสอบปฏิกิริยาโต้ตอบของสำนักดาราสัจธรรมว่ากี่วัน ในด้านทฤษฎีวิชารอยต่อการเคลื่อนย้ายที่สตรีศักดิ์สิทธิ์ตระหนักรู้ขวางได้ เจ็ดวัน ทำให้สถานการณ์การรบทุกแห่งของสำนักดาราสัจธรรมเกิดการล่าช้าไป เจ็ดวัน

หากแค่สามวันพวกเราก็ถอยแล้ว ก็จะไม่รู้เวลาที่แม่นยำ” ชายเสื้อคลุมสวยงามตอบอย่างเรียบนิ่ง น้ำเสียงทุ้มต่ำ ให้ความรู้สึกว่าต้องเชื่อถือ

“เอ่อ…” คนทางซ้ายลังเลครู่หนึ่ง ขณะเหมือนจะกล่าวอะไรต่อ ชายเสื้อคลุมสวยงามพลันดวงตาขยับประกาย

“พันธมิตรไม่ได้สั่งให้ถอย เหนือพวกเรามีดวงตาของวิหารศักดิ์สิทธิ์อยู่ ใครบังอาจถอยโดยพลการล่ะก็! อย่าพูดมาก ส่งรถสงครามออกไป!” สิ้นคำพูดเขา คนทางซ้ายและขวาต่างลอบถอนหายใจเบา ก่อนมองลูกตายักษ์ที่ฉายแววเย็นชาอยู่ข้างบนโดยจิตใต้สำนึกแล้วก็ก้มหน้าลงขานรับทันที จากนั้นถอยหลังไปหลายก้าวไปออกคำสั่งกับผู้ฝึกฌานจากฝ่ายพันธมิตรทั้งสนามรบ

ท่ามกลางเสียงครึกโครมดังสนั่นยิ่งกว่าเดิม ฟ้ากระจ่างดาวข้างสนามรบเกิดการบิดเบี้ยว มวลอากาศกลายเป้นน้ำวนพร้อมกับมีวัตถุใหญ่โผล่มาเก้าอัน มันเป็น รถสงครามสีแดงฉาน มีเขายาวน่ากลัว มีความใหญ่หลายพันจั้ง ตอนที่พวกมันโผล่มาพร้อมเสียงครึกโครมนั้น ยังทำให้คนสำนักดาราสัจธรรมหน้าเปลี่ยนสีพร้อมกัน!

นี่คือรถสงครามที่รวมขึ้นจากกระบี่ใหญ่หลายหมื่นเล่ม มันมีสีแดงฉานราวกับย้อมด้วยโลหิต ตอนที่จิตสังหารแผ่กระจายมาจากตัวมันอย่างชัดเจน รถสงคราม เก้าคันนี้ก็พุ่งเข้าไปอยู่ในสนามรบ

เมื่อสถานการณ์รบดุเดือดขึ้นเรื่อยๆ ตอนนี้เอง ฟ้ากระจ่างดาวที่ห่างจากที่นี่ไปไกลยิ่ง ภายในเขตพันธมิตรเซียน บนดาวใหญ่ที่รวมขึ้นจากดาวเกือบร้อยดวง มีวิหารยักษ์ลอยอยู่กลางอากาศหลังหนึ่ง

วิหารมีสีสันหลากสี เปล่งแสงสว่างมากมาย บนแผ่นดินเงียบสงบ ไม่มีเสียงใดๆ ภายในวิหารมีหญิงนั่งฌานอยู่คนหนึ่ง

นางสวมเสื้อคลุมขาว หน้าตางดงาม ไม่มีคลื่นอารมณ์ใดๆ เย็นชาราวน้ำแข็ง ตรงหน้ามีลูกกลมลอยอยู่เก้าลูก ภายในลูกกลมทุกลูกมีภาพขยับวูบวาบไปมาไม่หยุด

หากมองดีๆ จะเห็นชัดว่าในลูกกลมเก้าลูกนี้คือสนามรบเก้าแห่ง ภายในลูกกลมที่สามคือพื้นที่สนามรบของชายแซ่เป่ย

หญิงชุดคลุมขาวมองลูกกลมเก้าลูกอย่างสงบนิ่ง สายตาจับจ้องหนึ่งในนั้นตลอดเวลา ภายในลูกตามีอักขระขยับไปมาเหมือนกำลังคำนวณอะไรบางอย่าง

เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า ขณะที่นางกำลังสังเกตสนามรบในลูกกลมเก้าลูกตลอด ภายในผืนฟ้าที่ชายแซ่เป่ยอยู่ เวลาผ่านไปสามวันแล้ว สนามรบขนาดย่อมแห่งนี้ดุเดือดถึงขีดสุด พันธมิตรเซียนตายไปจำนวนมาก ทว่าคนสำนักดาราสัจธรรมก็ต้องจ่ายไปมากเช่นกัน

