Skip to content

สู่วิถีอสุรา 1347

ตอนที่ 1347 ตระหนักถึงความน่าทึ่งของจักรวาล

หลังตรึกตรองอยู่ชั่วขณะ ซูหมิงกวาดสายตามองไปรอบๆ สุดท้ายละสายตากลับมามีสีหน้าสงบนิ่ง ก่อนเดินหน้าพาวิญญาณเงามืดในมือตรงไปยังช่องโหว่สี่ปีกซางเซียง

ห่างจากช่องโหว่ใกล้เรื่อยๆ จนกระทั่งซูหมิงเข้าไป ข้างหลังไม่มีร่างเงาสิ่งมีชีวิตประหลาดปรากฏกายอีก เหมือนว่าการต่อสู้ครั้งนี้ทำให้ซูหมิงกลายเป็นเจ้าปกครองที่นี่ในสายตาและใจของสิ่งมีชีวิตประหลาดเหล่านี้

มีเพียงตอนที่เข้าไปในช่องโหว่ที่วิญญาณเงามืดในมือจะดิ้นรนอย่างอ่อนแรงอีกครั้ง จนเมื่อซูหมิงเข้าไปในโลกซางเซียงแล้ว วิญญาณเงามืดพลันตัวสั่น ร่างกายบิดเบี้ยวเหมือนจะถูกลบไป ดวงตาซูหมิงขยับประกายวาวก่อนผลักออกไปข้างนอก วิญญาณเงามืดจึงถูกส่งออกจากช่องโหว่ทันที ไปอยู่กลางจักรวาลกว้างใหญ่

วิญญาณเงามืดที่รอดตายตนนี้อึ้งอยู่กลางจักรวาลกว้างใหญ่นอกช่องโหว่ แม้มันจะไม่มีสติปัญญามากนัก แต่ก็รู้ว่าเมื่อครู่นี้ตนเกือบเอาชีวิตไม่รอด ตอนนี้มองซูหมิงภายในช่องโหว่

มองไปมองมาในแววตาวิญญาณเงามืดตนนี้มีความเคารพเพิ่มมา จากนั้นหมุนตัวขยับวูบหายวับไป

ซูหมิงมองวิญญาณเงามืดหายไปด้วยแววตาเหมือนมีความคิด สิ่งมีชีวิตในจักรวาลกว้างใหญ่ไม่ได้มีสติปัญญามากนักจริงๆ แต่ก็ยังมีสัญชาตญาณพื้นฐานสุด อีกทั้งซูหมิงยังเห็นความเคารพนั้น แต่กลับลังเลเล็กน้อย ตามหลักสติปัญญาของสิ่งมีชีวิตแล้ว ควรจะโกรธมากกว่าซาบซึ้งใจ

สิ่งมีชีวิตที่มีแต่สัญชาตญาณเหล่านี้พวกมันโกรธแค้นได้ แต่หากอยากจะเรียนรู้ความซาบซึ้งใจก็ต้องมีสติปัญญา ขณะซูหมิงกำลังตรึกตรองในใจพลันสั่นไหว เขานึกไปถึงตอนที่วิญญาณเงามืดนั้นถูกพาเข้าไปในโลกซางเซียงแล้วร่างกายเกิดการ บิดเบี้ยวเหมือนจะตาย

‘หรือว่า นี่คือสาเหตุที่พวกมันรวมตัวอยู่รอบๆ ซางเซียง ที่นี่…ทำให้พวกมันเกิดสติปัญญาได้ไม่มากก็น้อยอย่างนั้นหรือ?’

‘และยังมีวิญญาณเงามืดยักษ์นั่น ในร่างมันมีหนึ่งโลก! ถึงในโลกนั้นจะไม่มีสิ่งมีชีวิต แต่ก็คาดการณ์ได้ว่าหากมันฝึกถึงขั้นไม่อาจกล่าวตอนปลาย บางทีอาจจะปรากฏสิ่งมีชีวิต?

