Skip to content

สู่วิถีอสุรา 139

ตอนที่ 139 เปิดด่านฝึกพลัง

วันเวลาผ่านไปเมฆขาวไร้ร่องรอย เวลาห้าเดือนสั่นไหวเพียงครู่เดียว ช่วงเวลาห้าเดือน ภายในหุบเขาลึกเกิดการเปลี่ยนแปลงมากมาย บ้างแผ่นดินไหวสัตว์ปีกจำนวนมากอพยพหนี ราวกับแดนแห่งนี้กลายเป็นแดนต้องห้าม

อีกทั้งต้นไม้จำนวนมากยังแห้งเหี่ยวเหมือนกับเสียพลังชีวิตกลายเป็นไม้แห้ง นอกจากนี้ขอบเขตของมันแทบปกคลุมในระยะสิบลี้ หากมองจากท้องฟ้าผืนดินใต้ต้นไม้แห้งเหี่ยวจะพบว่าเกิดเป็นรอยแตกระแหงจำนวนมากประดุจเผชิญภัยแล้ง ปรากฏการณ์ประหลาดเช่นนี้ พบเห็นได้ยากในแดนอรุณใต้ ในป่าฝนไม่น่าจะเกิดเหตุภัยแล้งติดต่อกันขนาดนี้

หากเรื่องมันจบเท่านี้คงไม่เท่าไหร่ ที่น่าตะลึงกว่าคือบนแผ่นดินทุกเดือนจะมีเสียงร้องคำรามดังขึ้น เสียงดังกล่าวไม่เหมือนกับเสียงของมนุษย์ อีกทั้งยังแสบแก้วหูจนฟังมิได้ ทว่ามีแค่ผู้ฝึกฝนที่มีขั้นพลังมั่นคงแล้วเท่านั้น หากเข้ามาใกล้ก็จะได้ยิน

โดยเฉพาะในคืนจันทร์เต็มดวงเสียงคำรามจะเด่นชัดเป็นพิเศษ แม้แต่แสงจันทร์บนท้องฟ้ายังส่องสว่าง กระทั่งร่องน้ำภายในหุบเขามีไอร้อนระเหยขึ้นราวกับหุบเขาแห่งนี้กำลังถูกความร้อนไร้รูปแผดเผา

วันนี้ยามโพล้เพล้ นอกเขตแดนต้องห้ามปรากฏเงาคนสี่คน ทั้งสี่คนล้วนตื่นตัวยิ่งนัก หยุดฝีเท้าไม่เดินต่อ ผู้นำหน้าเป็นชายชรา เขาสวมเสื้อคลุมสีฟ้ารูปร่างผอมแห้ง กระดูกใหญ่โต ทั้งตัวเต็มไปด้วยกลิ่นอายพลังมืดครึ้ม ด้านหลังเขาเป็นชายสามหญิงหนึ่ง ทว่าพวกเขาไม่ได้เหมือนผู้อาวุโส โดยเฉพาะสตรี มีใบหน้างดงามตรงข้ามกับความมืดครึ้มของชายชรา

“ท่านพ่อ นี่เป็นจุดที่ท่านว่าหรือ?” ด้านหลังชายชรา ชายวัยกลางคนอายุราวสี่สิบกว่าปีถามขึ้นอย่างระมัดระวัง

“ไม่ผิด สองเดือนก่อนพ่อผ่านมาตรงนี้ เห็นความผิดปกติของภูมิประเทศ ต้นไม้ใบหญ้าแห้งเหี่ยวจำนวนมากเสียพลังชีวิตไป แม้แต่แผ่นดินยังแตกระแหง เรื่องหายากเช่นนี้หากพ่อเดาไม่ผิดน่าจะมีสมบัติล้ำค่าถือกำเนิด!” แววตาชายชรามืดครึ้มกล่าวเรียบๆ ขั้นพลังเขาเองก็ไม่ธรรมดา แม้ยังไม่ชำระล้างทว่าก็อยู่รวมโลหิตตอนปลาย

อีกสามคนด้านหลังเขา ชายวัยกลางคนที่เป็นคนกล่าวอยู่ลำดับเจ็ดรวมโลหิต ส่วนอีกสองคนที่เหลืออยู่ลำดับห้ารวมโลหิต

