Skip to content

สู่วิถีอสุรา 1096

ตอนที่ 1096 ใครสร้างเทพโบราณ

“บางครั้งการเรียนรู้การลืมก็เพื่อให้เจ้ามีจิตใจจดจ่อสมาธิ…..” เสียงแก่ชรามาพร้อมกับการปลงอนิจจังแบบพิเศษเอ่ยพึมพำเบาๆ

ในความคิดซูหมิงเป็นเสียงแก่ชราดังก้อง ทุกอักษร ทุกคำ ทุกประโยค พอเขา ได้ยินแล้วจิตใจเกิดเสียงอึกทึก เขาเหมือนจะเข้าใจอะไรบางอย่าง แต่พอนึกดีๆ กลับหาไม่พบ

ขณะห้อเหยียดไป ซูหมิงในสายรุ้งยาวหลับตาลง นำความรู้สึกทั้งหมดรวมไว้ในจิตใจ ไม่ปล่อยออกมาแม้แต่น้อย ตามคำพูดแก่ชรา เขาจึงค่อยๆ จงใจลืมทุกอย่าง ลืมว่าตอนนี้ตนเป็นสายรุ้งยาวพุ่งเข้าไปปะทะกับหมัดของเทพโบราณ

ทุกอย่างพูดเหมือนง่าย แต่ความจริงแล้วกลับยากยิ่ง เพียงไม่กี่ลมหายใจก็เกิดเสียงดังสนั่นกึกก้องฟ้าดิน

ซูหมิงร่างสั่นสะท้าน ตอนที่ลืมตาขึ้น เขาเห็นร่างแหลกเป็นชิ้นๆ เห็นวิญญาณ ตนจากไป และก็เห็นเทพโบราณที่ระหว่างคิ้วมีเจ็ดดาวถอยไปพร้อมกับแขนขวาแหลกสลาย รวมถึงร่างกายเกือบครึ่งที่เชื่อมกับแขนขวา

“จิตใจเจ้าไม่สงบ การลืมของเจ้ายังไม่พอ ความรู้สึกและจิตใจเจ้ายังไม่ ผสานรวมกัน….อยากลองอีกครั้งหรือไม่?” เมื่อโดยรอบเงียบลง เสียงแก่ชราก็ดังก้องมาเนิบๆ

“เอาอีกรอบ!” แววตาซูหมิงเด็ดขาด เมื่อสิ้นเสียง กาลเวลาก็ย้อนกลับอีกครั้ง กลับมาอยู่ก่อนหน้านี้อีก จากนั้นเขาขยับวูบไหวกลายเป็นสายรุ้งยาวพุ่งไป ดวงตาสองข้างปิดลงทำการลืมทุกอย่าง มีเพียงหมัดของตนที่เป็นความตั้งใจหนึ่งเดียว

โครม!

เสียงโครมครามดังขึ้นอีกครั้ง ครั้งนี้ซูหมิงยังคงร่างแหลกสลาย แต่เทพโบราณเจ็ดดาวกลับกระเด็นถอยไป พร้อมกันนั้นแขนขวาแหลกเป็นชิ้นๆ กระทั่งร่างครึ่งหนึ่งยังเกิดการปริแตกจำนวนมาก ขณะถอยไปจึงเกิดเป็นแผลเหวอะหวะ

เพียงแต่ว่าร่างกายใหญ่มีพลังชีวิตแข็งแกร่ง แม้เทพโบราณจะได้รับบาดเจ็บเช่นนี้ แต่ก็ยังไม่ถึงตาย เพียงขณะถอยไปมีสีหน้าเหลือเชื่อ

“ยังไม่พอ บางที….เจ้าอาจจะไม่เหมาะจะทำทุกอย่างนี้ เจ้าเรียนรู้การลืมไม่ได้…..” เสียงแก่ชราถอนหายใจเบา ตอนที่เสียงดังก้อง ซูหมิงเงียบไปครู่หนึ่ง

“เอาอีกรอบ!”

