Skip to content

สู่วิถีอสุรา 1099

ตอนที่ 1099 ดวงตานั้น 3

หัวใจนางกำลังเจ็บปวด แต่ใบหน้ากลับยังไร้อารมณ์ นางมีท่าทีเฉยชาต่อทุกอย่างในโลก ทำให้รอยยิ้มชายคนนั้นค่อยๆ กลายเป็นทะมึนทึบ สีหน้าเหยเกยทีละน้อย เขาจับคอหญิงคนนี้เอาไว้ บนมือมีเส้นเลือดดำปูดนูน สายตาจ้องนางเขม็ง

“นางสารเลว ข้าคือองค์ชายสามแห่งโลกแท้จริงจักรพรรดิยมโลก ทุกอย่างที่ ข้าต้องการไม่เคยไม่ได้มาก่อน เจ้าสร้างความอัปยศให้ข้ามาพันกว่าปี การหนีงานแต่งของเจ้าทำให้ข้ากลายเป็นตัวตลกของโลกแท้จริงจักรพรรดิยมโลก และอีกสามโลกแท้จริงยังรู้เรื่องนี้ด้วย

เจ้ามันสารเลว เจ้ารู้หรือไม่ว่าเรื่องนี้หนักหนาเพียงใด หากเจ้าแค่หนีงานแต่งไป ก็ไม่เท่าไร ข้าเข้าใจความลำบากใจของเด็กสาว แต่เจ้าดันไปรู้จักคนเถื่อนยังแดน ป่าเถื่อนนั่น และยังสละปราณแท้จริงประจำตัวเพื่อเขา เจ้ายอมเกือบตายจริงๆ เพื่อเขา เจ้ามันสารเลว!” ชายคนนั้นเอ่ยพลางมีสีหน้าเหยเกยมากขึ้นเรื่อยๆ มือบีบคอหญิงสาวเอาไว้แน่น ทำให้นางแทบหายใจไม่ออก แต่ดวงตานางยังคงเย็นชามอง ชายตรงหน้าอย่างเฉยชา ไม่พูดอะไรราวกับซ่อนการเย้ยเยาะเอาไว้

“ไม่พูดใช่หรือไม่ ข้าจ่ายพลังบริสุทธิ์ไปมากเพื่อคืนชีพให้เจ้า ข้าไปขอร้องท่านพ่อเพื่อให้คืนชีพเจ้า ข้าอยากให้เจ้าฟื้นกลับมา เพราะข้าจะย่ำยีเจ้า ให้เจ้าได้รู้ว่าได้ทำผิดพลาดหนักหนาเพียงใด!

หากเจ้าคนเถื่อนนั่นตายไปแล้วก็ช่าง แต่หาก…..”

“เขาจะไม่ตาย!” หญิงสาวเอ่ยเสียงแหบแห้ง สีหน้าเฉยชาเปลี่ยนเป็นเย็นชา สายตามององค์ชายสามแห่งโลกแท้จริงจักรพรรดิยมโลก

เพี๊ยะ ชายหล่อเหลาหัวเราะเสียงดังพร้อมตบหน้าหญิงสาวทีหนึ่ง การกระทำเขาอยู่ในสายตาผู้ฝึกฌานโลกแท้จริงจักรพรรดิยมโลกพันกว่าคนรอบๆ แต่ไม่มีใครพูดอะไร เพียงเบนสายตาหนี

“ฮ่าๆ ในที่สุดเจ้าก็พูด ไม่ตายรึ ข้าก็หวังว่าเขาจะยังไม่ตายจริงๆ เหมือนกัน ข้าหวังให้เขายังอยู่ เพราะข้าจะหาเขา ข้าจะให้เจ้าเจ็บปวดต่อหน้าเขา” นัยน์ตา ชายหล่อเหลาฉายแววหมกมุ่นในกามรมณ์ เกิดตัณหาลุกโชนในดวงตา

“หากเจ้าไม่กลัวคำสาปกลืนยมโลก ข้าจะไม่ต่อต้าน” หญิงสาวเอ่ยราบเรียบ บนใบหน้าตรงจุดที่ถูกตบค่อยๆ หายเป็นปกติ

สิ้นเสียงนาง ชายคนนั้นหน้าบิดเบี้ยวทันที สายตาจ้องนางเขม็ง

“คำสาปกลืนยมโลก เป็นคำสาปที่บิดาเจ้ากระทั่งทั้งตระกูลเจ้าใช้เพื่อปกป้องเจ้าตอนตาย อีกทั้งยังจ่ายให้กับวิญญาณ มันไม่มีทางปกป้องเจ้าได้ชั่วชีวิต ข้าจะให้ ท่านพ่อทำลายล้างตระกูลเจ้า รวมถึงลบคำสาปของเจ้าด้วย

