Skip to content

สู่วิถีอสุรา 1381

ตอนที่ 1381 นอกภูเขายังมีภูเขาเขียว นอกหอยังมีหอ

นอกภูเขายังมีภูเขาเขียว นอกหอยังมีหอ

เหนือน้ำยังมีน้ำใส เหนือฟ้ายังมีฟ้า

ท้องฟ้าเป็นสีคราม เมฆประดับฉากฟ้า ตอนที่มองไป ท้องฟ้านั้นเหมือนกลายเป็นภาพวาดสวยงาม มีสายลมพัดผ่าน เมฆลอยไกลออกไปช้าๆ กลางสายลม ทำให้ภาพนี้ไม่หยุดนิ่ง แต่กลายเป็นโลก

ซูหมิงเหม่อมองฟ้า เขาตื่นมาหนึ่งเดือนแล้ว หนึ่งเดือนนี้ แม้เขาจะรับความจริงรอบตัวได้แล้ว แต่ก็ยังไม่เข้าใจว่าตน…อยู่ที่ใดกันแน่

ความทรงจำเขายังอยู่ที่ภาพสุดท้ายที่ยึดร่างเสวียนจั้ง เพราะระดับชีวิตต่างกัน ดังนั้นโอกาสสำเร็จจึงมีน้อยมาก แต่ทันทีที่ซูหมิงยึดร่าง เขาเผาชีวิตและวิญญาณถึงจุดสูงสุด ดังนั้นการยึดร่างในพริบตานั้นจึงใช่ว่าจะไม่มีโอกาสสำเร็จเลย

เพียงแต่หากสำเร็จ เหตุใดตนถึงไม่ใช่เสวียนจั้ง หากล้มเหลว เช่นนั้นตอนนี้อยู่ที่ใด…

แล้วก็…ซูหมิงก้มหน้ามองร่างกายตัวเองเงียบๆ

“เสวียนเอ๋อร์ มัวเหม่ออะไรอีก” เสียงเด็ดขาดดังแว่วมาข้างซูหมิง นั่นคือชายชราคนหนึ่งมีสีหน้าราบเรียบแต่กลับน่าเกรงขาม เส้นผมขาวทั้งศีรษะ สวมชุดคลุมยาว สีเทา บนหัวสวมงอบ ในมือถือไม้เท้า หันหน้ามามองซูหมิง

“อาจารย์…” ซูหมิงมองชายชราตรงหน้า แม้จะตื่นมาหนึ่งเดือนแล้ว แต่ทุกครั้งที่เห็นคนนี้ เขาจะใจสั่นไหว ไม่รู้ว่าทุกอย่างตรงหน้าเป็นจริงหรือปลอม

หน้าตาชายชราคนนี้ก็คือ…เทียนเสียจื่อ!

เหมือนกันทุกประการ แม้แต่น้ำเสียงยังสูงต่ำแบบในความทรงจำ แยกไม่ออกว่านี่คืออดีตหรือปัจจุบัน

“นี่เพิ่งเดือนแรกเอง เจ้าจำเอาไว้ มีทั้งหมดหกพันปี ในหกพันปีนี้มีหกร้อยปีที่เจ้าต้องตามอาจารย์เดินผ่านพันภูเขา ผ่านหมื่นสายน้ำ ผ่านที่ราบทุกแห่งหน มองตะวันขึ้นลงครั้งแล้วครั้งเล่า ตระหนักรู้การเปลี่ยนแปลงของสี่ฤดู รู้จักหลักการของฟ้าดิน แสวงหาความจริง แสวงหาความดีงามของจิตใจคน…

แต่อีกห้าพันสี่ร้อยปีจากนั้น เจ้าต้องเดินทางคนเดียว มีแต่แบบนี้เท่านั้นเจ้าถึงมีคุณสมบัติแย่งชิงกับองค์ชายใหญ่และองค์ชายรอง และถึงมีโอกาสเป็นองค์รัชทายาท ส่วนข้า…ก็จะได้ไม่ต้องอาศัยบิดาเจ้าแล้ว” ชายชรากล่าวราบเรียบ ก่อนเคาะไม้เท้าในมือลงพื้น หมุนตัวเดินหน้าต่อไป

