ตอนที่ 1325 เมื่อซางเซียงถูกทำลายจะเกิดปรากฏการณ์ประหลาดขึ้น
จักรวาลกว้างใหญ่นั้นอยู่นอกซางเซียง เพราะการคงอยู่ของช่องโหว่นี้เลยทำให้ที่นี่เต็มไปด้วยกลิ่นอายโลกภายนอกจำนวนมาก กลิ่นอายพลังนี้ชนกับโลกซางเซียงจึงเกิดเป็น…เสียงครึกโครมที่ดังตลอดปี
ภายในช่องโหว่นี้ บนเรือลำยักษ์นั้น เห็นได้ว่ามีร่างเงาหนึ่งนั่งขัดสมาธิอยู่บนหัวเรือ ร่างเงานี้สวมชุดคลุมยาวสีเทา บนชุดคลุมปักเป็นคางคกหัวมังกรยาวตัวหนึ่ง
ภาพนี้ ไม่เคยเห็นมาก่อนในมหาโลกสามรกร้าง ในซางเซียงและในฝ่าย สิ่งศักดิ์สิทธิ์หวนคืนกับเงามืดรุ่งอรุณ นี่ไม่ใช่ภาพของที่นี่!
ผู้สวมชุดคลุมสีเทาตัวนี้เป็นชายชราคนหนึ่งกำลังก้มหน้า เห็นเพียงเส้นผมยาวสีเทา มองไม่เห็นใบหน้า ที่บอกว่าเขาเป็นชายชรา โดยเฉพาะความรู้สึกหลังจากมองไป ก็เพราะว่าในตัวเขาแผ่กลิ่นอายแก่ชราที่ให้ความรู้สึกโดยตรง
หลังคนชุดคลุมดำสามคนนั้นเห็นชายชราชุดคลุมเทาแล้วก็คุกเข่าคารวะทันที
“นายท่าน หลังจากเขากินเงามืดรุ่งอรุณไปเจ็ดส่วนแล้วก็เข้ามายังฐานลำดับสาม ตอนนี้อยู่ชั้นหนึ่งของที่นั่น พวกข้าได้กระจายข่าวลือไปยังโลกที่เขากินตามคำสั่ง ท่านแล้ว” คนชุดคลุมดำตรงกลางพูดขึ้นด้วยความเคารพ
“ยังไม่พอ…” ผ่านไปพักใหญ่ เสียงแก่ชราพลันดังเนิบๆ มาจากร่างเงาสีเทาที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนเรือ
เสียงนี้มีสำเนียงประหลาดบางอย่าง แม้จะเป็นภาษาของทุกชีวิตในสามรกร้างซางเซียง แต่กลับเหมือนมีสำเนียงบ้านเกิดที่ไม่ยอมเปลี่ยน พอได้ฟังครั้งหนึ่งจะยากลืมเลือนไปชั่วชีวิต
“ขอรับ! พวกเราจะกลับไปทันทีแล้วกระจายเรื่องนี้ต่อ ทางฝ่ายสิ่งศักดิ์สิทธิ์หวนคืน…พวกข้าก็จะปลอมเป็นคนนั้น ไปกินดวงจิตทุกโลกของฝ่ายสิ่งศักดิ์สิทธิ์หวนคืน ถึงขั้นทำการสังหาร” คนชุดคลุมดำนั้นเงียบไปครู่หนึ่งแล้วพลันกล่าวขึ้น ขณะเอ่ยยังมี สีหน้าเย็นชา
พูดจบ ร่างเขาพลันหายวับไป คนชุดคลุมดำอีกสองคนข้างๆ ก็เผยจิตสังหารทางสีหน้าเช่นกัน ก่อนหายไปพร้อมกัน จนเมื่อพวกเขาหายไปแล้ว ที่นี่เข้าสู่ความเงียบ แต่ความเงียบนี้เป็นสิ่งตรงกันข้าม เพราะเสียงครึกโครมของที่นี่ดังก้องตลอดปี ไม่เคยมีช่วงเวลาหยุดเลย
ท่ามกลางความเงียบตรงกันข้ามนี้ ชายชราชุดคลุมเทาบนเรือยักษ์เงยหน้าขึ้นช้าๆ เผย…ดวงตาสีฟ้า ใบหน้าไม่ได้แก่ชรา แต่เกือบวัยกลางคน
“เมื่อซางเซียงตัวหนึ่งถูกทำลายจะเกิดปรากฏการณ์ประหลาดขึ้น! นี่คือโชคชะตาที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงของเก้าซางเซียง…ผีเสื้อตัวนี้ลิขิตไว้แล้วว่าต้องดับสิ้นไปในยุคนี้ และก็ลิขิตไว้แล้วว่า…ในยุคนี้จะปรากฏผู้แข็งแกร่งที่สุดของยุคทั้งปวงใน ซางเซียงตัวนี้!