ท่านพ่อรับปากกับข้าแล้ว ขอเพียงข้าบรรลุถึงขั้นกุมเขาจะทำตามความต้องการข้า ความต้องการของข้าก็คือเจ้า สูบต้นกำเนิดหยินของเจ้า มันจะกระตุ้นพลังแห่งสายเลือดข้าได้ นึกไม่ถึงจริงๆ ว่าเจ้าตื่นมาแล้วจะช่วยบำรุงพลังยมโลกได้!” ช่วงที่ ชายคนนั้นยิ้มพลางกล่าวขึ้น เขาจับคางหญิงสาวเอาไว้แล้วดันใบหน้าเข้ามาใกล้อย่างเบามือ จากนั้นเป่าลมข้างหู

“รอข้า อีกไม่นานจะถึงวันนั้นแล้ว ในเมื่อเจ้าบอกว่าเขายังไม่ตาย เช่นนั้นข้าจะหาเขา เจ้าวางใจเถอะ ข้าทำได้แน่” ชายคนนั้นหัวเราะเสียงดัง ก่อนสะบัดมือขวาผลักใบหน้าหญิงสาวออกไปทางขวา ตอนนี้เองมังกรยมโลกของเขาก็ร้องคำรามพุ่งเข้าไปในน้ำวนกลางฟ้า

ใบหน้าหญิงสาวถูกผลักไปทางขวา สิ่งที่ไปพร้อมกันยังมีน้ำตาหยดหนึ่งที่ชาย คนนั้นมองไม่เห็น มันหายไปในน้ำวน ในเวลาเดียวกันก็ถูกพาเข้าไปในโลกแท้จริงดาราสัจธรรม บินเข้าไปในอากาศ ไม่รู้ว่าไปที่ใด

“ฝนตกรึ?” ซูหมิงเงยหน้าขึ้นมองฟ้า ท้องฟ้าที่นี่เป็นสีคราม ราวกับมีอีกโลกหนึ่ง ข้างกายเขาเป็นเต้าหลินกับเต้าฝ่า ตรงหน้าเขาเป็นหอคอยสูงตระหง่าน

ที่นี่เงียบสงบมาก ไม่มีเสียงใดๆ เลย ซังคนที่พาพวกเขามาพอมาถึงที่นี่แล้วก็ไม่สนใจสามคนนี้อีก แต่นั่งขัดสมาธิอยู่ตรงขอบแท่นบวงสรวงราวกับรักษาการณ์อยู่ หลับตานั่งฌานอยู่ตรงนั้นเงียบๆ

น้ำฝนหนึ่งหยดตกบนใบหน้าซูหมิง มันมาจากฟ้าเพียงหยดเดียว ไหลไปตามแก้มเขา ผ่านข้างริมฝีปาก ทำให้เขารู้สึกถึงรสชม

ในโลกนี้ บางครั้ง บางเรื่องราว ถึงจะเป็นผู้ฝึกฌานก็ยังไม่เข้าใจ ไม่รู้ อย่างเช่นน้ำฝนหรือน้ำตา ดูแล้วแยกไม่ออกเลย แต่เมื่อสัมผัสปากจะสัมผัสได้ถึงความจืด ของฝน และความขมของน้ำตา

เพียงแต่ว่าทุกคนมีดวงตา ทว่าต่อให้เป็นผู้ฝึกฌานที่บรรลุถึงระดับที่ไม่อาจจินตนาการแล้วก็ยังยากจะรู้ผ่านน้ำตาว่านี่…..เป็นของใคร

บางทีอาจมีขั้นพลังหนึ่งที่ทำได้ แต่ซูหมิงทำไม่ได้

‘ไม่ใช่ฝน นี่มันน้ำตา’ ซูหมิงมองฟ้า แต่ไม่พบร่างเงาใดๆ นี่คือน้ำตาหยดหนึ่ง ไม่รู้ถูกสะบัดมาจากที่ใด

เหมือนกับมีพลังบางอย่างพามันมาหาเขา ถ้าไม่อย่างนั้นแล้วเหตุใดน้ำตาถึงมาที่นี่ ถ้าไม่อย่างนั้นแล้วเหตุใดน้ำตาถึงตกบนหน้าเขา ให้เขารู้สึกถึงความขมและฝาดในนั้น

‘เป็นน้ำตาของใคร…..บางทีอาจเป็นของนาง…..’ ซูหมิงก้มหน้าลงอยู่นอกแดนปิดด่านนั่งฌานของเต้าเฉิน สิ่งที่ลอยขึ้นมาในความคิดไม่ใช่ความลังเลฐานะของเต้าเฉิน แต่เป็น…..เสียงข้างหูที่เขาคิดว่าลืมไปแล้ว ทว่าความจริงฝังลึกในวิญญาณ ตอนเป็นเด็กหนุ่มมันปรากฏมาบ่อยครั้ง แต่ตอนนี้ไม่ได้ดังมาพันกว่าปีแล้ว

“พี่ชาย….พี่ชาย…..”