“ตามมา” เสียงเขาแฝงไว้ด้วยความแก่ชรา ดังก้องแดนภูเขา เหมือนหลอมรวมกับสายลมภูเขารอบๆ กลายเป็นเมฆครึ้มที่ตอนนี้ค่อยๆ แปรเปลี่ยนไปบนฟ้า จนกระทั่งกลายเป็นเกล็ดหิมะ

นี่คือฤดูหนาว

ซูหมิงตามหลังชายชราเงียบๆ ตอนที่เดินผ่านภูเขานี้ ผ่านทะเลสาบที่ไม่ได้ถูกแช่แข็ง ตะวันยามอัศดงไกลออกไปส่องแสงสุดท้ายลงมา สะท้อนเงาซูหมิงลงบนทะเลสาบ

เขาคือเด็กหนุ่มคนหนึ่ง สวมอาภรณ์ยาวสีเทา สวมงอบ หน้าตาหล่อเหลา เพียงแต่ใบหน้าเด็กหนุ่มเต็มไปด้วยความมึนงง

เขาคือองค์ชายสามของแคว้นกู่จั้ง มีพี่ชายสองคน ในแคว้นกู่จั้งนี้มีตำนานหนึ่ง นั่นคือทุกครั้งที่ผลัดเปลี่ยนจักรพรรดิ จักรพรรดิจะส่งผู้ฝึกฌานไปให้แก่องค์ชายทั้งหมดด้วยตัวเอง ให้เป็นคนชี้นำหกพันปี

หลังผ่านไปหกพันปีองค์ชายจะกลับมาและชิงอำนาจจักรพรรดิ การแย่งชิงครั้งนี้ลิขิตไว้ว่ามีองค์ชายเพียงองค์เดียวที่มีชีวิตรอด โลหิตมรณะของคนอื่นๆ จะหลอมเป็นมงกุฎจักรพรรดิของเขา จนกลายเป็นเจ้าปกครองแคว้น

และแคว้นนี้…มีนามว่ากู่จั้ง เป็นเจ้าปกครองของทั้งแผ่นดินใหญ่นี้ เป็นจุดสูงสุดของทั้งโลก กดขี่อยู่เหนือผู้ฝึกฌานทุกคน อยู่เหนือทุกสำนัก!

นี่คือความทรงจำของซูหมิงนอกเหนือจากที่มี มันเพิ่มมาเมื่อใดไม่รู้ ประทับลงในส่วนลึกวิญญาณแล้ว และยังเหมือนกับว่าเดิมทีนี่เป็นความทรงจำของเขาอยู่แล้ว

เพียงแต่เขาจำนามขององค์ชายใหญ่ไม่ได้ และก็จำหน้าตาขององค์ชายรองไม่ได้ สิ่งที่ลึกซึ้งสุดในความทรงจำคือต้องติดตามชายชราตรงหน้าไปหกร้อยปี

“ดื่มน้ำ” ชายชราหยุดข้างทะเลสาบ หันมามองซูหมิงแล้วชี้ไปยังทะเลสาบ

“น้ำทะเลสาบไม่เคลื่อนไหว ประหนึ่งสะท้อนเงาสวรรค์ ดื่มน้ำนี้จะเหมือนกิน ผืนฟ้าหนึ่งมุม น้ำทะเลสาบนี้…มีนามว่าทะเลสาบสวรรค์” ชายชราพูดพลางโค้งตัวยื่นมือไปวักน้ำทะเลสาบขึ้นมาหนึ่งฝ่ามือ จากนั้นยกขึ้นมาวางไว้ตรงริมฝีปากแล้วดื่มไปอึกหนึ่ง