“ครั้งสุดท้ายแล้ว หากเจ้าระเบิดร่างเทพโบราณได้ในครั้งเดียว ข้าจะช่วยเจ้าปรับ แก้การสะท้อนกลับต่อ หากเจ้าทำไม่ได้ เจ้าจะถูกส่งออกจากทะเลเต๋า” ขณะเดียวกับที่เสียงแก่ชราดังแว่วมา โลกตรงหน้าซูหมิงย้อนกลับมาอดีตอีกครั้ง

ครั้งนี้ซูหมิงไม่ได้เป็นสายรุ้งยาวพุ่งไป ตอนที่หมัดคนยักษ์เทพโบราณเจ็ดดาวเข้ามาใกล้ เขานั่งขัดสมาธิลง ตอนที่ยกมือขวาขึ้น ฟ้ากระจ่างดาวตรงหน้าเขาบิดเบี้ยวราวกับรวมขึ้นเป็นภาพหนึ่ง

ใช้ความรู้สึกเป็นน้ำหมึก ใช้จิตใจเป็นพู่กัน ลืมทุกอย่างรอบตัว รวมความรู้สึกและจิตใจทั้งหมดไว้ในภาพตรงหน้า ลืมตัวเอง ไม่ต้องหลับตา ทว่าทุกอย่างในโลกซูหมิงหายไป

นี่คือขอบเขตในอดีตอย่างหนึ่งของเขา นั่นคือวิชาวาดภาพที่ทำให้จิตใจสงบ ซูหมิงไม่เข้าใจวิธีที่ได้รับถ่ายทอดมาจากเสียงในทะเลเต๋ามากนัก แต่หากแค่ให้ลืม ทุกอย่างของตัวเอง เขามีอีกวิธีหนึ่ง

จิตใจสงบ นำความรู้สึกรวมกับจิตใจเป็นหนึ่งเดียว ลืมทุกอย่างของตัวเอง นี่คือจิตใจจดจ่อในสมาธิ!

จิตใจจดจ่อแบบนี้สามารถรวมพลังทั้งหมดทั่วร่างไว้ในจุดเดียว หากระเบิดออกมันจะไม่กระจายออกเลย เป็นเหมือนกับการวาดภาพ หากจิตใจไม่จดจ่อ หากจิตใจไม่สงบก็วาดไม่ได้

ซูหมิงในตอนนี้ไม่เห็นหมัดเทพโบราณที่พุ่งเข้ามา ไม่ได้ยินเสียงอุทานเบาของเสียงแก่ชราในจิตใจ เขาลืมทุกอย่างและตกอยู่ในภาพวาด รวมความรู้สึกทั้งหมด ตอนที่หมัดเทพโบราณพุ่งเข้ามา เขายกมือขวาขึ้นใช้นิ้วชี้วาดอากาศไปหนึ่งเส้น

หนึ่งลายเส้นราวตะขอ หนึ่งลายเส้นดุจสายรุ้ง…..

หนึ่งลายเส้นเข้าปะทะกับหมัดของเทพโบราณกลางอากาศ

เสียงครึกโครมดังสนั่นทั่วฟ้า ปลายนิ้วซูหมิงแตกละเอียด นิ้วมือ แขน ร่างกายรวมถึงภาพวาดยังระเบิดออกทั้งหมด

ทว่าเทพโบราณเจ็ดดาวกลับไม่ถอยไป แต่หมัดใหญ่กลายเป็นเถ้าธุลีหายไป รวมถึงแขน ร่างกาย เหลือเพียงหัวลอยลิ่วกระเด็นไป ถึงเขาจะยังไม่ตาย แต่ความหวาดกลัวทางสีหน้ากลับสร้างความตกตะลึงให้กับวิญญาณเขา เขาไม่นึกเลยว่าอีกฝ่ายที่สู้กับคนชุดคลุมดำอย่างยากลำบาก เหตุใด…..เพียงแค่โบกมือมาแบบง่ายๆ กลับทำให้ร่างใหญ่ยักษ์ของตนระเบิดออก ถึงแม้ว่าราคาที่อีกฝ่ายต้องจ่ายคือ ความตายก็ตาม แต่สำหรับเขาแล้วมันก็ยังน่าเหลือเชื่ออยู่ดี

“วิธีนี้ไม่เลว ทำให้เจ้ารวมพลังจากตัวเองได้แปดส่วน ทุกสิ่งมีชีวิตในโลกนี้ นอกจากบรรลุถึงขั้นดับสูญ ไม่มีใครรวมทั้งหมดของตัวเองไว้ในจุดเดียวโดยไม่กระจายออกได้เลย

เจ้ารวมได้ถึงแปดส่วนก็เหนือความคาดหมายข้าแล้ว เช่นนั้นต่อไป ข้าจะบอกเจ้าว่าจะตระหนักรู้แรงสั่นสะเทือนได้อย่างไร

จากที่ข้าศึกษาร่างเทพโบราณตนนี้ตรงหน้าเจ้า แรงสะท้อนกลับคือการต่อต้านอย่างหนึ่ง และก็เป็นการทำลายอย่างหนึ่ง เหมือนกับเจ้าโยนหินลงแม่น้ำ มันจะเกิดระลอกคลื่นกระเพื่อมขึ้นเป็นวงๆ หากเจ้ารวมทั้งหมดได้ ก็จะไม่เห็นคลื่นกระเพื่อม แต่ความจริงก็ยังมีพลังที่ขวางอยู่ การรวมไม่ให้กระจายออกข้างนอกของเจ้าเมื่อครู่นี้คือการเปลี่ยนพลังให้เป็นลักษณะปลายแหลม!