“ความแปลกของที่นี่พ่อไม่ได้บอกคนในเผ่า ฐานะของพวกเราในเผ่าถือว่าธรรมดา ในวันสร้างบรรพกาลยังไม่มีคุณสมบัติพอจะเข้าไปในแดนศักดิ์สิทธิ์ นี่เกี่ยวกับเรื่องที่พ่อยังไม่ชำระล้าง ความหวังของพ่ออยู่ในตัวเจ้าแล้ว หากได้สมบัติล้ำค่าชิ้นนี้มา บางทีอาจมีประโยชน์กับเจ้าในภายภาคหน้า โดยเฉพาะตอนนี้ใกล้ถึงวันสร้างบรรพกาล แดนอรุณใต้เกิดหมอก ในชนเผ่าต่างยุ่งอยู่กับการเข้าไปในแดนศักดิ์สิทธิ์ ไม่น่าจะสังเกตเห็นพวกเรา”

ชายชรามองทอดไกลแวบหนึ่ง ตอนนี้เป็นยามโพล้เพล้เห็นหมอกบางอยู่ไกลๆ หากมองจากที่สูงจะเห็นได้ว่าทั้งดินแดนอรุณใต้มีหมอกจำนวนมากกำลังก่อตัวขึ้น

ชายหนุ่มสูดลมหายใจเข้าลึก พยักหน้า

“ส่วนเตาเอ๋อร์กับซานเอ๋อร์ พวกเจ้าสองคนตามหลังมา แม้ที่นี่ไม่มีพลังความตายปรากฏ ทว่าต้นไม้แห้งเหี่ยวเหล่านี้เสียพลังชีวิต มีพลังความตายอยู่ภายใน หากพวกเจ้าสูบเข้าร่างกายจะเป็นผลดี” ชายชรามองท้องฟ้า กล่าวเสียงเบา

“ทุกค่ำคืนที่นี่จะเกิดการเปลี่ยนแปลง ตอนแรกข้าสังเกตมาหลายวันจนเคยเข้าไปครั้งหนึ่ง แต่ก็มาได้แค่ระยะหนึ่งพันจั้ง ทว่าครั้งนี้ข้ายืมไข่มุกกระดูกมรณะจากชนเผ่ามาน่าจะเข้าไปส่วนลึกได้” นัยน์ตาชายชราฉายแววเฝ้าปรารถนา

“ท่านพ่อ……” ชายวัยกลางคนข้างกายสงสัยเล็กน้อย มองชายชราแวบหนึ่งก่อนกล่าวเสียงเบา “ท่านพ่อ ข้าว่าที่นี่อาจไม่มีสมบัติล้ำค่าถือกำเนิดหรอก แต่น่าจะเป็นผู้อาวุโสบางท่านกำลังฝึกฝน หากพวกเราตัดสินใจพลาด เกรงว่า…….”

“เหอะๆ เจ้ามีการคิดวางแผนถือเป็นเรื่องดี ก่อนหน้านี้พ่อเคยตรึกตรองอยู่หลายครั้ง ทว่าตอนเข้าไปครั้งแรกก็ไม่ได้เกิดภัยร้ายอะไรขึ้น และที่สำคัญคือต้นไม้กับแผ่นดินดินเพียงแค่เสียพลังชีวิตแต่กลับไม่มีพลังความตายปล่อยออกมา หากมีผู้อาวุโสกำลังฝึกฝนอยู่จริง ในเมื่อทำให้เกิดปรากฏการณ์เช่นนี้แล้ว เหตุใดถึงไม่ดึงพลังความตายเหล่านี้มาใช้ มีเพียงสมบัติล้ำค่าถือกำเนิดเท่านั้นถึงจะอธิบายปรากฏการณ์ครั้งนี้ได้”

ขณะชายชรากล่าว ยามโพล้เพล้ผ่านไป ท้องฟ้ากลายเป็นสีดำมืด ดวงจันทร์ครึ่งเสี้ยวอยู่บนฟ้าสาดส่องแสงจันทร์

