Skip to content

สู่วิถีอสุรา 1073

ตอนที่ 1073 ตอนนี้เข้าใจแล้วรึยัง?

“สวัสดีทุกคน…ข้ามีนามว่าเต๋อซุ่น…” คำพูดอย่างตื่นเต้นคล้ายยังดังก้อง เต๋อซุ่นดึงดูดความสนใจของผู้ฝึกฌานจำนวนมากได้ ประกาศการค้าขายของตนออกไปได้สำเร็จ คาดการณ์ได้ว่าการค้าขายในอนาคตของเขาจะต้องเป็นที่ประจักษ์เพราะวันนี้ และเกิดความก้าวหน้าแบบก้าวกระโดด

คนที่คิดวิธีแบบนี้ได้ย่อมไม่ใช่คนธรรมดา จะต้องมีความกล้าและแน่วแน่อย่างสูง ต้องเผชิญอันตรายถึงชีวิต เพราะหากเขาคาดเดาพลาด จะมีโอกาสสูงมากที่ต้องถูกฝังบนแท่นดอกบัว

ดังนั้นการเสี่ยงประกาศด้วยอันตรายถึงชีวิตนี้ ต่อให้เป็นซูหมิงก็ยังอึ้งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะหลุดหัวเราะเงียบๆ

อีกอย่างนอกจากเต๋อซุ่นจะเสี่ยงอันตรายแล้ว ยังต้องมีเบื้องหลังที่มั่นคงด้วย มิเช่นนั้นแล้วหากเกิดเหตุการณ์แบบนี้ในพิธีแต่งตั้งใหญ่ที่เข้มงวดนี้ ก็มากพอจะถูกสำนักดาราสัจธรรมลงโทษฐานก่อกวนสำนัก อย่างเบาขังตาย อย่างหนักก็ทำลายขั้นพลัง

แต่จะเห็นได้ว่าเต๋อซุ่นไม่ใช่คนเขลา มิเช่นนั้นคงไม่อาจคิดวิธีประกาศแบบนี้ได้ ดูแล้วคงจะมีที่พึ่งอยู่ จึงไม่กลัวว่าจะล่วงเกินผู้อาวุโสสำนักของที่นี่จนสร้างปัญหาให้ตนมากนัก

ชายชราขั้นเกิดบนแท่นดอกบัวตรงใจกลาง มองเต๋อซุ่นที่กำลังวิ่งไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วจนจะกลับไปถึงแท่นหินของตนด้วยแววตาโกรธกริ้ว เขาแค่นเสียงเย็นชา ทีหนึ่ง ระงับโทสะเอาไว้

“พวกคนชอบสร้างปัญหา หากมีคนอื่นทำแบบนี้อีก อย่าหาว่าข้าลงโทษด้วยกฎสำนักแล้วกัน!” เสียงชายชราขั้นเกิดพลันดังก้องไปรอบๆ พร้อมด้วยแรงกดดัน

“ไม่มีบทลงโทษเลยรึ?” ผู้ฝึกฌานสิบล้านคนรอบๆ แม้จะก้มหน้าลงทันที แต่กลับส่งกระแสจิตหากันอย่างรวดเร็ว

“พวกเจ้าคงไม่รู้กระมัง คนนามเต๋อซุ่นนั่นมีสายเลือดของผู้อาวุโสสำนักเป้ยปัง ผู้ดำเนินพิธีแต่งตั้งใหญ่ครั้งนี้….”

“ไม่อยากเชื่อว่าจะมีเรื่องแบบนี้? พูดเช่นนี้แล้วคนชื่อเต๋อซุ่นก็เป็นทายาทสายตรงด้วย ทว่าเหตุใดคนสายตรงถึงไปอยู่แผ่นดินใหญ่โลกข้างล่างได้?”