จากเดิมทีห้าหมื่นคน ตอนนี้เหลือเพียงหมื่นกว่าคน ความเหนื่อยล้าอัดแน่นอยู่ในใจพวกเขา ความสิ้นหวังปกคลุมทั่วร่าง สหายข้างกายตายไปทีละคน กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งรอบๆ กับผู้ฝึกฌานพันธมิตรเซียนที่เข่นฆ่าอย่างบ้าคลั่งทำให้พวกเขาเหมือนจะสติแตกท่ามกลางความเหนื่อยล้าและสิ้นหวัง

“เหตุใดสำนักถึงยังไม่ส่งกำลังเสริมมา!”

“เมื่อก่อนตอนทำสงครามกับพันธมิตรเซียนกำลังเสริมจะอย่างรวดเร็ว แต่ว่า ครั้งนี้สามวันเข้าไปแล้ว เหตุใดถึงยังไม่มีใครมา!”

“ที่นี่คือจุดเคลื่อนย้าย เป็นจุดที่สำคัญอย่างยิ่งกับสำนักดาราสัจธรรม แล้วเหตุใด….พวกเขาถึงไม่มา!” คำถามเหล่านี้กลายเป็นเสียงร้องตะโกนในใจที่ดังชัดที่สุดจาก ผู้ฝึกฌานสำนักดาราสัจธรรมหมื่นกว่าคนที่ยังคงต่อสู้

“เกิดอะไรขึ้น!” ด้านหลังคนหมื่นกว่าคนของสำนักดาราสัจธรรม ข้างๆ อาคมเคลื่อนย้ายมีแท่นยักษ์อยู่เก้าแท่น พวกมันรวมขึ้นเป็นอาคมเคลื่อนย้าย ตอนนี้บนแท่นหนึ่งในนั้นมีชายชรายืนอยู่คนหนึ่ง ข้างกายยังมีชายวัยกลางคนอีกสามคนซึ่งมี สีหน้าซึมเศร้าและสิ้นหวัง

ชายชราคนนี้หลับตาอยู่ จิตใจทั้งหมดหลอมรวมเข้าสู่ในแท่นเรียบองค์ชาย ทว่าผ่านไปครู่หนึ่งเมื่อเขาลืมตาขึ้น เขาหน้าซีดขาว ก่อนเงยหน้ามองฟ้าข้างบน ตรงนั้นคือสนามรบที่สองนอกสนามรบที่นี่ ตรงนั้นมีผู้ฝึกฌานหลายสิบคนกำลังต่อสู้กัน หลายสิบคนนั้นมีเก้าเป็นฝ่ายสำนักดาราสัจธรรม เป็นของห้องโถงสงครามที่รักษาการณ์วงแหวนอาคมที่นี่ คนที่สู้กับพวกเขาคือผู้ฝึกฌานสิบเจ็ดคนจากพันธมิตรเซียน คนเหล่านี้อยู่ฟ้ากระจ่างดาวข้างบน กำลังเข่นฆ่ากันอย่างดุเดือด ต่างฝ่าย ต่างตรึงกันเอาไว้ ขั้นพลังพวกเขาล้วนเป็นภัยพิบัติจันทรา ซึ่งเป็นผู้แข็งแกร่งที่สุดใน ผู้ฝึกฌานที่นี่

‘ข้าส่งข่าวเตือนไปทางสำนักแล้ว แต่สามวันมาแล้ว….ยังไม่มีการตอบกลับ เกิดอะไรขึ้นกันแน่ เหตุใดถึงเป็นอย่างนี้!

ไม่มาช่วยก็ช่าง ข้าส่งข่าววิกฤตกาลของที่นี่เพื่อขอเปิดวงแหวนอาคมกลับสำนักดาราสัจธรรมแล้ว แต่ว่า…..ก็ยังไร้การตอบกลับ หากสำนักไม่เปิดวงแหวนอาคมสมควรตายนี่ คนนอกก็ไม่มีทางเข้าไปได้

ทว่า…..ผู้ฝึกฌานพันธมิตรเซียนระยำพวกนี้กลับใช้อาคมเคลื่อนย้ายมา พวกเขา….ทำได้อย่างไร!’ ดวงตาชายชราเต็มไปด้วยเส้นเลือดฝอย เขาคือผู้อาวุโสของศิษย์ที่รักษาการณ์อยู่ที่นี่ เป็นหนึ่งในผู้อาวุโสใหญ่แห่งห้องโถงผู้อาวุโส แต่ว่ายามนี้ ไม่ว่าเขาจะมีฐานะใดมันก็ไม่มีประโยชน์แม้แต่น้อย

