Skip to content

สู่วิถีอสุรา 1098

ตอนที่ 1098 ดวงตานั้น 2

โครม!

แผ่นดินเต่าทมิฬสั่นสะเทือน สัตว์ยักษ์เต่าทมิฬที่แบกแผ่นดินใหญ่เงยหน้าคำรามขึ้นฟ้า จากนั้นเหนือแผ่นดินเต่าทมิฬเกิดการบิดเบี้ยว ปรากฏรอยแยกยักษ์สายหนึ่งขึ้นราวกับถูกกระบี่ใหญ่ไร้รูปฉีกออกกลางอากาศ ภายในมีสายฟ้ามากมายไหลเวียน ซ้ำยังขยายออกไปข้างนอกเป็นการฉีกรอยแยกให้ใหญ่กว่าเดิม

ในเวลาเดียวกัน กลางมหาโลกสามรกร้าง ภายในโลกแท้จริงที่สี่หนึ่งในสี่มหาโลกแท้จริง ภายในฟ้ากระจ่างดาวที่ป็นผิวน้ำกว้างใหญ่ มีหินผุพังลักษณะประหลาด หลายพันก้อนลอยอยู่ บนหินทุกก้อนมีผู้ฝึกฌานนั่งอยู่หนึ่งคน

ผู้ฝึกฌานเหล่านี้สงบนิ่งมาก ราวกับว่าทุกคนเหมือนกัน เพราะสีหน้าพวกเขาล้วนมืดทะมึน เย็นชา และแฝงไว้ด้วยความเย็นเยียบและเงียบขรึมเหมือนมาจากนิสัย

ที่นี่ก็คือโลกแท้จริงที่สี่อันลึกลับ เป็นหนึ่งในสี่มหาโลกแท้จริงที่คนนอกไม่รู้ว่าเป็น….โลกแท้จริงคุมขังวิญญาณ!

ความลับของโลกนี้ ขนาดนามของมันยังมีน้อยคนนักในอีกสามโลกแท้จริงที่รู้ ผู้คนรู้เพียงว่ามีสี่โลกแท้จริง ต่อให้มีคนเคยไปสามโลกแท้จริงมาแล้ว แต่กลับไม่เคยไปโลกแท้จริงคุมขังวิญญาณมาก่อน!

การจะเข้าไปมีความยากกว่าเข้าแดนรกร้างต้นกำเนิดจิตหลายเท่า มีน้อยคนนัก ที่รู้ว่าเพราะเหตุใด ทว่าโลกแท้จริงที่สี่อันลึกลับและไม่มีใครสงสัยนี้เป็นที่พูดถึงของ ผู้ฝึกฌานอีกสามโลกแท้จริงเป็นประจำ

การคาดเดาต่างๆ ข่าวลือต่างๆ ยากจะรู้จริงเท็จ

ตอนนี้ผู้ฝึกฌานหลานพันคนกำลังนั่งฌานอยู่ ทันใดนั้นผืนฟ้าตรงหน้าพวกเขาเกิดเสียงครึกโครมดังสนั่นขึ้น รอยแยกยักษ์สายหนึ่งถูกฉีกออกและมีสายฟ้าไหลเวียนอยู่ข้างใน ภายใต้เสียงครึกโครม ตอนที่รอยแยกเปิดออก ผู้ฝึกฌานหลายพันคนที่นี่ต่างลืมตาขึ้น เผยประกายเย็นชา

โดยเฉพาะตรงหน้าสุดเป็นชายหนุ่มสวมชุดคลุมม่วง ดวงตาสองข้างเป็นเงาสะท้อนแสงสายฟ้าสีม่วง หน้าตาเขาหล่อเหลา หากซูหมิงอยู่ที่นี่จะต้องมองออกในแวบแรกว่าชายชุดคลุมม่วงคนนี้ก็คือ…..เซียนจื่อหลงคนที่ซูหมิงเคยร่วมเดิมทางใน เตาหลอมลำดับห้า อีกทั้งยังหนีไปกลางคันตอนให้คุ้มกันนอกทะเลลำดับห้า!