‘น้องสาวข้า’ ซูหมิงมองไปบนแท่นบวงสรวงตรงหน้า บางทีที่นั่นก็คือแดน นั่งฌานของเต้าเฉิน แต่ในความทรงจำซูหมิง เขาจำเด็กหญิงที่เรียกตนว่าพี่ชายได้ สุดท้ายนางถูกคนพาไป เล่าลือว่าถูกขังอยู่ที่สำนักดาราสัจธรรม

ซูหมิงรู้สึกว่าตอนนี้ริมฝีปากยังมีความขมฝาดรางๆ เขานึกไปถึงตอนที่วิญญาณยังอยู่ในร่างจริง นึกถึงเงามืดในความทรงจำ และยังมีเสียงเด็กหญิงที่อยู่ข้างหูมาหลายปี

คำเรียกพี่ชายเหล่านั้น เดิมทีเขาคิดว่าตนลืมไปแล้ว แต่เขาจะลืมได้อย่างไร

เขายืนอยู่ตรงนี้เงียบๆ บอกไม่ถูกว่ารู้สึกอย่างไร เค้าลางต่างๆ เผยออกมาชัดเจน ไม่ต้องสงสัยอีกแล้วว่าเต้าเฉินคนนี้….ก็คือซูเซวียนอี!

อีกทั้งน้องสาวในความทรงจำหรือบุตรสาวของเทพหมานรุ่นสอง เด็กหญิงที่ เติบใหญ่มาพร้อมกับเขาก็ถูกเต้าเฉินพาตัวไป หรือก็คือซูเซวียนอีพาไป

ซูหมิงเงียบ เขาไม่รู้ว่าเด็กหญิงคนนี้มีความหมายอย่างไรกับซูเซวียนอี และก็ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดซูเซวียนอีถึงทำแบบนี้ เขายังหวังอีกว่านี่เป็นความเข้าใจผิดของตน

“เต้าหวา ขึ้นแท่นบวงสรวง!” ซังบนแท่นบวงสรวงลืมตาขึ้น สายตามอง ชายวัยกลางคนนามเต้าหวาหนึ่งในสามใต้เท้ารวมซูหมิง

เต้าหวาใจสั่นสะท้าน สีหน้าดูตื่นเต้น เขาเดินหน้าหนึ่งก้าวแล้วคารวะ แท่นบวงสรวง จากนั้นเดินขึ้นแท่นบวงสรวงไปทีละก้าวด้วยสีหน้าฮึกเหิมและเคารพ กลัวแค่ว่าเดินเร็วไปอาจจะทำให้คนอื่นรู้สึกว่าไม่เคารพได้

จนกระทั่งเขาเดินมาอยู่บนแท่นบวงสรวง ทันใดนั้นเขาตัวสั่นไปทั่วร่าง ร่างเงาพลันเลือนราง ทว่าไม่กี่ลมหายใจก็ชัดเจนขึ้น ใบหน้าเขามีความดีใจยิ่ง ทั่วร่างเปล่งแสงทองวูบวาบหมื่นจั้ง ดอกบัวอุดมสมบูรณ์รวมขึ้นเป็นดอกบัวยักษ์เก้าดอก บนเสื้อคลุม ภายใต้การหมุนวน ขั้นพลังเขาจากเจ้าปกครองโลกสมบูรณ์ทะยานขึ้นจนรวมออกมาเป็นภัยพิบัติจันทรา จากนั้นดวงจันทร์ภัยพิบัติแตกออก ปรากฏเป็น ดวงตะวันภัยพิบัติ!

“ขอบคุณท่านบรรพบุรุษ ขอบคุณท่านบรรพบุรุษ!” เต้าหวาคุกเข่าบนแท่นบวงสรวงทันที เขาเอาหัวโขกติดกันหลายครั้ง สีหน้าตื่นเต้นและฮึกเหิมจนถึงขีดสุด ราวกับว่าตอนนี้ขอเพียงบรรพบุรุษเต้าเฉินต้องการสิ่งใด เขาจะปฏิบัติตามอย่างไม่ลังเล

หลังเอาศีรษะโขกคารวะแล้ว เต้าหวาก็ถอยไปด้วยความตื่นเต้นและเคารพ จนกลับไปอยู่ข้างกายซูหมิง สีหน้าเขาเต็มไปด้วยความตื่นเต้น ประหนึ่งว่าตอนนี้ ต่อให้เป็นซูหมิงก็ไม่ได้สร้างอำนาจคุกคามกับเขามากนักแล้ว โดยเฉพาะดวงตาขยับประกายวาวพิลึก ในนั้นมีอักขระอยู่เลือนๆ ก่อนหน้าที่เขาจะขึ้นแท่นบวงสรวงยังไม่มีด้วยซ้ำ เห็นได้ชัดว่าการพบบรรพบุรุษครั้งนี้ไม่เพียงแต่เปิดการใช้งานเพียงดอกบัวอุดมสมบูรณ์กับทะลวงขั้นพลังอย่างพุ่งพรวดเท่านั้น แต่ยังได้รับโชควาสนาอื่นๆ ด้วย