ซูหมิงเงียบ เขามองในทะเลสาบ แต่ไม่ได้โค้งตัวลงไป

ชายชราเงยหน้าขึ้นมองซูหมิง

“เหตุใดข้าถึงต้องดื่มน้ำทะเลสาบนี้? ต่อให้มันประหนึ่งสะท้อนเงาสวรรค์ คิดว่าดื่มแล้วจะเหมือนกินฟ้าหนึ่งมุมจริงๆ หรือ เรื่องนี้เป็นการหลอกตัวเองและยังหลอกคนอื่นด้วย” ซูหมิงส่ายหน้าแล้วพูดขึ้นช้าๆ

“เจ้าเงยหน้าขึ้นมองฟ้าไกลๆ” ชายชราตอบกลับเรียบๆ

ทันทีที่ซูหมิงเงยหน้าขึ้นมองฟ้าก็พลันหรี่ตาลง เขาเห็นว่าฟ้าไกลออกไปมีพื้นที่เล็กแห่งหนึ่ง…เหมือนกับถูกกินไป!

“เดิมทีทะเลสาบนี้มีนามว่าอะไรข้าไม่รู้ แต่ข้าผ่านทะเลสาบนี้ ข้าว่ามันคือฟ้า มันก็คือฟ้า ข้าดื่มน้ำทะเลสาบนี้ ข้าว่าเท่ากับกินฟ้าหนึ่งมุม เช่นนั้น…ก็ต้องกินฟ้า หนึ่งมุม เจ้ายึดมั่นตรงนี้ ก็ได้เข้าไปสู่เหตุและผลด้วยตัวมันเองแล้ว” ชายชราพูดต่อเรียบๆ

ซูหมิงเงียบ ผ่านไปพักใหญ่พลันหัวเราะ ไฉนต้องสนใจว่าเหตุและผลคืออะไร ไฉนต้องสนใจว่าตนอยู่ที่ใด และไฉนต้องยึดมั่นในคำตอบ ขอเพียงเดินต่อไปก็พอแล้ว

“ศิษย์ได้รับการสั่งสอน” ซูหมิงประสานมือคารวะชายชราแล้วโค้งตัวใช้มือขวาจุ่มลงกลางทะเลสาบ ทว่าเขาไม่ได้วักน้ำขึ้นมา แต่ดวงตาขยับประกายแสงหม่น ตบมือขวาบนผิวน้ำเบาๆ

พริบตาที่ตบ ทะเลสาบเกิดเสียงดังพร้อมหมุนม้วน เกิดระลอกคลื่นกระเพื่อมเป็นวงกว้าง ระลอกคลื่นไม่มีสิ้นสุด ทำให้เงาสะท้อนฟ้าแตกออกหายไป

“เพราะเหตุใด” ชายชราขมวดคิ้ว

“อาจารย์บอกว่ามันคือฟ้า ดังนั้นเมื่อดื่มไปแล้วก็เท่ากับกินฟ้า ข้าว่ามันไม่ใช่ฟ้า ดังนั้นก็ไม่ต้องดื่ม” ซูหมิงยืนขึ้นมองชายชรา

“มีปณิธานไม่เบา” นัยน์ตาชายชราฉายแววชื่นชมวูบหนึ่ง แต่กลับกลายเป็นเฉียบขาดและดุดันอย่างรวดเร็ว คำพูดยังเปลี่ยนไปในพริบตา

“แต่ว่าไม่มีหลักการ และก็อวดดีไปเล็กน้อยด้วย ข้าว่าทะเลสาบนี้คือฟ้าเพราะสัมผัสความรู้สึกที่มันสะท้อนเงาผืนฟ้าได้ ดังนั้นถึงได้พูดแบบนี้คล้อยตามเจตนารมณ์สวรรค์ ดังนั้นถึงได้กินฟ้าจริงๆ ได้ เพราะทุกอย่างคือเจตนารมณ์สวรรค์ ข้าเพียงแค่ถือโอกาสตรงนี้ก็เท่านั้น

