ตอนที่ 138 ขั้นรวมโลหิตตอนปลาย
ซูหมิงลืมตา สิ่งแรกที่เห็นคือความลึกซึ้งแจ่มชัดประดุจดารา แม้เขานั่งอยู่ภายในถ้ำ ทว่ากลับทำให้เหอเฟิงเกิดความรู้สึกเหมือนซูหมิงหลอมรวมกับโดยรอบ เห็นๆ กันอยู่ว่ามีตัวตน แต่ในด้านความรู้สึกราวกับไร้ตัวตน
โดยเฉพาะดวงตาทั้งสองข้างของซูหมิง ยิ่งทำให้เหอเฟิงจิตใจสั่นไหว ดวงตาเช่นนี้เขาไม่เคยพบจากเสวียนหลุน มีเพียงธิดาแห่งสวรรค์อย่างหานเฟยจื่อเท่านั้นถึงจะทำให้ผู้มองเกิดความรู้สึกเหมือนตกอยู่ในบ่วงเช่นนี้
“นายท่าน?” เหอเฟิงตึงเครียดยิ่งนัก เขาในยามนี้มองซูหมิงแล้วเกิดความรู้สึกเจ็บปวดไปทั้งตัว คล้ายซูหมิงปล่อยกลิ่นอายพลังแหลมคมทำให้เขาตื่นกลัวจนไม่อาจควบคุมได้
ซูหมิงหันหน้ามองเหอเฟิง ในช่วงที่ประสานสายตากับเขา เหอเฟิงพลันตัวสั่นเทา ลอยถอยไปหลายจั้งในทันที ร่างกายเหมือนใกล้แหลกสลาย กระทั่งเกิดความรู้สึกราวกับถูกลูกศรแหลมทะลวงผ่านกลางใจ ทุกความคิดเผยให้อีกฝ่ายเห็นในชั่วพริบตา ไม่อาจปกปิดได้แม้แต่น้อย
“นาน…นายท่าน”
ซูหมิงยิ้มบาง แรงกดดันจากในตัวเขาหายไปทันใด แววตาสงบนิ่งกลับคืนสู่สภาพเดิม เขายืดร่างกายเล็กน้อย ก่อนยืนขึ้นพ่นลมหายใจยาว
“ไปกันเถอะ”
ซูหมิงใช้มือขวาคว้ากายวิญญาณของเหอเฟิง เหอเฟิงถูกดูดเข้ามาทันที แม้แต่วิญญาณค้างคาวจันทราที่กำลังร้องดีใจเหล่านั้นยังกลับเข้ามาในตัวซูหมิงอีกครั้ง
ทว่าครั้งนี้ ไม่จำเป็นต้องให้วิญญาณค้างคาวจันทราคุมตัวเหอเฟิง เขาก็ยอมแต่โดยดี ไม่กล้าขยับแม้แต่น้อย ในร่างกายของซูหมิง เขาสัมผัสได้ถึงแรงกดดันจากกระบี่เล่มเล็กอีกครั้ง ภายใต้ความหวาดกลัวนั้น เขายำเกรงซูหมิงมากยิ่งขึ้นอีก
ความยำเกรงดังกล่าวมีสาเหตุมาจากความลึกลับของซูหมิง จนกระทั่งถึงตอนนี้เหอเฟิงยังไม่เข้าใจเลยว่าเหตุใดสมบัติล้ำค่าของชนเผ่าตนถึงได้เห็นซูหมิงราวเห็นเจ้านายที่พลัดพรากจากกันหลายปี
กระทั่งเขายังไม่อาจคาดเดาขั้นพลังของซูหมิงได้ เขาไม่รู้ว่าซูหมิงมีเส้นเลือดกี่เส้น แต่ก็คาดการณ์เอาไว้ว่ายามนี้ซูหมิงมีกระบี่เล็ก เกรงว่าเมื่อพบเสวียนหลุนคงประมือได้ไม่ปราชัย