“เต้าหลิน!” ซังที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนแท่นบวงสรวงกล่าวเรียบๆ

เต้าหลินมีสีหน้าเคร่งขรึม ภายในสีหน้ายากจะปกปิดความตื่นเต้นเอาไว้ แต่ก็ดีกว่าเต้าหวาไม่น้อย ตอนนี้เขาสูดลมหายใจเข้าลึก ก่อนก้าวเท้ายาวขึ้นแท่นบวงสรวงไปทีละก้าวพร้อมด้วยกลิ่นอายหนาวเยือกเป็นพิเศษจากตัวเขา วินาทีที่ยืนนิ่งบน แท่นบวงสรวง ซูหมิงเห็นว่าร่างเต้าหลินสั่นไหวพร้อมกับเลือนราง

ช่วงเวลาเลือนรางก็มากกว่าเต้าหวาราวสิบกว่าลมหายใจ จนร่างเงาเขากลับมาเป็นปกติจากสภาพเลือนรางแล้ว ความเย็นชาในแววตาหายไป แต่ถูกความฮึกเหิมและตื่นเต้นอย่างรุนแรงเข้ามาแทนที่ ขั้นพลังเขาพลันปะทุขึ้น จากเดิมทีถึงภัยพิบัติตะวันอยู่แล้ว เวลานี้ภายใต้การปะทุ พริบตาเดียวดวงตะวันภัยพิบัติก็แตกออก กลายเป็นสายฝนชโลมทั่วร่าง ตอนที่ฝนแห่งดวงตะวันภัยพิบัติตกลงมา เต้าหลินเงยหน้าตะโกนเสียงลากยาว ขั้นพลังในร่างกายพลันเพิ่มขึ้น…..จากภัยพิบัติตะวันก้าวสู่ยอดฝีมือ กลายเป็นผู้แข็งแกร่งขั้นกุม!

ขณะที่เขายังคำรามเสียงลากยาว มีเสียงกึกๆ ดังมาจากในร่าง ไม่เพียงแต่ขั้นพลังพุ่งพรวดเท่านั้น แม้แต่ร่างกายเขายังแกร่งขึ้น แสงจากดอกบัวอุดมสมบูรณ์สว่าง วูบวาบ รอบตัวเขาปรากฏดอกบัวล้อมรอบสิบสองดอก

“เต้าหลินขอขอบคุณท่านบรรพบุรุษ!” เต้าหลินมีสีหน้าตื่นเต้น เมื่อคุกเข่าโขกศีรษะเหมือนกันเต้าหวาเก้าครั้งแล้วก็ยืนขึ้นหันไปประสานมือคารวะซังอีกครั้ง ก่อนเดินกลับไปอยู่ข้างซูหมิงด้วยความตื่นเต้นและดีใจ ในดวงตามีอักขระที่ซับซ้อนยิ่งกว่าของเต้าหวาขยับวูบวาบ

“เต้าคง…..” ซังมองซูหมิง ในดวงตามีความเมตตาโผล่มาพริบตาเดียวก็หายไป หากไม่สังเกตดีๆ จะไม่เห็น แต่จะเห็นเพียงความสงบนิ่งดังสายน้ำ

ซูหมิงเงยหน้าขึ้นมองซังแวบหนึ่ง จากนั้นเดินหน้าไปเงียบๆ ไม่ได้ฮึกเหิมแบบ เต้าหวา ไม่ได้ดูเหมือนเคร่งขรึมแต่ซ่อนความตื่นเต้นเอาไว้แบบเต้าหลิน แต่เดินไปอย่างสงบนิ่งมาก

ไม่มีใครเข้าใจจิตใจเขาตอนนี้ว่าซับซ้อนเพียงใด…..และกังวลเพียงใด

ความกังวลไม่ใช่ความยำเกรง ไม่ใช่ความกลัว แต่เป็นความรู้สึกที่อธิบายไม่ถูกหลังจากเกิดมาแล้วไม่เคยเจอบิดามาก่อน จนหลายปีต่อมาได้มาเจอกัน

ทว่าคนที่กังวลและซับซ้อนเหมือนกันไม่ใช่เพียงซูหมิง แต่ยังมีร่างเงาในมิติเชื่อมกับแท่นบวงสรวงที่กำลังนั่งขัดสมาธิอยู่ตรงนั้น สายตามองกลองป๋องแป๋งตรงหน้า

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version