แต่เจ้า…ทำลายทะเลสาบนี้ เหมือนกับทำลายชะตาชีวิต แต่สุดท้ายอีกไม่นานทะเลสาบก็จะยังสงบนิ่งดังเดิม ยังสะท้อนเงาฟ้า สำหรับมันแล้ว เจ้าเป็นแค่แขกผ่านทางมา

สำหรับเจ้าแล้ว เจ้ามีความสบายใจ หัวเราะที่น้ำทะเลสาบเปื้อนฝุ่น แต่สำหรับทะเลสาบแล้ว มันก็กำลังหัวเราะเจ้าเหมือนกัน หากไม่เชื่อ…ลองดูน้ำทะเลสาบอีกทีว่าสงบนิ่งหรือไม่ ลองหัวเราะเยาะบนผิวน้ำดูว่าเป็นเงาสะท้อนมันกำลังหัวเราะเจ้าอยู่หรือไม่” ชายชรากล่าวขึ้นนิ่งๆ ช้าๆ ทีละคำ แต่กลับแฝงไว้ด้วยมหาเต๋า

“ข้าไม่เชื่อ” ซูหมิงไม่หันไปมอง แต่ทันทีที่น้ำทะเลสาบข้างหลังเขากลับมาสงบนิ่ง อีกครั้ง พลันเกิดไอน้ำขึ้นจำนวนมาก มันกลายเป็นหมอกในทันใด เมื่อปกคลุมทั้งผิวทะเลสาบแล้ว เพียงสิบกว่าลมหายใจ ซูหมิงสะบัดแขนเสื้อโดยหันหลังให้ทะเลสาบ

มีสายลมพัดเข้ามาสลายหมอกหายไป น้ำทะเลสาบนั้นเหือดแห้งหายไปทั้งหมด เหลือเพียงดินเลนอัปลักษณ์ในหลุมลึก และยังมีสิ่งมีชีวิตกุ้งปลากลางดินเลนอีก นับไม่ถ้วน

“ตอนนี้หายไปทั้งหมดแล้ว” ซูหมิงพูดขึ้นเรียบๆ

ชายชราเงียบ เขามองซูหมิงอย่างลึกซึ้งแวบหนึ่งแล้วส่ายหน้า

“สายเลือดจักรพรรดิแคว้นกู่จั้งเป็นผู้แข็งแกร่งที่สุดหนึ่งเดียวในฟ้าดิน ตำนานนี้เป็นจริง ไปเถอะ เส้นทางพวกเรายังอีกไกล” ชายชราหมุนตัวกลับไม่มองทะเลสาบอีก เดินหน้าต่อไป

ซูหมิงก้มหน้าลงไม่มองทะเลสาบเช่นกัน เดินตามชายชราไป เส้นทางใหญ่นี้ ในสายตาซูหมิงจะเป็นเป้าหมายก็ดี หรือปลายทางก็ดี ทุกอย่างไม่สำคัญแล้ว นี่คือเส้นทางแสวงหาเต๋า เส้นทาง…ที่จะให้ตนแกร่งขึ้น

เดินผ่านภูเขาไปทีละลูก ผ่านแม่น้ำทีละสาย ผ่านสี่ฤดู ผ่านไปสิบปี

ชายชราอยู่ข้างหน้า ซูหมิงอยู่ข้างหลัง ซูหมิงเมื่อสิบปีก่อนสะท้อนเป็นเงาเด็กหนุ่มในน้ำทะเลสาบ เขาในตอนนี้เป็นชายหนุ่ม จังหวะก้าวเร็วกว่าเดิมเล็กน้อย ใบหน้าไม่มีความสับสนในอดีตอีก แต่กลับมาสงบนิ่งเหมือนกลับไปอยู่มหาโลกซางเซียง