ทว่าแรงสะท้อนกลับคือการอาศัยพลังของเจ้าปะทะกับแรงต้านจึงเกิดเป็น พลังชนิดที่สาม! นั่นคือการใช้ประโยชน์ของพลังหนึ่ง ไม่ได้ซับซ้อนอะไรมากนัก จะบอกว่ามันคือต้นกำเนิดก็ได้ แต่ว่าผู้ฝึกฌานต่างแดนไม่เข้าใจจึงมองว่ามันลึกลับ ในความทรงจำข้า การใช้งานเกี่ยวกับพลังนี้เป็นเพียงความรู้ทั่วไปขั้นพื้นฐานมาก…..” ขณะที่เสียงแก่ชราดังกังวาน รอบตัวซูหมิงเกิดการย้อนกลับอีกครั้ง จนกลับมาก่อนหน้านี้ หมัดเทพโบราณกลางฟ้าพุ่งตรงเข้ามา

“ครั้งนี้ เจ้าไม่ต้องลืมทุกอย่าง แต่มองตัวเองเป็นภูเขา แต่อีกฝ่ายเป็นเพียง คนธรรมดาที่มีกำลังเยอะหน่อยเท่านั้น ด้วยกำลังของคนธรรมดาผลักภูเขา ดังนั้น เขาใช้พลังเท่าไรก็จะถูกสะท้อนกลับเท่านั้น

นี่ก็คือต้นกำเนิดการสั่นสะเทือนที่ต่างแดนพูดถึง เพียงแต่ว่าในด้านระดับ ความยากก็มีแค่เรื่องแรงสั่นสะเทือนหลายครั้งเท่านั้น ส่วนแรงสั่นสะเทือนหลายครั้ง ก็ไม่ได้สูงสุดที่เก้าครั้ง ที่บอกว่าสูงสุดที่เก้าครั้งนั่นเป็นเพราะผู้ฝึกฌานจากต่างแดน ไม่เข้าใจ…..ความจริงแล้วมีพลังชนิดที่สี่ด้วย เรียกว่าอาศัยแรงปะทะแรง”

ซูหมิงฟังคำพูดแก่ชราจนมึนงง เขารู้สึกคล้ายๆ ว่าอีกฝ่ายพูดมีเหตุผลมาก แต่ก็รู้สึกว่ามันสับสนไม่มีต้นสายปลายเหตุมากเช่นกัน

เสียงแก่ชราถอนหายใจเบา

“ช่างเถอะ เจ้าดูให้ดี” สิ้นเสียงซูหมิงตัวสั่นสะท้านโดยพลัน เขารู้สึกว่ามีดวงจิตดวงหนึ่งลงมาเยือนในร่างกายนี้ พริบตาเดียวก็ยึดการควบคุมร่างนี้ไป ทำให้เขากลายเป็นบุคคลที่สาม ได้สังเกตทุกอย่างของร่างกายนี้อย่างชัดเจน ถึงจะควบคุมไม่ได้ ทว่ากลับได้เห็นละเอียดยิ่งกว่าเดิม

ต่อมา ซูหมิงเห็นดวงจิตที่ลงมาเยือนควบคุมร่างกายนี้ให้พุ่งไปยังหมัดของ เทพโบราณกลางฟ้า หลังเข้าใกล้ในพริบตาแล้ว ช่วงที่ปะทะกับหมัดนั้น เขาหมุนตัวกลับเอาแผ่นหลังรับหมัดของเทพโบราณเอาไว้ จากนั้นยกมือขวาขึ้นตบหน้าอกตัวเองอย่างแรง

“หลังคนเราคือจุดที่หนาที่สุด ตรงนี้รับการโจมตีได้ดีที่สุด เพราะมันหนา ดังนั้นแรงสะท้อนกลับจึงมากขึ้น เจ้าดูให้ดี” เสียงดังก้องในใจซูหมิง

ตอนที่เขาตบฝ่ามือลงก็เป็นจังหวะเดียวกับที่หมัดของเทพโบราณชกเข้าใส่หลังเขา ราวกับว่าสองฝ่ายต่างชกหมัดออกไปโดยมีร่างกายนี้อยู่ตรงกลาง