ซูหมิงเดินออกจากถ้ำหุบเขา เวลานี้ภายนอกเป็นยามเที่ยงวัน แสงตะวันสว่างจ้าสาดส่องบนตัวให้ความรู้สึกอบอุ่น เขายืนอยู่ตรงนั้น มองเมฆขาวท้องฟ้าคราม นัยน์ตาวาววับขึ้นทีละน้อย
‘เรื่องบังเอิญซ่อนอยู่ในอันตราย…ที่ข้าได้ครอบครอบกระบี่เล่มนี้ก็ต้องแลกมากับภัยอันตราย ทว่าทุกอย่างมันคุ้มค่า!’ ซูหมิงยกมือขวาคลึงระหว่างคิ้ว ตราประทับกระบี่ตรงบริเวณนั้นยังคงขยับแสงวูบวาบ ทว่าเมื่อซูหมิงคลึงลงไป ความถี่ในการขยับแสงช้าลงเรื่อยๆ จนหายไป
‘กระบี่เล่มนี้ทำให้ข้าเกิดความรู้สึกผูกพัน และมันก็ไม่ได้ต่อต้านข้า…และยังมีทุ่งหญ้าสีแดงที่สูบกลืนพลังโลหิตจนผู้อื่นยากจะใช้งาน แต่ข้าไม่รู้สึกเช่นนั้น กลับให้ความรู้สึกปลอดภัยมากกว่า…วัตถุสองชนิดนี้ล้วนเป็นมรดกจากบรรพบุรุษเขาหาน…หรือว่าข้าจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับเขา…’
ซูหมิงหลับตาลง ปล่อยให้สายลมกระทบใบหน้า ยืนอยู่ตรงปากถ้ำไม่เคลื่อนไหว
‘กระบี่เล่มนี้อยู่ในร่างกายข้า…เปิดทางเลือดเนื้อหนึ่งเส้น ทางนี้…อาจทำให้ข้าดูดซับพลังในการแสดงวิชาตราประทับจากโลกใบนี้ได้!’ ซูหมิงพลันลืมตาขึ้น นอกจากกระบี่เล็กแล้ว นี่จึงจะเป็นผลพวงที่ยิ่งใหญ่ที่สุด เขายืนอยู่ตรงนั้นสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายพลังจากฟ้าดินรอบตัวไหลเข้าไปตามรูขุมขน เพียงแต่ว่ายามนี้เป็นกระแสเล็กๆ เท่านั้น ทว่าในวันข้างหน้าสักวันหนึ่ง มันจะต้องกลายเป็นคลื่นยักษ์น่าสะพรึง
‘นี่เป็นการฝึกที่ต่างจากการฝึกพลังโลหิตโดยสิ้นเชิง…การฝึกก่อนหน้านี้คือการรวมเส้นเลือดให้กลายเป็นพลังโลหิตทำให้ร่างกายแข็งแกร่งขึ้น มีพละกำลังทางกายมหาศาล เรียกว่ารวมโลหิต ทว่าการฝึกฝนเช่นนี้เห็นได้ชัดว่าไม่ได้ฝึกฝนเส้นเลือด แต่เป็นกลิ่นอายพลังลึกลับในโลก ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ข้าก็จะเรียกการฝึกฝนนี้ว่า รวมปราณ!’