“ไม่ต้องคิดมาก พวกเราเข้าไปกันเถอะ!” ชายชราสูดลมหายใจเข้าลึก นำหน้าเข้าไปในผืนป่าแห้งเหี่ยวผืนดินแตกระแหง ด้านหลังเขาชายวัยกลางคนตามมาอย่างระมัดระวัง ส่วนรุ่นเยาว์อีกสองคนตามหลังมาอย่างตื่นเต้น สูบกินพลังความตายจากในต้นไม้ตลอดทาง สีหน้าเต็มไปด้วยการเฝ้ารอคอย

ทั้งสี่คนเดินไม่เร็ว ย่ำผ่านพื้นที่เต็มไปด้วยรอยร้าว มองต้นไม้แห้งเหี่ยวและดินแตกระแหง สีหน้าชายชรายังคงเป็นปกติ ทว่าชายวัยกลางคนกลับเริ่มมีเหงื่อไหล

‘ต้นไม้แห้งเหี่ยวเหล่านี้ไม่เท่าไหร่ แต่ดินแตกระแหงเช่นนี้…….ผืนดินเสียพลังชีวิต นับว่าเป็นจุดฝึกฝนที่ดีสำหรับเผ่าผู่เชียงของพวกเรา หากมาฝึกฝนที่นี่……น่าเสียดายพลังความตายไม่มีชีวิตชีวา จุดนี้ยังเทียบไม่ได้กับชนเผ่า…..’ ชายวัยกลางคนสูดลมหายใจเข้าลึก ปัดความคิดนี้ทิ้งไป แต่คาดหวังสมบัติล้ำค่ามากขึ้น

ส่วนรุ่นเยาว์บุรุษและสตรีสองคน ยามนี้จิตใจสั่นไหว ไม่ตื่นเต้นเหมือนเมื่อครู่ แต่กลับตึงเครียดขึ้นมา ทันใดนั้นพลันมีเสียงร้องคำรามดังแว่วมาจากยอดเขาห่างไกล น้ำเสียงของมันแหลมคมยิ่งนัก ผู้อื่นไม่ได้ยิน มีเพียงผู้ฝึกฝนที่มีขั้นพลังมั่นคงแล้วเท่านั้นถึงจะสัมผัสได้

ชายชราสีหน้าเปลี่ยน เห็นชัดว่าได้ยินเสียงคำรามอย่างต่อเนื่อง ส่วนชายวัยกลางคนก็ได้ยินแว่วๆ เช่นกัน พลังโลหิตในกายโคจรขึ้นเอง ทำให้หัวใจเขาเต้นแรง ขนาดเขายังเป็นเช่นนี้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงรุ่นเยาว์สองคน ใบหน้าพวกเขาพลันขาวซีด แม้ไม่ได้ยินเสียงคำรามทว่ากลับเกิดความรู้สึกราวกับหัวใจถูกฉีก

ชายชราทำเสียงหึในลำคอ ใช้มือขวาล้วงเข้าไปในอกเสื้อหยิบไข่มุกสีดำออกมาหนึ่งเม็ด ทันใดนั้นมีหมอกดำลอยมาจากในผืนดินและต้นไม้โดยรอบ ตรงเข้ามาหลอมรวมอยู่ในไข่มุก กลายเป็นม่านแสงดำห่อหุ้มคนทั้งสี่เอาไว้

“ตอนแรกข้ามาถึงแค่ตรงนี้ ยามนี้มีไข่มุกกระดูกมรณะด้วยน่าจะไม่เป็นอะไร ถ้ามิเช่นนั้นแล้วเสียงประหลาดจะยิ่งเด่นชัดขึ้น ทำให้จิตใจปั่นป่วน” ชายชรากล่าวไปพลาง เดินไปพลาง

สามคนด้านหลังรีบตามมา ค่อยๆ มุ่งหน้าไปทางเทือกเขาส่วนลึกของแดนแห่งนี้ ภายใต้แสงจันทร์บนยอดเขาขมุกขมัว มองเห็นไม่ชัด ทว่าเสียงร้องคำรามที่มีม่านแสงเป็นตัวกั้นยังคงดังแว่วเข้ามา ทิศทางที่พวกเขามองขึ้นไปนั่นคือยอดเขาแห่งนี้