หรือไม่ก็แม้แต่ตอนปลายก็ไม่มีทางเป็นไปได้ ต้องบรรลุถึงไม่อาจกล่าวสมบูรณ์ก่อน! ไม่ต้องใช้พลังใดๆ ก็ให้โลกของตนเกิดสิ่งมีชีวิตได้ สรุปคือ…สิ่งมีชีวิตที่กำเนิดในจักรวาลกว้างใหญ่ล้วนเหมือนกับซางเซียง ภายในมีโลกของตัวเอง!

หากทุกอย่างสร้างขึ้นเช่นนี้ เช่นนั้นชายหนุ่มชุดคลุมดำคนนั้น ในร่างกายเขาจะมีโลกเหมือนกันหรือไม่ อีกทั้งดูจากลักษณะแล้ว เห็นได้ชัดว่าโลกนี้ใหญ่กว่าซางเซียงอีก!’ ดวงตาซูหมิงขยับประกายวาว ในความคิดลอยขึ้นมาเป็นการคาดเดาที่บ้าบิ่น

‘โลก…คนธรรมดานับไม่ถ้วนอยู่บนดาวของตัวเอง มองฟ้าครามเมฆขาว มองตะวันจันทราตัดสลับกัน ผ่านหนึ่งชีวิตสั้นๆ ไป พวกเขาไม่รู้เลยว่าบางทีโลกที่ พวกเขาอยู่เป็นเพียงในร่างกายสิ่งมีชีวิตประหลาดบางตัวในจักรวาลกว้างใหญ่

การต่อสู้ ความรักและความแค้น เทียบกับทั้งโลกทั้งจักรวาลกว้างใหญ่แล้ว เล็กจนไม่มีค่าพอให้เอ่ยถึงจริงๆ…’ ซูหมิงถอนหายใจเบา สิ่งเหล่านี้คือการคาดเดา แต่เขาก็เข้าใจว่ามันน่าจะใกล้กับความจริงอย่างไร้ขอบเขต

‘สุดท้ายแล้วการฝึกฝนคืออะไร เพื่อชีวิตยืนยาวหรือ…นั่นคือสิ่งที่มีจำกัด’ ซูหมิงหมุนตัวกลับมองฟ้ากระจ่างดาวของโลกนี้แวบหนึ่ง เขาไม่ได้สนใจผู้เฒ่าเมี่ยเซิงกับ เรือโบราณที่ซ่อนตัวอยู่อีก แต่เดินไปยังฟ้ากระจ่าวดาวด้วยความสงสัยและเข้าใจ

‘หากฝึกฝนเพื่อชีวิตยืนยาว แต่ความจริงแล้วมีไม่กี่คนที่รู้ว่าอะไรคือชีวิตยืนยาว…ต่อให้เป็นดวงจิตสามรกร้างก็ไม่อาจมีชีวิตยืนยาว ถึงจะเป็นชายหนุ่มชุดคลุมดำคนนั้น เขาจะกล้าบอกว่าตนมีชีวิตยืนยาวหรือไม่

ทุกอย่างในโลกนี้มีเริ่มต้นและสิ้นสุด ชีวิตยืนยาว…เป็นเพียงสิ่งที่เกี่ยวข้องกัน เป้าหมายในการฝึกฝนแท้จริงแล้วคือเพื่อแสวงหาความจริง!’ นัยน์ตาซูหมิงเป็นประกาย เขาเดินไปด้วยความแน่วแน่ยิ่งกว่าเดิม

‘เพื่อแสวงหาความจริง เพื่อแสวงหาความเข้าใจ นี่…ต่างหากคือผลสุดท้ายในการฝึกฝนของผู้ฝึกฌานทั้งชีวิตข้า ความแกร่งและยืนยาวของอายุขัยนั้นเป็นเพียง ส่วนหนึ่งบนเส้นทางการแสวงหาความจริงก็เท่านั้น

แสวงหาความจริง ฝึกฝนความจริง!