ข้างกายเขาเป็นชายชราคนหนึ่ง สวมเสื้อคลุมยาวสีฟ้า ใบหน้าแก่ชรา แต่กลับมีระลอกคลื่นพลังที่เหนือกว่าจื่อหลงกระจายออกไปในช่วงที่เขาลืมตา

“ไปเถอะ” ชายชรามองรอยแยกของฟ้าแวบหนึ่งแล้วเอ่ยเรียบๆ

เซียนจื่อหลงข้างๆ ขานรับ ก่อนเดินหน้าหนึ่งก้าวกระโดดลอยขึ้นจากหินผุพัง ผู้ฝึกฌานหลายพันคนข้างหลังต่างบินขึ้นพร้อมกัน กลายเป็นสายรุ้งยาวหลายพันสายพุ่งเข้าไปทางรอยแยก

ชายชราชุดคลุมฟ้าอยู่หลังสุด เขาเดินเข้าไปในรอยแยกด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง

ในเวลาเดียวกัน ในสำนักดาราสัจธรรม บนแผ่นดินใหญ่พยัคฆ์ขาวกับแผ่นดินใหญ่นกกระจอกแดงปรากฏรอยแยกมายายักษ์ขึ้นท่ามกลางเสียงคำรามสัตว์ร้ายพร้อมกัน ทันทีที่รอยแยกสองสายถูกฉีกออก สายฟ้าภายในก็ขยายออกไปยัง…..โลกแท้จริงหยินศักดิ์สิทธิ์กับโลกแท้จริงจักรพรรดิยมโลก!

ภายในโลกแท้จริงหยินศักดิ์สิทธิ์ กลางฟ้ากระจ่างดาวซึ่งเต็มไปด้วยไอหนาว มีกระบี่โบราณทองสัมฤทธิ์ยักษ์จำนวนมากเหมือนเพิ่งถูกขุดขึ้นมาจากหลุมศพโดยคนยักษ์ ในตัวมันแผ่เป็นกลิ่นอายเน่าผุและไอหนาว เหมือนกับมีความรู้สึกร่วมกันกับผืนฟ้า

เทียบกับคนหลายพันคนแห่งโลกแท้จริงที่สี่แล้ว ภายในโลกแท้จริงหยินศักดิ์สิทธิ์มีจำนวนเยอะกว่ามาก มองไปไม่เห็นกระบี่โบราณทองสัมฤทธิ์ทั้งหมด มีจำนวนราวๆ เกือบแสนเล่ม บนกระบี่โบราณทุกเล่มมีผู้ฝึกฌานหลายสิบคน ดังนั้นผู้ฝึกฌานที่นี่จึงมีมากกว่าหลายล้านคน

กองกำลังใหญ่เช่นนี้ บางทีอาจไม่เท่าไรสำหรับหนึ่งโลกแท้จริง ทว่าหากแค่เข้าร่วมพิธีแต่งตั้งใหญ่ของอีกโลกแท้จริง แต่กลับมีผู้ฝึกฌานหลายล้านคนมา เรื่องนี้…. มีกลิ่นที่ไม่ดีนักแล้ว

โดยเฉพาะบนกระบี่โบราณทองสัมฤทธิ์แสนเล่มแผ่กลิ่นอายพลังของยอดฝีมือมากถึงหลายสิบคน กระทั่งมีชายชราสองคนในนั้นทั่วร่างผอมแห้ง กลิ่นอายเน่าผุเข้มข้นอย่างยิ่ง ใบหน้าแก่ชราเหมือนลืมตาไม่ขึ้น ทว่าแรงกดดันจากตัวพวกเขากลับน่ากลัวจนฟ้าสั่นไหว

และยังมีชายชราที่อายุน้อยกว่ามากอีกคนข้างๆ ชายชราสองคนนี้ เขาก้มหน้ายืนอยู่ตรงนั้น หากซูหมิงเห็นจะต้องจำได้แน่ เพราะเขาคือ…..ยอดฝีมือขั้นเกิดใน ขุมอำนาจรักษาการณ์โลกแท้จริงหยินศักดิ์สิทธิ์แห่งแดนรกร้างต้นกำเนิดจิตที่สุดท้ายซูหมิงปล่อยเขาไป!