“ถ้าไม่อย่างนั้นแล้วผู้อาวุโสสำนักเป้ยปังจะบอกว่าเขาเป็นพวกสร้างปัญหารึ เรื่องนี้ข้ารู้มาเพียงเล็กน้อย เพราะว่าตอนนั้นข้าอยู่แผ่นดินเดียวกับเต๋อซุ่น จึงได้ยินเรื่องราวของเขามา เขามีพรสวรรค์พิเศษยิ่ง ทว่ากลับไม่ชอบฝึกฝน แต่ชอบการค้าขายเม็ดยาและยันต์วิญญาณเป็นพิเศษ ต่อมาก็แอบไปแผ่นดินโลกข้างล่าง จากนั้นก็ไม่กลับมาอีก ระหว่างนั้นมีเรื่องราวอีกมากมายที่ข้าไม่รู้”

เสียงจากกระแสจิตดังอื้ออึง ถึงเรื่องนี้ชายชราขั้นเกิดนามเป้ยปังจะรู้ แต่ก็เพียงขมวดคิ้ว ไม่ได้ไปสนใจมากนัก เขามีสีหน้าคร่ำเคร่ง ถลึงตามองเต๋อซุ่นที่ตอนนี้อยู่ในกลุ่มคนไกลๆ และกำลังวุ่นอยู่กับการสนทนากับคนโดยรอบอย่างตื่นเต้น บ้างก็ปลดอกเสื้อออก เผยเม็ดยาและยันต์วิญญาณจำนวนมากที่แขวนไว้ข้างใน เห็นดังนั้นเขาก็ลอบถอนหายใจ

กระเรียนขนร่วงอยู่ในถุงเก็บวัตถุของซูหมิง ด้วยพลังประหลาดของมันย่อมเห็นทุกอย่างที่เกิดขึ้นในโลกภายนอก ตอนนี้มันส่งกระแสจิตเสียงแหลมไปในจิตใจซูหมิง

“อัจฉริยะ นี่คือคนอัจฉริยะ ซูหมิง เจ้าว่าเหตุใดข้าถึงคาดไม่ถึงจุดนี้ ย่ากระเรียนมันเถอะ ข้าจะออกไปสร้างความน่าเกรงขามแบบนี้สักหน่อย ไปบอกกับทุกคนว่า ข้าจะรับซื้อหินผลึก รับซื้อหินผลึกจำนวนมาก!” กระเรียนขนร่วงตื่นเต้นเพราะการกระทำของเต๋อซุ่นอย่างชัดเจน มันร้องเอะอะเสียงดังพลางทำท่าจะพุ่งออกไป

“เจ้าจะเอาอะไรไปรับซื้อหินผลึก” ซูหมิงส่งกระแสจิตสายหนึ่งเอ่ยออกไปเรียบๆ ทำให้กระเรียนขนร่วงอึ้งไป ผ่านไปพักใหญ่ก็พูดไม่ออก ดูแล้วกำลังใคร่ครวญว่าตนจะเอาอะไรไปรับซื้อดี

ขณะที่กระเรียนขนร่วงกำลังขบคิด แท่นดอกบัวของซูหมิงพลันปรากฏร่างเงาคนขึ้นอีก การท้าประลองวนเวียนเป็นวัฏจักรก็เริ่มขึ้นอีกครั้ง

สี่ร้อยคน ห้าร้อยคน หกร้อยคน การสังหารของซูหมิงดำเนินต่อไปเรื่องๆ บนแท่นดอกบัว คนเหล่านี้ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขาเลย แม้จะสังหารมาตลอด แต่ซูหมิง กลับเริ่มขมวดคิ้วทีละน้อย

ก่อนหน้านี้เขารู้สึกผิดปกติเล็กน้อย กล่าวตามหลักแล้ว ภายใต้การสังหารแบบนี้ คนข้างนอกไม่มีทางเฮโลกันมาท้าประลองตนแบบนี้ ทว่าสถานการณ์ตอนนี้กลับไม่ต่างจากก่อนหน้านี้เลยสักนิด