เหมือนกับข้าในตอนนั้น…” คนชุดคลุมเทาพึมพำ สีหน้าดูเจ็บปวดจากการหวนรำลึก เขายกมือขวาขึ้นกำหมัดแน่น
“เป็นผู้แข็งแกร่งที่สุดแห่งยุคทั้งปวงในซางเซียงตัวนี้ พลังภายนอกไม่อาจทำลายเขาได้ มีเพียง…พลังของตัวซางเซียงตัวนี้เท่านั้นถึงจะ…ผนึกเขาได้!
ผนึกเถอะ เจ้าต้องถูกผนึกเท่านั้น แผนการข้าถึงดำเนินไปได้อย่างสมบูรณ์แบบ…นี่คือครั้งที่เท่าไรแล้ว…” ขณะคนชุดคลุมเทาพึมพำพลันยิ้มมุมปากอย่างมีความหมายลึกซึ้ง ก่อนยกมือขวาขึ้นโบกไปข้างนอก
เพียงโบกไป เสียงครึกโครมในโลกนี้พลันดังขึ้นไม่รู้กี่เท่า ขณะเดียวกัน เรือที่เขาอยู่ค่อยๆ เลือนรางจนกระทั่งหายไปท่ามกลางเสียงดังสนั่น
ไม่ใช่ว่าเรือลำนี้บินไกลออกไป แต่มันซ่อนตัวอยู่
เสียงโครมดังขึ้นในชั้นแรกของหลุมศพผู้เฒ่าเมี่ยเซิง ซูหมิงยกมือขวาโบกไป เกิดพายุคลั่งถาโถมไปยังสายฟ้าและฝนที่ตัดสลับรวมกันอยู่ตรงหน้า เกิดการปะทะกันขึ้นกลายเป็นเสียงดังสนั่น ทำให้ท้องฟ้าที่นี่เกิดระลอกคลื่นกระเพื่อม สั่นสะเทือนอย่างต่อเนื่อง
ที่นี่คือผืนฟ้าผ่า
เมื่อพายุของซูหมิงปะทะกับสายฟ้าและฝน พลันเกิดน้ำวนยักษ์ขึ้น ทันทีที่เกิดน้ำวน ซูหมิงพลันก้าวเดินเข้าไป ทว่าช่วงที่สัมผัสกลับเกิดเสียงดังโครมขึ้น น้ำวนพังลงในฉับพลัน
“ครั้งที่เก้าแล้ว!” ซูหมิงยืนอยู่กลางสายฟ้าและฝน มองน้ำวนที่หายไปก่อนหันกลับไปมองจื่อรั่ว
นอกตัวจื่อรั่วมีม่านแสงอ่อนนุ่มหนึ่งชั้นคอยขวางไม่ให้สายฝนชโลมตัว ตอนนี้นางมองซูหมิงด้วยสีหน้าประหลาดใจเล็กน้อย น้ำวนแบบนี้น่าจะเป็นทางเข้าไปชั้นที่สอง แต่ตลอดทางที่พวกเขามาปรากฏน้ำวนแปดครั้ง ทุกครั้งน่าจะเป็นทางเข้าถึงจะถูก แต่พริบตาที่ซูหมิงสัมผัสทางเข้ากลับพังลง
ตอนนี้เป็นครั้งที่เก้า
“เอ่อ…” จื่อรั่วไม่รู้ว่าควรจะพูดอย่างไรดี