ยอดฝีมือแบบนี้ ตอนนี้กลับยืนราวกับเป็นผู้เยาว์ จะเห็นได้ว่าชายชราสองคนนั้นที่หมือนจะลืมตาไม่ขึ้นมีความแกร่งมากเพียงใด

ผ่านไปเพียงไม่กี่ลมหายใจ เมื่อรอยแยกยักษ์ถูกฉีกออกอย่างไร้รูปกลางฟ้า ตอนที่สายฟ้าไหลเวียนภายในทำให้รอยแยกเปิดอ้ามากกว่าเดิม ไม่มีใครกล่าวใดๆ เพียงแค่กระบี่โบราณทองสัมฤทธิ์วาดออกเป็นสายรุ้งยาวพุ่งเข้าไปในรอยแยกด้วยความเร็วทั้งหมด

เหมือนกลัวว่าหากช้าจะเข้าไปในรอยแยกสู่สำนักดาราสัจธรรมได้ไม่หมด แต่ตอนที่พวกเขาพุ่งเข้าไปในรอยแยก กลับเกิดเสียงดังสนั่นฟ้า เหมือนมีม่านแสง หนึ่งชั้นปรากฏขึ้นในรอยแยกขวางกระบี่โบราณทองสัมฤทธิ์เอาไว้

แต่ตอนนี้เอง ชายชราสองคนที่แก่จนเหมือนลมตาไม่ขึ้นลืมตาขึ้นเผยแสงสีเขียวขุ่น ในดวงตา สองคนนี้ยกมือขึ้นโบกไปข้างหน้า ภายใต้เสียงดังสนั่น ม่านแสงเกิดการ บิดเบี้ยวและพังทลายลง

เสี้ยวพริบตาเดียว กระบี่โบราณทองสัมฤทธิ์จำนวนมากก็มุดเข้าไปในรอยแยกทั้งหมด มีกระบี่โบราณเกือบสามหมื่นเล่มเข้าไป ทว่าช่วงที่กระบี่โบราณอีกเจ็ดหมื่นเล่มข้างหลังจะเข้าไป ทันใดนั้นปรากฏม่านแสงขึ้นอีกครั้ง ครั้งนี้บนม่านแสงมีหน้าคนลอยขึ้นมา

นั่นคือใบหน้าแก่ชรา รูปลักษณ์คือผู้เฒ่าจันทราหนึ่งในสามผู้เฒ่าตะวันจันทราและดาราในห้องโถงผู้อาวุโสสำนักดาราสัจธรรม!

“สหายโยวหมิงสองท่าน เกิดอะไรขึ้น ไม่เห็นต้องโกรธเช่นนี้เลย ทุกอย่างมักมีวิธีแก้ไขเสมอ เว้นแต่พวกเจ้าไม่อยากแก้ไข มีใจก่อสงครามแห่งโลกแท้จริง” เสียงแก่ชราดังเนิบช้ามาจากในใบหน้านั้น

ผู้เฒ่าโยวหมิงสองคนที่ผู้เฒ่าจันทราเอ่ยถึงจากโลกแท้จริงหยินศักดิ์สิทธิ์แค่นเสียงหึเย็นชาพร้อมกัน แต่กลับไม่ทำลายม่านแสงอีก และก็ไม่ได้ยึดมั่นจะให้กระบี่โบราณอีกเจ็ดหมื่นเล่มฝืนเข้าไปด้วย แต่สองคนนี้สะบัดแขนเสื้อ ม้วนชายชราคนที่เคยเฝ้ารักษาการณ์อยู่ในแดนรกร้างต้นกำเนิดจิตให้ลอยเข้าไปยังม่านแสง พริบตาเดียวก็หลอมรวมหายเข้าไป