แสวงหาความคิดเห็น สิ่งที่ฝึกฝนก็คือความเข้าใจ ข้าซูหมิงฝึกฝนต้องการ ความเข้าใจ ต้องการไขข้อสงสัย เหมือนกับเต๋าอันเลื่องลือ เช้าเกิดเย็นสิ้นชีพ…ได้แต่อมยิ้มเดินหน้าไป’ เมื่อซูหมิงเข้าใจ ในตัวเขามีกลิ่นอายพลังที่จับต้องไม่ได้เพิ่มมา ทีละน้อย ตอนนี้มันยังมีไม่มาก เป็นเพียงเสี้ยวเดียว ทว่าเสี้ยวเดียวนี้กลับทำให้ตัวเขาเหมือนจะโปร่งใสกลางฟ้า ราวกับว่ายามนี้เขาเหนือกว่าซางเซียงในบางด้าน!

‘ความจริงก็ดี ความเข้าใจก็ดี ล้วนแล้วแต่เพื่อไขข้อสงสัย แต่คำว่าไขในคำว่า ไขข้อสงสัย เพียงแค่คำคำเดียวก็ได้ลิขิตเอาไว้แล้วว่า…การฝึกเต๋า…ไร้ที่สิ้นสุด

เพราะเจ้าไม่มีทางรู้ไปชั่วนิรันดร์ว่าปลายทางอยู่ที่ใด เพราะ…บนเส้นทางการฝึกฝน ทำได้เพียงเดินไปได้ไกลหรือใกล้เท่านั้น แต่จะไม่มีปลายทาง’ ซูหมิงหัวเราะแบบสบายๆ และเข้าใจ เสียงหัวเราะดังขึ้นเรื่อยๆ ดังก้องไปในฟ้า

‘ข้าคงอยู่ในการกระพือปีกของซางเซียง แต่ว่าซางเซียงคงอยู่ในการดีดนิ้วของใคร…สิ่งมีชีวิตที่ดีดนิ้วนั้น หากเงยหน้าขึ้นจะเห็นว่าตนอยู่ในการกระพริบตาของอีกสิ่งมีชีวิตหรือไม่ และยังมีสิ่งมีชีวิตที่กระพริบตา ขณะที่หัวเราะเยาะโลกของเขา การคงอยู่ของเขาที่เคยเข้าใจในอดีตอาจเป็นเพียงในลายเส้นของปัญญาชน

ส่วนฟ้าที่ปัญญาชนคนนั้นมองเป็นดวงตาของใครอีก…

ไม่มีสิ้นสุด ดั่ง..เต๋าไร้ที่สิ้นสุด’

“ข้าซูหมิงไม่แสวงหามากนัก หวังเพียงแค่นั่นคือดวงตาของข้า!” ซูหมิงหยุดชะงัก ตอนที่เงยหน้าขึ้น นัยน์ตาฉายแววยึดมั่น ก่อนพูดพึมพำเนิบๆ

เมื่อกล่าวขึ้น ร่างกายเขาเลือนรางยิ่งกว่าเดิม กลิ่นอายพลังที่มีพลังเหนือกว่าซางเซียงชัดเจนเสี้ยวนั้นในตัวเขารุนแรงขึ้นอีก จนกระทั่งพูดจบ ทันทีที่เขาเงยหน้าขึ้น กลิ่นอายพลังเกิดเสียงโครมครามอย่างไร้รูป มันแผ่ขยายออกปกคลุมร่างกายเขา ทำให้ดวงตาเขาในตอนนี้ไม่มีสติปัญญาอีก แต่กลายเป็นว่างเปล่า…

เขายังคงเดินหน้าต่อไป แต่ไม่รู้ปลายทางกับทิศทาง เพราะว่าวิญญาณ จิตสำนึกและดวงจิตเขาตกตะกอนอยู่ในการตระหนักรู้ที่แผ่ขยายมาจากตัวเขาเมื่อเกิดเสียงครึกโครมไร้รูปบนร่างกาย