“ในเมื่อมีคนไม่อยากให้แซ่ซูผ่านไปอย่างราบรื่น ไม่ยอมให้ข้าเข้าชั้นสอง เช่นนั้น…” ซูหมิงมองท้องฟ้ารอบๆ แวบหนึ่ง เขาสังเกตเห็นนานแล้วว่าในฟ้าที่นี่ มีวิญญาณอากาศธาตุอยู่เล็กน้อย วิญญาณเหล่านี้มีจำนวนไม่น้อย พวกมันซ่อนอยู่กลางอากาศ กำลังจ้องซูหมิงกับจื่อรั่วด้วยความละโมบ
“ข้าใช้วิธีของข้าเปิดช่องโหว่เองก็ได้” สิ้นเสียง ซูหมิงยกมือขวาขึ้นคว้าไปบนฟ้า เพียงคว้าไปผืนฟ้าเกิดเสียงระเบิดดังก้อง สายฟ้าและฝนทั้งหมดม้วนถอยไป ทำให้สายฝนบนฟ้าพากันสั่นสะเทือนพร้อมกัน เสียงแหลมพลันดังแว่วมาจากบนฟ้า
นั่นคือวิญญาณทั้งหมดที่จ้องซูหมิงตาเป็นมันจากรอบๆ จากการคว้าของซูหมิง ร่างเงาพวกมันถูกบีบให้เผยตัวออกมาอย่างชัดเจน เหมือนกับว่ามือขวาซูหมิงกลายเป็นน้ำวนสูบวิญญาณเหล่านี้เข้ามา
ขณะเดียวกันซูหมิงแค่นเสียงขึ้นจมูก ดวงจิตแผ่ออกโดยพลัน ดวงจิตกวาดล้างไปรอบๆ ผืนฟ้าผ่า ฟ้าครึ้มและฟ้าหิมะเป็นต้นที่อัดแน่นอยู่กลางฟ้าแห่งนี้ ทันใดนั้นเกิดเสียงอึกทึกขึ้น วิญญาณของที่นี่ที่ถูกดวงจิตซูหมิงขับไล่ต่างพุ่งตรงมาหาเขาพร้อมกัน พวกมันต้องมา เพราะดวงจิตซูหมิงประหนึ่งเคียว หากไม่มาก็ต้องตาย
เมื่อวิญญาณบนฟ้าที่นี่รวมกันอย่างต่อเนื่อง จำนวนพวกมันก็น่าตกใจขึ้นเรื่อยๆ จนตอนที่เริ่มนับจำนวนไม่ได้นั้น ซูหมิงกดมือขวาลงฟ้าข้างล่าง ฉับพลันนั้นวิญญาณไม่มีสิ้นสุดโดยรอบต่างพุ่งเข้ามาพร้อมกัน ด้วยร่างกายไร้รูปของพวกมันจึงเกิดเป็นรูปลักษณ์น้ำวน
น้ำวนนี้มีลักษณะกรวย มันปรากฏขึ้นพร้อมเสียงดังสนั่นแก้วหู น้ำวนขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ยืดยาวลงไปข้างล่างไม่หยุดเหมือนกับลูกข่าง
เสียงโครมครามดังก้อง เห็นได้ด้วยตาเนื้อเลยว่าข้างล่างผืนฟ้าเกิดการบิดเบี้ยว เกิดรอยแยกต่างๆ ในพริบตาขึ้นก่อนผสานรวมกันอย่างรวดเร็ว แต่เมื่อเกิดเสียงดังสนั่นขึ้นเรื่อยๆ เมื่อวิญญาณที่เวียนว่ายในน้ำวนไม่หยุดตัวสั่นและหมุนโคจรโดยไม่สนสิ่งใดภายใต้ดวงจิตซูหมิง ความเร็วในการผสานก็เริ่มตามรอยแยกไม่ทัน เริ่มเกิดเสียงดังกึกๆ เมื่อรอยแยกเยอะขึ้นเรื่อยๆ จึงเหมือนว่าฟ้าชั้นนี้ถูกทะลวงลงไป