‘รวมโลหิตทำให้ข้ามีพละกำลังมหาศาล ใช้โลหิตเพื่อแสดงเคล็ดวิชาหมานหลากหลาย ส่วนรวมปราณตอนนี้มีแค่สองชนิด ทว่ามันกลับแข็งแกร่งยิ่งนัก!’ ซูหมิงไม่ได้ทำท่าหยักนิ้วและไม่ได้กำเหรียญหินในมือ เพียงแค่ความคิดเคลื่อนไหว สายลมพัดผ่านต้นไม้ใบหญ้าในขอบเขตสองร้อยจั้งก็พลันปรากฏขึ้นในความคิด
ขณะเดียวกัน ตราประทับกระบี่ตรงระหว่างคิ้วขยับแสงอีกครั้ง เมื่อแสงสีดำขยับ กระบี่เล็กพลันบินออกจากระหว่างคิ้วซูหมิง พุ่งตรงไปไกลประดุจสายฟ้าแลบ ความเร็วของมันไม่อาจมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า
สายรุ้งสีดำบินวนรอบตัวซูหมิงไม่หยุดในระยะสองร้อยจั้ง ทว่าก็ได้เพียงแค่นั้น หากออกไปนอกเขตแสงดำจะอ่อนลงราวกับไม่เสถียร
ทว่าสำหรับซูหมิง สองร้อยจั้งก็เพียงพอแล้ว
เพียงแต่ว่าการใช้กระบี่เล็กมิได้ง่ายขนาดนั้น เพียงแค่ไม่กี่ลมหายใจ ซูหมิงรู้สึกปวดศีรษะ สายตาพร่ามัว
ลมปราณที่รวมอย่างยากลำบากภายในเส้นเลือดลมที่เพิ่งเปิดในร่างกายหายไปจนเกลี้ยง ทำให้ขอบเขตสองร้อยจั้งในความคิดลดระยะลงอย่างต่อเนื่อง เห็นได้ชัดว่าใช้พลังปราณมากเกินไป
‘ห้าลมหายใจกำลังดี หากมากกว่านั้นข้าคงทนไม่ไหว’ ซูหมิงรีบเก็บกระบี่เล็กเข้าไปในระหว่างคิ้ว ยามนี้เขาเจ็บปวดศีรษะอย่างรุนแรง ทว่าก็ไม่อาจเร่งความเร็วในการดูดกลืนพลังฟ้าดินจากโดยรอบ ทำใด้เพียงดูดกลืนพวกมันอย่างช้าๆ แล้วเก็บไว้ในเส้นเลือดลมเท่านั้น
‘การฝึกฝนรวมปราณไม่น่าจะช้ามากนัก บางทีข้าอาจไม่พบวิธีดูดกลืนพวกมันจึงมีสภาพอย่างนี้ แต่ว่า…บรรพบุรุษเขาหาน เขาอาจมีวิธีดูดกลืนได้เร็วกว่านี้’
ซูหมิงตบมือขวาไปบนถุงเก็บวัตถุในอกเสื้อ พลันปรากฏเหรียญหินสีขาวในมือกองหนึ่ง เมื่อกำแล้วเขาสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายพลังที่เหมือนกันจากในเหรียญหิน จึงสูบเข้าไปอย่างรวดเร็ว ไม่นานความเจ็บปวดตรงศีรษะค่อยๆ ทุเลาลงและกลับมาเป็นปกติ
เพียงแต่ว่าเหรียญหินสีขาวกลับมัวหมองเล็กน้อย
‘มิน่าหานเฟยจื่อกับเสวียนหลุนถึงได้แย่งชิงกัน การฝึกฝนที่ต่างจากการรวมโลหิตเช่นนี้ หากทำให้เข้ากันได้ อานุภาพพลังย่อมไม่ธรรมดา…ดูท่าจะต้องไปแดนนั่งฌานละสังขารของบรรพบุรุษเขาหานจริงๆ…’ ซูหมิงเดินหน้าห้อเหยียดออกจากถ้ำหุบเขา ไปยังจุดที่ไกลกว่าจากหุบเขาลึก