ซูหมิงเห็นชัดเจนว่าเมื่อตบฝ่ามือลงไปแล้ว มีพลังทำลายล้างพุ่งเข้าสู่ร่างกายนี้ ทว่าตอนนี้เองหมัดของเทพโบราณจากข้างหลังก็ตามเข้ามาด้วยพลังทำลายล้างเช่นกัน ภายใต้การปะทะกันของพลังสองชนิดในร่างกาย ต่างฝ่ายต่างถอยออกจากในร่างกายนี้ไปพร้อมกัน ทำให้มือขวาร่างกายที่ดวงจิตนี้ควบคุมอยู่ถูกดีดออกจาก ตรงหน้าอก อีกทั้งยังทำให้เทพโบราณข้างหลังร่างสั่นสะท้าน ร่างซวนเซถอยไป หลายก้าว จนกระอักเลือดออกมาแล้ว แขนขวาก็แหลกสลายไป

แต่ที่แปลกคือโครงสร้างภายในร่างกายนี้ไม่ได้รับบาดเจ็บมากนัก เพียงแค่สั่นสะเทือนเล็กน้อยเท่านั้น

“เข้าใจรึยัง? การปะทะของพลังสองชนิด ไม่ใช่ว่าจะเกิดแต่การแหลกสลาย แต่ยังมีความเป็นไปได้ที่ต่างฝ่ายต่างแหลกสลายและถอยกลับ นี่คือการสั่นสะเทือน

ส่วนแรงสั่นสะเทือนติดกันหลายครั้ง พูดเหมือนง่าย แต่เจ้าดูให้ดี” ระหว่างที่เสียงแก่ชราดังก้อง ซูหมิงเห็นร่างกายที่ถูกดวงจิตควบคุมหมุนตัวกลับแล้วเดินหน้า ไปทางเทพโบราณตัวใหญ่ เทพโบราณเจ็ดดาวร้องคำรามด้วยความโกรธ จากนั้น ชกหมัดซ้ายเข้ามาด้วยสีหน้าหวาดกลัว

ทว่าช่วงที่หมัดมาอยู่ตรงหน้าร่างกายที่ถูกดวงจิตควบคุม ซูหมิงเห็นชัดว่าร่างกายนี้ถอยหลังไป คล้ายกับว่าถอยติดแนบไปกับหมัด อีกทั้งขณะถอย เพราะความเร็วเท่ากับความเร็วหมัดจึงไม่ได้รับบาดเจ็บมากนัก หลังจากหมัดเทพโบราณชกมาแล้ว ชั่วพริบตาที่พละกำลังแห้งขอด ร่างกายนี้พลันถอยกลับ แล้วเหมือนอาศัยแรงอีกฝ่ายชกหมัดใส่กำปั้นของเทพโบราณ

โครม!

ร่างเทพโบราณสั่นไหวพลางกระเด็นถอยไป แขนซ้ายทั้งหมดแหลกละเอียด สีหน้าดูบ้าคลั่ง ขณะที่ถอยไปเขายังอ้าปากกว้างคำรามเสียงดังสนั่นฟ้าใส่ซูหมิง

ขณะเดียวกันนั้น ดาวดวงหนึ่งตรงระหว่างคิ้วเทพโบราณแตกออก จากนั้น ก็ตามมาอีกดวง จนกระทั่งดาวแตกไปสี่ดวงแล้วถึงหยุดลง อีกสามดวงที่เหลือสีอ่อนอย่างยิ่ง ทว่าเสียงคำรามที่ใช้ดาวสี่ดวงเป็นราคาส่งผลให้จักรวาลพังลง ผู้ฝึกฌาน นับไม่ถ้วนข้างล่างยังมีไม่น้อยร่างสะเทือนจนแหลกกระจายภายใต้เสียงคำราม

รวมถึงร่างซูหมิงก็แหลกสลายไปท่ามกลางเสียงคำรามเทพโบราณเช่นกัน

“เทพโบราณเป็นสิ่งมีชีวิตประหลาด ข้าทำลายพละกำลังพวกเขาได้ แต่ว่า…..อภินิหารพรสวรรค์ของพวกเขา ข้าอยากจะศึกษาอย่างถ่องแท้ได้ในเวลาสั้นๆ เพียงแต่พอศึกษาไปเรื่อยๆ ข้ามักจะเกิดความรู้สึกคุ้นเคยจากในตัวเขา…..เหมือนกับว่าบางคนที่ข้ารู้จัก…..สร้างเผ่าเทพโบราณขึ้นมา!”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version