ไม่รู้ว่าการตระหนักรู้ครั้งนี้จะนานเท่าไร อาจจะหลายวัน อาจจะหลายปี หรือหลายสิบปีถึงร้อยปีหรือมากกว่านั้น…แม้แต่ซูหมิงก็ยังไม่รู้ ไม่รู้ว่าการตระหนักรู้ครั้งนี้หมายถึงอะไรสำหรับเขา

เขายังไม่รู้อีกว่าตั้งแต่โบราณมาจนถึงตอนนี้ ในโลกของผีเสื้อซางเซียง ในไม่รู้กี่ยุคสมัย ตั้งแต่ยุคแรกจนมาถึงตอนนี้ นี่เป็นครั้งแรกที่เกิดการตระหนักรู้สู่ขั้นพลังเต๋าไร้ที่สิ้นสุดอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน!

การตระหนักรู้ครั้งนี้ อย่าว่าแต่คนอื่นเลย แม้แต่ดวงจิตสามรกร้างก็ไม่เคยสัมผัส กระทั่งซางเซียงที่สมบูรณ์ในอดีตยังปรารถนาอย่างยิ่ง เพียงแต่ว่าตอนนี้…ทุกอย่าง เกิดขึ้นกับซูหมิง!

นี่เป็นครั้งแรก บางที…อาจเป็นครั้งสุดท้ายของโลกนี้!

แทบเป็นช่วงที่ซูหมิงเข้าไปสู่การตระหนักรู้อย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในอดีต เขาเสียจิตสำนึกทั้งหมด เดินอยู่กลางฟ้าด้วยสีหน้าสับสน ตอนนี้เองในมหาโลกที่ ดวงจิตซางเซียงซ่อนตัวอยู่ กลางโลกที่เชื่อมกันไม่มีสิ้นสุดในเส้นทางน้ำวนมรณะหยิน ดวงจิตซางเซียงพลันตัวสั่นขึ้นมา

ดวงจิตมันกลายเป็นผีเสื้อตัวหนึ่งมองฟ้าไกลออกไป ร่างกายสั่นไหว มันรู้สึกว่าบนตัวมันมีกลิ่นอายพลังน่าตะลึงเพิ่มมา

กลิ่นอายพลังนี้คือกลิ่นอายพลังของเต๋าไร้ที่สิ้นสุด สภาวะนี้คือมีคนกำลังตระหนักรู้เต๋าไร้ที่สิ้นสุด!

สำหรับมันแล้ว นี่เป็นเรื่องน่าเหลือเชื่อ ขณะตัวสั่นดวงจิตซางเซียงหย่อนยาน แม้จะรวมขึ้นใหม่อย่างรวดเร็ว แต่ก็มองออกว่าตอนนี้มันกำลังตื่นตะลึง

‘เป็นเขาหรือ…คนที่ตระหนักรู้คนนี้เป็นเขาหรือ…’ ซางเซียงมีสีหน้าซับซ้อน การตระหนักรู้แบบนี้คือสิ่งที่มันเฝ้าปราถนาอย่างยิ่งแต่กลับไม่เคยเกิดขึ้นเลย ตอนนี้ปรากฏแล้ว ปรากฏในโลกของมัน

ขณะเดียวกันในมหาโลกสามรกร้าง บนดาวจักรพรรดิยมโลก ใต้ต้นไม้ใหญ่ที่ดูอุดมสมบูรณ์ยิ่งแต่ความจริงตายไปแล้วตนนั้น ชายหนุ่มร่างแปลงสามรกร้างยืนอยู่ตรงนั้นเงียบๆ มองต้นไม้ ไม่รู้คิดอะไรอยู่

แต่ทันใดนั้นเอง พริบตาที่ซูหมิงก้าวสู่การตระหนักรู้ ชายหนุ่มร่างแปลงสามรกร้างหน้าเปลี่ยนสีอย่างรุนแรง เขาหมุนตัวกลับเงยหน้าขึ้นในฉับพลัน จ้องฟ้าตาเขม็ง สีหน้าเหลือเชื่อขึ้นทีละน้อย ซึ่งจะเห็นสีหน้านี้จากตัวเขาได้น้อยยิ่ง เขาเดินหน้า หนึ่งก้าวหมายจะไปตรวจสอบ