ซูหมิงตรึกตรองอยู่ครู่หนึ่งก่อนยิ้มเยาะมุมปาก ในเมื่อคนขนาดนี้จะมาตายกันเอง เช่นนั้นก็อย่าโทษว่าข้าซูหมิงใจเหี้ยมโหด ถึงคนอื่นจะไม่เห็นภาพการสังหารบน แท่นดอกบัว แต่เมื่อเวลาผ่านไป ผู้ท้าประลองทั้งหมดตายตก ภาพเหตุการณ์แบบนี้ ก็มากพอจะสร้างความหวาดหวั่นกับคนนอกได้

หลังจากการท้าประลองวันแรกจบลง ผู้ฝึกฌานสิบล้านคนข้างนอกส่วนใหญ่เพ่งมองแท่นดอกบัวของซูหมิง เทียบกับแท่นดอกบัวคนอื่นๆ แล้ว ของซูหมิงพูดได้ว่าเป็นแสงโลหิตสว่างจ้า ภายในหมอกฝนที่ปรากฏขึ้นข้างบน ยามนี้มีอักขระสองตัวกำลังขยับแสงวูบวาบ

อักขระหนึ่งในนั้นบ่งบอกถึงจำนวนผู้ท้าประลอง และอักขระสีโลหิตอีกตัวบ่งบอกจำนวนคนที่ตายบนแท่นดอกบัวนี้

อักขระสีเลือดสื่อความหมายอย่างชัดเจนว่า มีคนตายไปมากกว่าพันคนแล้ว!

แต่แท่นดอกบัวอื่นๆ กลับไม่ดุเดือดเท่าซูหมิง อย่างมากสุดก็เพียงสี่ร้อยกว่าคน อย่างน้อยสุด….ก็เป็นของชายหนุ่มที่เคร่งขรึมกับชายวัยกลางคนผู้มีใบหน้าขาวซีดโรยแรงแต่สีหน้ากลับอ่อนโยน พวกเขาสองคนนั่งสมาธิอยู่ตรงนั้น ตั้งแต่เริ่มจนจบ ในวันนี้ไม่มีใครท้าประลองเลย

ดังนั้นแล้ว นอกจากแท่นดอกบัวของสองคนนี้ที่เด่นตาอย่างยิ่ง ก็มีของซูหมิงที่เป็นที่จับตามองพอๆ กับพวกเขา ฝั่งหนึ่งไม่มีใครกล้าท้าประลอง อีกฝั่งหนึ่งสังหารไปมากมาย เว้นแต่คนนามเต๋อซุ่น ผู้ท้าประลองสิ้นชีพกันทั้งหมด

บางครั้งชื่อเสียงก็มาจากการสังหาร อย่างเช่นซูหมิงในตอนนี้ สายตาผู้ฝึกฌาน สิบล้านคนรอบๆ ต่างเผยความเคร่งขรึม

สังหารคนพันคน จะต้องมีขั้นพลังในระดับหนึ่งถึงจะทำได้ และที่สำคัญที่สุดคือ ซูหมิงยังไม่ได้ใช้เสื้อคลุมยาวดอกบัวสมบูรณ์สูบพลังชีวิตเพื่อฟื้นฟูขั้นพลังเลย

เทียบกับองค์ชายคนอื่นที่ถูกท้าประลองในวันนี้ นอกจากชายหนุ่มผู้เคร่งขรึมกับชายวัยกลางคนที่ดูอบอุ่นแล้ว คนอื่นๆ ใช้การฟื้นฟูขั้นพลังอย่างน้อยที่สุดหนึ่งครั้ง อย่างมากสุดก็ฟื้นพลังหลายครั้ง

ทว่าถึงจะเป็นแบบนี้ แต่ก็ตัดสินได้ไม่ชัดเจนนัก ถึงอย่างไรแท่นดอกบัวทั้งหมดก็มีม่านแสงปกคลุม คนอื่นมองเห็นข้างในไม่ชัด ไม่รู้ว่าในบรรดาผู้ท้าประลองมีผู้แข็งแกร่งหรือไม่

แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม การสังหารคนพันคนในวันเดียวก็เป็นเรื่องชวนให้ตื่นตะลึง กลายเป็นเหมือนแรงกดดันค่อยๆ ปกคลุมจิตใจคนสิบล้านคนรอบๆ

เมื่อท้าประลองวันแรกสิ้นสุดลง ม่านแสงบนแท่นดอกบัวทั้งหมดหายไป ร่างเงาองค์ชายสิบคนรวมถึงซูหมิงข้างในก็เผยออกมาทีละคน ซูหมิงมีสีหน้าทะมึน ในวันนี้เขาก็เลี่ยนการสังหารมากเหมือนกัน สิ่งที่เขาต้องการคือสู้กับผู้แข็งแกร่งที่แท้จริง ไม่ใช่สังหารอย่างไร้ค่าแบบนี้

นอกจากนี้ซูหมิงยังสงสัยมากขึ้นเรื่อยๆ ในการสังหารวันนี้ โดยเฉพาะหลายร้อยคนในช่วงหลัง มีไม่น้อยที่ปรากฏตัวและเห็นซูหมิงแล้วก็งุนงงก่อน จากนั้นถึงค่อยลงมือ

หากเป็นคนเดียวก็ช่างเถิด แต่ทว่าในหลายร้อยคนมีมากกว่าครึ่งที่เป็นแบบนี้ แล้วจะไม่ให้เขาเกิดความสงสัยได้อย่างไร

เห็นได้ชัดมากว่าผู้ฝึกฌานเหล่านี้ไม่ได้จะท้าประลองเขา แต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดถึงถูกส่งมาบนแท่นดอกบัวของเขา

“การท้าประลองวันแรกสิ้นสุดลงแล้ว แต่ผู้ฝึกฌานอย่างเราย่อมไม่ต้องการเวลาพักมากนัก หนึ่งชั่วยามจากนี้จะเริ่มการประลองต่อ” ชายชราขั้นเกิดเป้ยปังกวาดสายตามองพวกซูหมิงสิบคน แล้วเอ่ยขึ้นเรียบๆ

คนอื่นๆ ไม่ได้คัดค้านคำพูดเขาอย่างชัดเจน แต่ซูหมิงดวงตาขยับประกาย ก่อนพูดเสียงเรียบนิ่งต่อหน้าผู้ฝึกฌานสิบล้านคนในพิธีแต่งตั้งนี้เป็นครั้งแรก

“ข้ามีคำถามข้อหนึ่ง” เสียงซูหมิงดังก้องไปรอบๆ ดึงดูดสายตาของคนสิบล้านคนที่นี่ทันที รวมถึงองค์ชายเก้าคนที่เหลือก็ต่างชำเลืองตามองเช่นกัน

ยามที่มองซูหมิง องค์ชายเก้าคนส่วนใหญ่มีสีหน้าสงบนิ่ง อ่านไม่ออกว่ายินดีหรือโกรธา

“พูดมา” ชายชราขั้นเกิดนามเป้ยปังตอบกลับราบเรียบ ชายชราหน้าดำหนึ่งใน ผู้อาวุโสสำนักสามคนข้างหลัง ดวงตาเป็นประกายเล็กน้อยอย่างที่ตรวจไม่พบ ก่อน ยิ้มเยาะขึ้นในใจ

“วันนี้ในหมู่ผู้ท้าประลองของแซ่เต้า มีไม่น้อยเลยที่ไม่ได้ท้าประลองข้า แต่เหตุใดถึงถูกส่งมาที่แท่นดอกบัวของข้าได้” ซูหมิงมองชายชราขั้นเกิดพลางถามขึ้นเนิบๆ