พวกเขาสองคนไม่ได้จะก่อสงครามแห่งโลกจริงๆ ทุกอย่างก่อนหน้านี้เพียงแค่วางท่าเพื่อบ่งบอกให้รู้ถึงความโกรธและการตัดสินใจอย่างแน่วแน่เท่านั้น

ในเวลาเดียวกัน ภายในโลกแท้จริงจักรพรรดิยมโลก ภายในฟ้ากระจ่างดาวหมอกขมุกขมัว ทันใดนั้นหมอกม้วนตลบ ก่อนมีมังกรยมโลกจำนวนมากทะยานผ่านหมอกไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วและเงียบเชียบ

มองไปหมอกดุจดั่งทะเล มังกรยมโลกเหล่านั้นเหมือนกับสัตว์ยักษ์กลางทะเล แรงกดดันแผ่กระจายออก พวกมันมีมากกว่าพันตัว บนตัวมังกรยมโลกทุกตัวมี ผู้ฝึกฌานนั่งอยู่คนหนึ่ง ผู้ฝึกฌานเหล่านี้แต่ละคนเต็มไปด้วยกลิ่นอายมรณะประหลาด แต่กลิ่นอายพลังมรณะนี้ไม่สมบูรณ์ แต่มีพลังชีวิตอยู่ด้วย มองจากด้านสติปัญญา พวกเขาแล้วไม่ใช่หุ่นเชิด แต่เป็นผู้ฝึกฌานที่มีชีวิต

บนมังกรยมโลกยักษ์ที่ใหญ่กว่าตัวอื่นหนึ่งเท่าตรงหน้าสุดมีคนนั่งขัดสมาธิอยู่สองคน สองคนนี้เป็นชายหนึ่งหญิงหนึ่ง ชายหน้าตาหล่อเหลา สวมชุดคลุมดำ สวมมงกุฎสูง ถึงใบหน้าจะขาวซีด แต่ดวงตากลับเป็นประกายวาว ให้ความรู้สึกดดันคนอื่น

ข้างกายเขาเป็นหญิงคนหนึ่ง นางมีสีหน้าไร้อารมณ์ แต่ใบหน้ากลับงดงามยิ่ง ถึงจะนั่งขัดสมาธิอยู่ ทว่าก็ยังเห็นถึงร่างอรชรของนาง นางสวมกระโปรงยาวสีม่วง บนศีรษะปักปิ่นหงส์เอาไว้ มีไข่มุกร้อยลงมาหลายเม็ด เมื่อกระทบกันจะเกิดเสียง ดังติงๆ

แม้ว่าจะงดงาม แต่ใบหน้าไร้อารมณ์ของนาง โดยเฉพาะความเศร้าและเฉยชา ในแววตาเหมือนกับเสียวิญญาณไป และยังเหมือนว่าไม่สนใจต่อทุกเรื่องใดๆ ในโลก นี้แล้ว

ทุกคนที่รู้จักกับนางล้วนยากจะจินตนาการได้ว่านางเมื่อพันกว่าปีก่อนมีความ หลักแหลมเพียงใด เสียงหัวเราะปานกระดิ่งเงินเต็มไปด้วยความสุขเพียงใด และยังมีดวงตาจันทร์เสี้ยวยามยิ้มหยีตามีความเจ้าเล่ห์อยู่ จึงทำให้นางเต็มไปด้วยความ ปราดเปรียว