นี่ไม่ใช่เรื่องยากสำหรับซูหมิง เขาเพียงแค่ขับเคลื่อนวิญญาณทั้งหมดบนฟ้า ให้วิญญาณเหล่านี้ทำลายฟ้าชั้นนี้ก็เท่านั้น แต่ในสายตาจื่อรั่ว ภาพนี้กลับทำให้นาง ลมหายใจกระชั้นอย่างชัดเจน ดวงตางามหรี่ลงฉายแววตกใจกลัว
นี่เป็นครั้งแรกที่นางเห็นพลังแท้จริงของซูหมิง ถึงขั้นตอนนี้นางยังไม่แน่ใจอยู่เล็กน้อยว่าสิ่งที่เห็นตอนนี้ใช่ขีดจำกัดของซูหมิงหรือไม่ ถึงอย่างไรมองจากสีหน้าซูหมิงแล้วดูสบายมาก แต่ว่า…ในสายตาจื่อรั่ว การจะขับเคลื่อนวิญญาณทั้งหมดของฟ้า ชั้นนี้ได้ต้องมีพลังเหนือกว่าขีดจำกัดที่นางจินตนาการเสียอีก
เป็นที่รู้กันว่าแม้วิญญาณเหล่านี้จะมีอ่อนแอและแข็งแกร่ง แต่วิญญาณที่แข็งแกร่งเหล่านั้น…มีบางตัวที่ผู้แข็งแกร่งขั้นไม่อาจกล่าวพบแล้วยังต้องขมวดคิ้ว แต่ยามนี้มองไป วิญญาณที่นี่ไม่มีสิ้นสุด ที่แข็งแกร่งก็มีอยู่ไม่น้อย ทว่า…ไม่มีตัวใดกล้าฝ่าฝืนดวงจิตซูหมิงเลย ทุกดวงล้วนเวียนว่ายไปอย่างบ้าคลั่ง คอยขับเคลื่อนให้ลูกข่างน้ำวนคมกริบขึ้นเรื่อยๆ
นี่มากพอจะอธิบายได้ว่าความแกร่งของซูหมิงทำให้พวกมันกลัว ทำให้พวกมันตัวสั่น แต่นี่…ยังไม่ใช่ขีดจำกัดของซูหมิง ซึ่งมันสะเทือนต่อจิตใจจื่อรั่วอย่างยิ่ง ทำให้นางลมหายใจกระชั้น ขณะมองซูหมิง ความคิดที่ปรารถนาจะได้ครองซูหมิงบรรลุถึงจุดสูงสุด
นางล้มเลิกความคิดดึงดูดอีกฝ่าย เพราะเรื่องราวก่อนหน้านี้ยืนยันได้ว่าไม่มีประโยชน์อะไร ไม่ว่าตนจะแสดงออกได้งดงามเพียงใด แต่ในสายตาอีกฝ่ายกลับ ขาวซีดยิ่ง ในเมื่อเป็นเช่นนี้ สู้ใช้วิธีอื่นจะดีกว่า
จื่อรั่วระงับความคิดในใจเอาไว้ ภายในดวงตาสองข้างเป็นสีชมพู
‘มีแต่ต้องใช้ยอดวิชาหวนคืนวิญญาณแล้ว! ดีที่ข้าเตรียมการไว้ล่วงหน้า คำนวณเวลาเอาไว้แล้ว พวกนั้นในเผ่าข้าก็น่าจะเริ่มแล้ว