“ยอดเขา สมบัติล้ำค่าอยู่ที่นั่น!” ชายชราพยามระงับความตื่นเต้นในใจ รีบพาทั้งสามคนทะยานขึ้นไปบนยอดเขาอย่างรวดเร็ว

ยอดเขาแห่งนี้เป็นเขาหัวล้าน ต้นไม้ใบหญ้าแห้งเหี่ยวกลายเป็นเถ้าถ่าน เกิดรอยแตกจำนวนมากไปทุกส่วน ทำให้คนที่เดินอยู่ด้านบนตื่นตะลึง ทว่ายามนี้ชายชรากลับไม่สนใจสิ่งนั้น เคลื่อนตัวเข้าไปไกล้ ไม่นานก็เข้าไปในม่านขมุกขมัวบนยอดเขา

ทว่าทันใดนั้น ชายชราพลันชะงักฝีเท้า สีหน้าชายวัยกลางคนพลันขาวซีดและตื่นกลัว สุดสายตาพวกเขาเห็นเป็นยอดเขาห่างไปสิบจั้ง ตรงนั้นไม่มีสมบัติล่ำค่าอะไร มีเพียงคนกำลังนั่งบำเพ็ญเพียร!

พวกเขามองเห็นใบหน้าบุคคลดังกล่าวไม่ชัด เห็นเพียงเลือนราง ทว่าแม้เป็นเช่นนั้น กลับมีแรงกดดันมหาศาลปกคลุมรอบตัว ทำให้ชายชราและชายวัยกลางคนหัวใจเต้นโครมครามไม่หยุด นี่ไม่ใช่อาการตื่นเต้นแต่เป็นตึงเครียด กระทั่งรอบเงาคน ฟ้าดินราวกับบิดเบี้ยว มีเสียงคำรามดังออกมาจากในนั้น

ชายชราหรี่ตาลง ตื่นตระหนกในใจ ขณะกำลังถอยหลัง เงาคนที่กำลังนั่งบำเพ็ญเพียรในแววตาพวกเขากลับลืมตาขึ้นอย่างช้าๆ มันเป็นดวงตาที่เต็มไปด้วยความลึกลับ ภายในเย็นชาเผยกลิ่นอายหนาวเยือก ในช่วงที่มองชายชรา มีเสียงระเบิดดังขึ้นในความคิดเขา พลังโลหิตเสียการควบคุมโคจรขึ้นเอง พลันล่าถอยและคว้าตัวชายวัยกลางคนใบหน้าขาวซีดประดุจสายฟ้าแลบพร้อมกับรุ่นเยาว์สองคนด้านหลังที่ไม่อาจทนรับต่อแรงกดดันมหาศาลจากดวงตา ห้อเหยียดล่าถอยอย่างรวดเร็ว

ทว่าเพิ่งล่าถอยไปยังไม่ถึงห้าสิบจั้ง ทั้งสี่คนพลันตัวสั่นสะท้าน กลิ่นอายพลังรวดเร็วและดุดันปรากฏขึ้นพันธนาการพวกเขาทั้งสี่เอาไว้ อีกทั้งรอบตัวพวกเขายังมีแสงจันทร์มหาศาลปกคลุม กลายเป็นหายนะร้ายแรงอบอวลในจิตใจ

‘ชำระล้าง เขาจะต้องเป็นผู้แข็งแกร่งชำระล้างอย่างแน่นอน มิเช่นนั้นแล้วไม่มีทางทำได้ถึงเพียงนี้ เพียงแค่สายตากลับมีแรงกดดันมหาศาล…..’ ชายชราชะงักฝีเท้า เม็ดเหงื่อชโลมไปทั้งตัว เขามีความรู้สึกว่าหากตนถอยไปอีกจะต้องตายอย่างแน่นอน!

“ผู้อาวุโส ข้าเป็นชาวเผ่าผู่เชียง ความบุ่มบ่ามเมื่อครู่โปรดผู้อาวุโสอย่าถือสา…..”