นางในตอนนั้นเป็นเด็กสาวที่ไม่มีความทุกข์ใด เต็มไปด้วยความดื้อรั้นและต่อต้าน เพราะไม่พอใจเรื่องงานแต่งจึงแอบพามังกรยมโลกโง่เขลาอยู่เล็กน้อยตัวหนึ่งหนีออกจากโลกแท้จริงจักรพรรดิยมโลก ระหว่างหนีงานแต่งงานก็ได้ไปถึงสถานที่หนึ่งที่เปลี่ยนโชคชะตานางไปชั่วชีวิต

ที่นั่น นางได้เจอกับชายคนหนึ่ง เป็นคนที่มีสีหน้าเย็นชา แต่กลับทำให้นางอยากยั่วยุ เป็นชายที่ถูกนางก่อกวนอยู่ข้างกาย และยังชอบแกล้งอยู่บ่อยๆ…..เป็นชายคนที่ทำให้นางมีความสุขจนลืมเรื่องงานแต่งไป….เป็นชายที่สุดท้ายนางยอมรับการโจมตี นั้นแทน!

พันกว่าปีมานี้ สำหรับคนธรรมดาคือสิบภพชาติ สามารถลืมอดีตทุกอย่าง แต่สำหรับผู้ฝึกฌาน ถึงพันกว่าปีจะยาวนาว แต่กลับไม่อาจลืมความเสียใจ ได้เพียงแต่นำความงดงามทุกอย่างซ่อนไว้ในก้นบึ้งหัวใจและหวนคะนึงคิดเงียบๆ

พันกว่าปีนี้ทำให้ผู้ฝึกฌานคนหนึ่งเติบใหญ่ จากความสุขเปลี่ยนเป็นใบหน้า ไร้อารมณ์ราวกับตายไปแล้วอย่างตอนนี้

นางในตอนนั้นเป็นดอกไม้ดอกหนึ่งกลางสายฝน นามของดอกไม้นั้นคืออวี่ นางคือดอกอวี่เซวียนที่เบ่งบานกลางสายฝน ยังคงยิ้มอย่างมีความสุข และรอคอย แสงตะวันขึ้นอย่างยึดมั่น

นางในตอนนี้ บางทีอาจจะยังเป็นดอกไม้กลางสายฝน แต่ดอกไม้นี้หมดแสงตะวันไปแล้ว ไม่มีรอยยิ้ม นางไม่เบ่งบานอีก แต่ลืมความสุขไป กลางสายฝน นางไม่ได้รอแสงตะวันอีก แต่รอ…..การโรยรา

นางนั่งอยู่ข้างกายชายหล่อเหลาด้วยสีหน้าเฉยชา ส่วนมังกรยมโลกใต้ร่างพุ่งเข้าไปยังรอยแยกยักษ์กลางฟ้ากระจ่างดาวตอนนี้ มุ่งหน้าสู่สำนักดาราสัจธรรม ไปที่นั่น ที่ที่นางยากจะลืมเลือน และยังทำให้จิตใจเกิดความเจ็บปวดในความด้านชามา จนถึงวันนี้

“อวี่เซวียน ผ่านทางเข้านี้ไปแล้วก็จะถึงสำนักดาราสัจธรรม โลกแท้จริงดาราสัจธรรม ถึงเจ้าจะเพิ่งตื่นมาไม่นาน แต่เจ้าอย่าลืมว่า…..ยิ่งเจ้าไม่อยากมาที่นี่มากเท่าไร ข้าก็จะยิ่งพาเจ้ามา ว่าที่คู่หมั้นของข้า

น่าเสียดาย คนคนนั้นไม่อยู่แดนมรณะหยินแล้ว ไม่รู้ว่าไปที่ใด หากข้าหาเขาพบก็คงจะดี ข้าจะได้เชิญให้เขามางานแต่งของเราด้วย” ชายหล่อเหลาหมุนตัวกลับมายิ้มมองนางแล้วพูดขึ้นเบาๆ

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version