‘โอสถวิญญาณผาหมดฤทธิ์แล้ว โลหิตหมานก็กินไปหมดแล้ว ตอนนี้พลังโลหิตข้าเต็มเปี่ยม เส้นเลือดเพิ่มมาไม่น้อย ได้เวลาทำเพลิงโลหิตแผดเผาแล้ว! หากสำเร็จ ขั้นพลังข้าจะเพิ่มขึ้นอีกครั้ง จากนี้จะไม่ต้องเป็นผู้อ่อนแออีก มีกระบี่เล็กกับวิญญาณค้างคาวจันทราช่วย หากทุ่มสุดตัวประมือกับขั้นชำระล้าง…จะเอาชนะได้หรือไม่?’ สีหน้าซูหมิงเต็มไปด้วยการคาดหวังรอคอย ทั้งยังมีความแน่วแน่
หลังห้อเหยียดติดต่อกันเกือบครึ่งเดือน ซูหมิงห่างจากเมืองเขาหานไปไกลมากแล้ว ตรงนี้เป็นพื้นที่กว้างท้องฟ้าครามเข้ม โดยรอบเต็มไปด้วยเทือกเขาเล็ก ได้ยินเพียงเสียงร้องของสัตว์ปีก ไม่เห็นเงาคนเคลื่อนไหว
แดนรกร้างเช่นนี้ เป็นจุดที่ซูหมิงเตรียมตัวปิดด่านฝึกพลัง เขาจะทำเพลิงโลหิตแผดเผาครั้งที่ห้า จะเพิ่มจำนวนเส้นเลือดในร่างกายอีกครั้ง ขณะทำเพลิงโลหิตแผดเผาจะเหนี่ยวนำฟ้าดินให้เกิดการเปลี่ยนแปลงประหลาด ทว่าในแดนรกร้างเช่นนี้ โอกาสถูกพบเห็นจะน้อยลงมาก
ณ ยอดเขาเล็กแห่งหนึ่ง ซูหมิงนั่งขัดสมาธิมาเป็นเวลาเจ็ดวัน ในเวลาเจ็ดวันเขาไม่เคลื่อนไหว เพียงตกอยู่ในห้วงการโคจรโลหิต รอคอย…..
การมาเยือนของจันทร์เต็มดวง
ผ่านไปอีกสามวัน ในช่วงที่ความมืดมิดมาเยือน ท้องฟ้าเป็นสีดำทึบ ด้านบนกลับมีดวงจันทร์ลอยสูง มันไม่ใช่จันทร์ครึ่งเสี้ยว แต่เป็นเต็มดวง!
ในช่วงที่พระจันทร์เต็มดวง ซูหมิงที่นั่งอย่างสงบนิ่งมาสิบวันลืมตาขึ้น เหอเฟิงในร่างกายเขาถูกตราประทับปกคลุมจึงมองไม่เห็นโลกภายนอก นี่เป็นความลับของเขา จะให้ผู้อื่นล่วงรู้มิได้
ในดวงตามีเงาสะท้อนของดวงจันทร์ เขากำลังแหงนหน้ามองดวงจันทร์เต็มดวงบนท้องฟ้า สูดลมหายใจเข้าลึก พลันโคจรพลังโลหิตในร่างกาย มีเสียงตึกๆ กึกก้องรอบตัว
หลังจากดูดซับโลหิตหมานจนหมดแล้ว นี่เป็นครั้งแรกที่ซูหมิงปะทุพลังโลหิตในร่างทั้งหมด
เส้นเลือดสี่ร้อยเส้นพลันปรากฏขึ้นทั้งตัวเขา ขยับแสงสีแดงวูบวาบ ย้อมยอดเขากลายเป็นสีแดง สีหน้าของเขาเคร่งขรึม ในช่วงที่เงาจันทร์ในดวงตาเด่นชัดขึ้น เส้นเลือดบนตัวเขาปะทุขึ้นอีกครั้ง
จากสี่ร้อยเส้นทะยานขึ้นมาสี่ร้อยหกสิบเส้น เส้นเลือดแน่นขนัดครอบคลุมทั้งตัวเขา ทำให้แสงโลหิตรอบตัวเข้มข้นขึ้น