ดาวบนฟ้ายามค่ำคืนระยิบระยับ แผ่นดินใหญ่ลุกไหม้เป็นไฟ ซูหมิงนั่งขัดสมาธิอยู่ข้างกองไฟ ตรงข้ามเป็นชายชราเหมือนเทียนเสียจื่อ ผ่านสายลมหิมะไปอีกวันหลังผ่านไปสิบปี สองคนนั่งขัดสมาธิอยู่ที่นี่พลางสัมผัสถึงความหนาวข้างหลัง สัมผัสถึงคลื่นร้อนกระทบใบหน้า

ชายชราหลับตาเหมือนตกอยู่ในห้วงการฝึกฝน ไม่สนใจการเปลี่ยนแปลงทุกอย่างของโลกภายนอก ซูหมิงเงยหน้าขึ้นมองดวงจันทร์เลือนรางที่แขวนอยู่กลางฟ้าข้างหลังหิมะที่โปรยปรายประหนึ่งฝุ่นละออง

ดวงจันทร์อยู่ปกติ แต่คนกลับไม่…ซูหมิงนึกถึงอดีตเงียบๆ นับความทรงจำเงียบๆ…เป็นคนพายเรือที่ตามหาเสียงถอนหายใจในโลกของเขาคนเดียว

“ในแคว้นกู่จั้งมีสำนักและฝ่ายที่มีชื่อเสียงโด่งดังเท่าไร” เสียงแก่ชราดังแว่วมาจากชายชราที่กำลังหลับตา ปะปนในสายลมหิมะ หลอมรวมกับเสียงเปาะแปะของกองไฟ ดังข้างหูซูหมิง

“เจ็ดสำนักกับสิบสองฝ่าย” ซูหมิงยังคงมองดวงจันทร์เลือนรางพลางตอบกลับเรียบๆ

“สำนักกับฝ่ายมีความต่างกันอย่างไร” ชายชราถามต่อช้าๆ

“สำนักเป็นความว่างเปล่าที่ขยายไปไม่มีสิ้นสุด แต่งตั้งโดยกู่จั้ง ฝ่ายคืออากาศแห่งจักรวาลกว้างใหญ่ ไม่รับการสั่งสอน”

“ทุกครั้งที่ผลัดเปลี่ยนจักรพรรดิจะเกิดอะไรขึ้น” ชายชราถามต่อ

“เจ็ดสำนักเคลื่อนไหว สิบสองฝ่ายก่อความวุ่นวาย แย่งชิงอำนาจจักรพรรดิ ใต้หล้าเปลี่ยนแปลง” ซูหมิงละสายตากลับจากดวงจันทร์เลือนรางบนฟ้ามามอง กองไฟพร้อมตอบกลับนิ่งๆ

“จุดสูงสุดของขั้นพลังในโลกไร้พรมแดนนี้ที่ข้าเคยบอกเจ้าตลอดสิบปีมานี้ เจ้ายังจำได้หรือไม่” ชายชราถามอีก

“ไม่อาจกล่าวสมบูรณ์ ตระหนักรู้เต๋าไร้ที่สิ้นสุด ได้รับจิตเต๋ามาเยือน หากตระหนักรู้เก้าครั้งก็เหมือนกับจิตเต๋าเก้าชั้น เก้าคือสูงสุด หลังสมบูรณ์แล้วก็จะทะลวงสู่เต๋าไร้ที่สิ้นสุดได้!

กลายเป็นผู้ฝึกเต๋าไร้ที่สิ้นสุด ตั้งแต่อดีตจนถึงตอนนี้ยังไม่เคยปรากฏ ดังนั้นปุถุชนจึงเข้าใจเต๋าได้ แต่ไม่เข้าใจการชี้นำไร้ที่สิ้นสุด” ซูหมิงตอบกลับนิ่งๆ เรื่องเหล่านี้ ชายชราค่อยๆ ชี้แนะเขามาตลอดในสิบปีนี้จนซูหมิงเข้าใจแล้ว

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version