ซูหมิง เจ้าต้องเป็นของข้า! มีเพียงผู้แข็งแกร่งที่สุดแห่งยุคนี้เท่านั้นถึงจะให้กำเนิดชีวิตที่สมบูรณ์แบบกับข้าได้’ จื่อรั่วกำหมัดเล็ก ขณะกำลังให้กำลังใจตัวเอง สีหน้านางดูแน่วแน่ขึ้นเรื่อยๆ
ซูหมิงที่ไม่รู้ความคิดเหล่านี้ของจื่อรั่ว พอกวาดสายตามองเห็นจื่อรั่วมีสีหน้า แน่วแน่จึงขมวดคิ้วขึ้น เขามักจะรู้สึกว่านางแค่มีร่างกายที่ดีเท่านั้น แต่ว่าคนที่ฝึกถึงขั้นไม่อาจกล่าวได้ ตามหลักแล้วไม่มีทางเป็นคนปัญญาอ่อนเช่นนี้
แต่จื่อรั่วปฏิกิริยาโต้ตอบได้ช้าเล็กน้อย อีกทั้งยังเหม่อลอยตลอดเวลา ตอนนี้ยังแน่วแน่อย่างน่าประหลาดอีก หากนางมีเจตนาสังหารซูหมิงจะสังเกตเห็นได้ทันที แต่ไม่ว่าเขาจะมองอย่างไร นางก็ไม่เหมือนกับคนที่หมายปองจะสังหาร ดังนั้นแล้ว ซูหมิงจึงไม่สนใจอีก เขาละสายตากลับมามองน้ำวน ทันใดนั้นน้ำวนเกิดเสียงดัง สนั่นขึ้น รอยแยกที่อัดแน่นอยู่เหล่านั้นเพิ่มมากขึ้นไม่น้อย จนกระทั่งตอนที่เกิด เสียงดัง ลูกข่างน้ำวนทะลวงเข้าไปเปิดเป็นช่องโหว่ยักษ์ ทันทีที่ปรากฏช่องโหว่ ซูหมิงสะบัดแขนเสื้อตัวใหญ่ น้ำวนพลันกระจายออก วิญญาณนับไม่ถ้วนในนั้นต่างแย่งกันหนีตายออกไปรอบๆ จากนั้นเขาจึงเดินหน้าหนึ่งก้าวพุ่งตรงไปที่ช่องโหว่นั้น
จื่อรั่วรีบตามไป สองคนกลายเป็นสายรุ้งยาวหายวับไปในช่องโหว่นั้น เข้าไปใน ชั้นสองของหลุมศพผู้เฒ่าเมี่ยเซิง นั่นคือชั้นแห่งดิน
พริบตาที่เข้ามาที่นี่ ซูหมิงไม่มองรอบๆ แต่ยกมือขวาขึ้นคว้าไปยังช่องโหว่บนฟ้า ตอนที่แรงดูดมหาศาลส่งมา วิญญาณที่กระจัดกระจายอยู่รอบๆ นอกช่องโหว่ ต่างหยุดชะงัก ก่อนพุ่งมาตามช่องโหว่นั้นพร้อมกัน
“ทะลวงชั้นที่สองแล้วพวกเจ้าจะเป็นอิสระ!” ระหว่างที่เสียงซูหมิงดังกังวาน เขาคว้ามือขวาไปยังวิญญาณเหล่านั้นก่อนกดไปยังพื้นดิน ทันใดนั้นเองวิญญาณเหล่านี้ต่างร้องคำรามพร้อมกับพุ่งไปยังพื้นดินอย่างจำใจ รวมกันเป็นน้ำวนอีกครั้ง เริ่มทะลวงต่อไป