ทว่านี่ยังไม่ใช่ขีดจำกัดของซูหมิง เขาสูดลมหายใจเข้าลึก ดวงตาพลันมีเส้นเลือดฝอย เส้นเลือดฝอยเหล่านี้ไม่ได้มาจากความโกรธแค้นหรือฮึกเหิม แต่มากจากการที่พลังโลหิตทั้งหมดปะทุถึงขีดสุด ทำให้ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยโลหิตภายใต้การโคจร
ต่อมา เส้นเลือดบนตัวเขาปะทุขึ้นอีกครั้ง สี่ร้อยเจ็ดสิบเส้น สี่ร้อยแปดสิบ สี่ร้อยเก้าสิบ…..จนกระทั่งถึงห้าร้อยสิบเส้น กลิ่นอายพลังแกร่งกล้าพลันแผ่กระจายมาจากในตัวเขา
นี่ก็คือระดับพลังที่แข็งแกร่งที่สุดของเขาหลังจากดูดซับโลหิตหมาน! เดิมทีโลหิตหมานไม่ได้ส่งผลมากถึงเพียงนี้ แต่เหตุที่เพิ่มเส้นเลือดได้มากมาย เป็นเพราะเขากินโอสถวิญญาณผาจำนวนมากในช่วงเวลาหลายปี แม้โอสถวิญญาณผาจะหมดฤทธิ์แล้วก็ยังตกตะกอนอยู่ในร่างกายเขา แฝงไว้ด้วยผลลัพธ์น้อยนิด เพียงแต่ว่าการกระตุ้นของโลหิตหมานประดุจทำให้ร่างกายบริสุทธิ์ ขอบเขตศักยภาพถูกเปิด ฉะนั้นจึงเกิดผลที่น่าตะลึงเช่นนี้
หลังจากทะลวงสู่ลำดับแปดขั้นรวมโลหิต จำนวนเส้นเลือดในการทะลวงสู่ลำดับเก้า ลำดับสิบ ลำดับสิบเอ็ดล้วนไม่แน่นอน เพียงแต่เมื่อทะลวงเส้นเลือดถึงห้าร้อยเส้นแล้วจะถูกเรียกว่ารวมโลหิตตอนปลาย
แม้มีชื่อเรียกเหมือนกัน ทว่าความจริงแล้วทุกคนมีความต่าง เส้นเลือดห้าร้อยเส้นคือรวมโลหิตตอนปลาย เส้นเลือดเจ็ดร้อยแปดสิบเอ็ดเส้นคือโลหิตตอนปลาย และเส้นเลือดเก้าร้อยเส้นก็ยังเป็นรวมโลหิตตอนปลายเช่นกัน กระทั่งเก้าร้อยสี่สิบเก้าเส้นก็ยังถูกเรียกว่ารวมโลหิตตอนปลาย
มีเพียงทะลวงถึงเก้าร้อยห้าสิบเส้นเท่านั้นถึงจะถูกเรียกว่า รวมโลหิตสมบูรณ์!
เพียงแต่คนแบบนั้นพบหาได้ยากนัก หากทะลวงเส้นเลือดได้มากกว่าเก้าร้อยแปดสิบเส้นจะถูกเรียกว่ารวมโลหิตมหาสมบูรณ์ในตำนาน คนลักษณะนี้ต่อให้เป็นชนเผ่าใหญ่ก็ยังหาได้ยาก
ซูหมิงปลดปล่อยพลังโลหิตทั้งหมดในร่างกาย เขามองดวงจันทร์บนท้องฟ้า ดวงตาทั้งสองแฝงไว้ด้วยเพลิง ทั้งตัวราวกับลุกไหม้แผดเผา หากมองไกลๆ จะเหมือนกับมนุษย์เพลิง
เขามีสีหน้าเรียบเฉย ค่อยๆ ยกมือขวาขึ้น กัดปลายนิ้วจนมีโลหิตรินไหล จากนั้นพลันป้ายเข้าไปในดวงตาซ้าย ในช่วงที่โลหิตสัมผัสกับเพลิงได้จุดประกายไฟความคิดแห่งผู้แข็งแกร่งของเขา
ในยามนี้ เพลิงโลหิตแผดเผาได้เริ่มขึ้น!