ชายชรารีบประสานมือคารวะเงาคนที่กำลังนั่งขัดสมาธิอยู่บนยอดเขา ภายใต้ความตึงเครียด สีหน้าดูเคารพยิ่งนัก

โดยรอบเงียบสงัดแม้แต่เสียงคำรามก่อนหน้านี้ยังหายไป ตามการไหลเวียนของเวลา ความเงียบยิ่งทำให้พวกเขาตึงเครียดมากกว่าเดิม

“เผ่าผู่เชียง……ทิ้งไข่มุกในมือเจ้าแล้วไสหัวไป!” ในความรู้สึกชายชรา ความเงียบราวกับผ่านไปนานหลายปี ยามนี้ได้ยินคำพูดอีกฝ่าย เขารีบวางไข่มุกสีดำเอาไว้ด้านข้างอย่างไม่ลังเลแล้วพาทั้งสามคนล่าถอยอย่างรวดเร็ว หัวใจเต้นแรง เกิดความคิดว่ารอดตายมาได้อย่างหวุดหวิด

ทั้งสี่คนถอยมาจนถึงเขตป่าแห้งแล้ง ห้อเหยียดไปอีกหลายชั่วยาม จึงค่อยๆ ชะลอตัวลง ใบหน้าชายชราขาวซีด หันกลับไปมองด้านหลังสีหน้าตื่นกลัว ในความรู้สึกเขาเมื่อครู่เรียกได้ว่าอยู่บนเส้นระหว่างความเป็นและความตาย

ชายวัยกลางคนข้างกายเขาหายใจกระชั้นถี่ มองชายชรากล่าวเสียงเบา “ท่านพ่อ เขา…..เขาเป็นผู้แข็งแกร่งชำระล้างหรือ?”

“ไม่ใช่ชำระล้างธรรมดา ข้าว่าน่าจะเป็นชำระล้างตอนกลาง!” ชายชราลังเลครู่หนึ่ง ก่อนกล่าวขึ้น

“ชำระล้างตอนกลาง? นั่นมันระดับเดียวกับจ้าวหมานมิใช่หรือ ทั้งเมืองเขาหาน มีผู้แข็งแกร่งชำระล้างตอนกลางเพียงสามคนเท่านั้น เขา……” ชายวัยกลางคนสูดลมหายใจเข้าลึก

รุ่นเยาว์สองคนข้างกายยามนี้ยังคงตื่นตระหนกและหวาดกลัวกับเหตุการณ์ที่ผ่านมา

“เรื่องนี้ห้ามแพร่งพรายออกไปเด็ดขาด ผู้แข็งแกร่งระดับนี้พวกเราจะล่วงเกินมิได้ ดีที่ว่าเขาไม่แยแสจะสังหารพวกเรา มิเช่นนั้นแล้ว……” ชายชราใจสั่น รีบหุบปาก พาทั้งสามคนห้อเหยียดต่อไป

บนยอดเขาซูหมิงกำลังนั่งอย่างสงบนิ่ง ในมือถือไข่มุกสีดำหนึ่งเม็ด มันเป็นวัตถุที่ชายชราทิ้งเอาไว้ เขาถือไข่มุกอยู่นานก่อนเก็บเข้าไปในถุงเก็บวัตถุ แล้วยันกายขึ้นอย่างช้าๆ

“เพลิงโลหิตแผดเผาครั้งที่ห้าไม่อยากเชื่อว่าจะทำให้หลับสนิท…..” ซูหมิงกล่าวพึมพำ แหงนหน้ามองฟ้าดินห่างไกล แม้จะเป็นค่ำคืนมืดมิด ทว่าเขายังคงเห็นตรงขอบฟ้ามีหมอกบางกำลังแผ่ขยาย

‘นายท่าน ท่านหลับมาห้าเดือนกว่าแล้ว…….ตอนนี้ใกล้จะถึงวันสร้างบรรพกาล ในช่วงหลายวันที่ผ่านมา ทั้งแดนอรุณใต้เริ่มมีหมอกหนาปกคลุม……’

ในความคิดซูหมิง เหอเฟิงกล่าวอย่างระมัดระวัง ในห้าเดือนมานี้แม้เขาจะถูกปิดจากโลกภายนอกและออกไปจากตัวซูหมิงไม่ได้ก็ตาม ทว่าเขากลับสัมผัสได้ว่าซูหมิงค่อยๆ แข็งแกร่งขึ้น มันทำให้เขาตื่นตะลึง และไม่อาจคาดเดาในตัวซูหมิง

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version