เมื่อครู่เขาลองติดต่อสำนักอีกครั้ง แต่ก็ยังไม่มีการตอบกลับ ความสิ้นหวังจึง ปกคลุมทั้งกายและใจเขา

หากเขาหนี ข้ามเรื่องที่ว่าจะโชคดีหนีรอดหรือไม่ไปก่อน ต่อให้หนีไปได้จริงๆ ก็จะถูกสำนักลงโทษด้วยข้อหาทรยศ เว้นแต่จะเข้าร่วมพันธมิตรเซียน ทว่า… คนในตระกูลเขาจะทำอย่างไร พวกเขาอยู่ในผืนฟ้าที่สำนักดาราสัจธรรมควบคุมอยู่ หากเขาหนี เช่นนั้นคนในตระกูลเขา…ก็จะต้องสูญสิ้นไป

“ผู้อาวุโสใหญ่ เป็นอย่างไรบ้าง…” ชายวัยกลางคนสามคนข้างกายมองชายชรา

“เกรงว่ากำลังเสริมจากสำนักคงจะไม่มาแล้ว” ชายชราเอ่ยขึ้นด้วยความขมขื่น

สามคนเงียบ เสียงเข่นฆ่าข้างหู และยังมีเสียงร้องก่อนตายของศิษย์ในสำนักพวกเขาทำให้พวกเขาปวดใจ

“ผู้อาวุโสใหญ่ บางทีพวกเราอาจจะมีกำลังเสริม…..” ทันใดนั้น หนึ่งในชาย วัยกลางคนสามคนเงยหน้าขึ้นและพูดเร็วๆ

“ข้าจำได้ว่าเมื่อสิบวันก่อนเคยได้รับคำสั่งจากทางทะเลดาราต้นกำเนิดจิตว่าให้พวกเรารอกลุ่มขององค์ชายเต้าคงมาที่นี่ พวกเขาจะใช้อาคมเคลื่อนย้ายเข้าสำนักดารา สัจธรรม เลยให้พวกเราเตรียมตัวล่วงหน้าเอาไว้ ตามเวลาแล้ว พวกเขาน่าจะถึงแล้ว!”

“เต้าคง…..ข้ามเรื่องขั้นพลังเขาไปก่อน ถึงเขาจะมาจริงๆ แต่ผู้ติดตามจะมีเท่าไรเชียว? ย่อมไม่พออยู่แล้ว อีกอย่างแสงโลหิตที่นี่สว่างจ้า ด้วยนิสัยของคนสายตรงสำนักดาราสัจธรรมเกรงว่าคงจะอ้อมไปจุดเคลื่อนย้ายอื่นแล้ว จะมาที่นี่เพื่ออะไร”

“แต่ถึงอย่างไรเขาก็ได้รับแต่งตั้งเป็นผู้สืบทอด เป็นหนึ่งในสิบองค์ชาย……”

“แล้วอย่างไร เมื่อพันปีก่อนข้าเคยเจอเขาครั้งหนึ่ง ภายนอกดูจิตใจดี แต่ความจริงเย็นชาอย่างยิ่ง” ทุกคนเงียบ

“จงสู้จนตัวตาย!” ชายชรายิ้มด้วยความปวดร้าว เขาเงยหน้าคำรามขึ้นฟ้า เสียงคำรามดังก้องสนามรบ ส่งเข้าไปถึงหูศิษย์สำนักดาราสัจธรรมทุกคน

“จงสู้จนตัวตายเพื่อคนในตระกูลพวกเรา! หลังพวกเราตายไปแล้ว สำนักจะไม่ปฏิบัติอย่างไร้ความยุติธรรมกับคนในตระกูลพวกเรา สู้เถอะ เหล่าสหาย ใช้ชีวิตพวกเราแลกกับความสงบของคนในตระกูล

ก็แค่ตายไม่ใช่รึ พวกเจ้าจะกลัวอะไร!”

คำพูดเขาดังกึกก้อง ศิษย์สำนักดาราสัจธรรมทุกคนที่ได้ยินต่างร้องคำรามเสียงดังที่สุดในชีวิตภายใต้ความสิ้นหวัง พวกเขาตาแดงก่ำและบ้าคลั่งขึ้นมาแล้ว

“ก็แค่ตาย!” หมื่นคนตะโกนพร้อมกัน เสียงดังสนั่นสะเทือนฟ้าดินเกินกว่าเสียงฟ้าผ่า

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version