‘กลิ่นอายพลังของเต๋าไร้ที่สิ้นสุด…นี่มันกลิ่นอายพลังเต๋าไร้ที่สิ้นสุด มีคนกำลังตระหนักรู้เต๋าไร้ที่สิ้นสุด เป็นไปไม่ได้ ไม่มีสิ่งมีชีวิตใดบรรลุถึงขั้นไม่อาจกล่าวสมบูรณ์ อีกทั้งหากไม่ถึงขั้นพลังนั้นจะไม่มีทางตระหนักรู้เต๋าไร้ที่สิ้นสุดได้!

นี่มัน…ซูหมิง!’ ชายหนุ่มสามรกร้างหยุดชะงักครู่หนึ่ง สีหน้ายังคงเหลือเชื่อ แต่ไม่ได้เดินก้าวนั้นแล้ว

เวลานี้ภายในโลกฟ้าแหว่งปีกที่สี่ที่ซูหมิงอยู่ ทันทีที่ซูหมิงตระหนักรู้ถึงเต๋าไร้ที่สิ้นสุด ผู้เฒ่าเมี่ยเซิงที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนเรือโบราณที่ซ่อนอยู่ข้างช่องโหว่และกำลังมองรอย ฝ่ามือซูหมิงกลางป้ายไม้ตรงหน้าตนพลางยิ้มเยาะมุมปาก ทว่าทันใดนั้นรอยยิ้มเยาะกลับแข็งค้าง เขาเงยหน้าขึ้น หน้าเปลี่ยนสีอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

“ตระหนักรู้เต๋าไร้ที่สิ้นสุด นะ…นี่…” ผู้เฒ่าเมี่ยเซิงหรี่ตาลงอย่างรวดเร็ว สีหน้าเหลือเชื่อเด่นชัดกว่าสามรกร้างกับซางเซียง กระทั่งเขาไม่ต้องตรึกตรองอะไรมากก็ขยับไหวตัว ดูเหมือนยังนั่งขัดสมาธิอยู่ แต่กลับมีเงามายาซ้อนทับบนตัวเขา ก่อนบินออกไปอย่างว่องไว ไปปรากฏตัวในโลกนี้ราวกับเสี้ยวเงา จากนั้นยกมือขวาขึ้นกด ฝ่ามือไปทางซูหมิงที่กำลังเดินหน้าไปอย่างสับสน

ทว่าพริบตาที่ฝ่ามือเขาปะทะซูหมิง มันกลับไร้เสียง มีกลิ่นอายพลังสะเทือนฟ้าเสี้ยวหนึ่งแผ่มาจากตัวซูหมิง นั่นคือ…พลังเต๋าไร้ที่สิ้นสุด!

เมื่อกลิ่นอายพลังนี้แผ่มา เงามายานั้นร้องโหยหวนเสียงแหลมก่อนหายวับไป ทว่าซูหมิงกลับไม่รู้ทุกอย่าง เขายังคงเดินหน้าไปอย่างสับสน เขาไม่รู้เรื่องเหล่านี้จริงๆ ตอนนี้เขาในสภาวะตระหนักรู้ลืมทุกอย่าง ความคิดว่างเปล่า

ขณะเดียวกับที่เงามายานั้นหายไป ผู้เฒ่าเมี่ยเซิงที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนเรือโบราณตัวสั่น กระอักเลือดมาหนึ่งคำ

ตลอดหลายปีมานี้ นอกจากตอนนั้นที่เขามาในช่องโหว่ปีกซางเซียงตัวนี้และกระอักเลือดเพราะบาดเจ็บแล้ว นี่เป็นครั้งที่สอง…ที่เขาเห็นโลหิตตัวเอง

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version