สิ้นเสียงเอ่ย ผู้ฝึกฌานสิบล้านคนรอบๆ ต่างมีสีหน้างุนงง แต่ไม่นานก็เหมือน มีบางคนเข้าใจจึงหัวเราะเบาๆ เสียงหัวเราะเบาๆ ของหลายคนรวมกัน กลายเสียงหัวเราะดังกังวานตรงจุดที่ผู้ฝึกฌานสิบล้านคนอยู่

เสียงหัวเราะนั้นแสบหูเล็กน้อย ราวกับกำลังเย้ยเยาะที่ซูหมิงไม่รู้

กระทั่งชายชราหน้าดำผู้นั้นยังหัวเราะ นอกจากชายหนุ่มผู้เคร่งขรึมและชายวัยกลางคนที่อบอุ่น องค์ชายคนอื่นอีกเจ็ดคนต่างส่งเสียงหัวเราะ ในรอยยิ้มเจือการดูถูก

“ในแดนเลื่องลือ เจ้าผ่านถึงด่านที่เท่าไร ผ่านได้กี่ขั้น?” ท่ามกลางเสียงหัวเราะจำนวนมากในหมู่คนสิบล้านคนรอบๆ ชายชราขั้นเกิดเป้ยปังขมวดคิ้วมองซูหมิง

ซูหมิงก็ขมวดคิ้วเช่นกัน

“ข้าจำได้ ท่านเต้าคงอยู่เพียงขั้นเจ็ดของด่านแรกในแดนเลื่องลือเท่านั้น” ชายหนุ่มผมยาวดวงตาหงส์หนึ่งในองค์ชายหัวเราะพลางพูดขึ้น

“เจ้าพูดผิดแล้ว ไม่ใช่ขั้นเจ็ด เต้าคงไม่ได้กลับมาพันกว่าปี แน่นอนว่าต้องตกขั้น ข้าจำได้ว่าเมื่อสามเดือนก่อนตกมาถึงขั้นหนึ่งแล้ว” ด้านข้างชายหนุ่มดวงตาหงส์ ชายวัยกลางคนซึ่งเป็นองค์ชายที่ตรงคอมีตำหนิแต่กำเนิดชัดเจนยิ้มเล็กน้อย พร้อมกล่าว

“เรื่องนี้จะโทษว่าผู้อาวุโสสำนักใหญ่เป้ยปังไม่อธิบายไม่ได้ ข้าจะอธิบายให้เจ้าฟังเอง อันดับขั้นของเจ้าในแดนเลื่องลือต่ำเกินไป แต่พวกข้าผ่านแดนเลื่องลือด่านแรกกันนานแล้ว กระทั่งองค์ชายเต้าหลินกับเต้าฝ่าสองท่านนี้ยังเป็นผู้แข็งแกร่งที่ผ่านด่านสองของแดนอันเลื่องลือแล้ว และยังมีสหายสิบล้านคนรอบๆ ก็มีมากมายที่อันดับ ขั้นสูงกว่าเจ้า ต่อให้พวกเขาท้าประลองพวกข้า แต่อันดับขั้นในแดนเลื่องลือไม่มากพอ ดังนั้นจึงถูกส่งไปที่เจ้า” ชายหนุ่มที่เป็นองค์ชายอีกคนยิ้มพลางอธิบาย

“ตอนนี้เจ้าเข้าใจรึยัง?” ชายชราขั้นเกิดเป้ยปังมองซูหมิงแวบหนึ่ง ถามขึ้นเรียบๆ อย่างไม่ใส่ใจแม้แต่น้อย

เมื่อคำพูดคนเหล่านี้ดังออกไป เสียงหัวเราะในคนสิบล้านคนรอบๆ ก็กระหึ่มมากขึ้น เสียงดังแสบหู ทำให้คนสายตรงและศิษย์ฝ่ายนอกที่สนิทสนมกับเต้าคงต่างมีสีหน้าทะมึนอย่างยิ่ง

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version