ตอนที่ 1402 วงแหวนอาคมจิตเต๋าสยบเงา 4
น้ำเสียงนี้แฝงไว้ด้วยความแค้นไม่มีสิ้นสุด และยังมีความบ้าคลั่งไม่ยอม ตอนที่เสียงดังก้องไปรอบๆ ดังก้องในสำนักเจ็ดจันทรา บนเขมทิศ ภายในร่างเงาตรงหน้า ซูหมิงเหมือนกลายเป็นเงาหนึ่ง
เพียงแต่ว่าเงานี้ตั้งขึ้น ภานในบิดเบี้ยว เพียงพริบตาเดียวก็กลายเป็นชายชรา ผมขาวทั้งศีรษะ สวมชุดคลุมยาวดารา เส้นเลือดปูดบนใบหน้า จ้องซูหมิงตาเขม็ง
“ศิษย์สำนักเจ็ดจันทรา ศิษย์สำนักเจ็ดจันทรา…” ชายชรามองซูหมิงแวบหนึ่งแล้วก็หัวเราะอย่างบ้าคลั่ง ขณะหัวเราะจิตสังหารรุนแรงพลันปะทุขึ้นฟ้า!
ช่วงที่ชายชราปรากฏตัว ยังมีเสียงร้องด้วยความตกใจดังแว่วมาจากฟ้าเหนือฟ้าชั้นหนึ่ง หลังจากศิษย์สำนักฝ่ายนอกเหล่านั้นเข้าสำนักแล้ว ผู้ที่ได้เห็นวงแหวนอาคมที่สิบเอ็ดของวงแหวนอาคมจิตเต๋าสยบเงามีไม่มาก ยามนี้ได้เห็นแล้วจึงให้ความสนใจทันที
เทียบกับพวกเขาแล้ว ศิษย์สำนักเจ็ดจันทราฟ้าเหนือฟ้าชั้นสองหน้าเปลี่ยนสี พวกเขามีประสบการณ์มากกว่าศิษย์ฝ่ายนอกชั้นหนึ่งไม่น้อย ส่วนใหญ่เคยเห็นคนบุกวงแหวนอาคมที่สิบเอ็ดมาก่อน แต่ว่า…พวกเขายังไม่เคยเห็นคนที่เรียกตัวเองว่าปรมาจารย์ดาราปรากฏตัวบนวงแหวนอาคมมาก่อน
หลายครั้งก่อนที่พวกเขาเคยเห็น แม้จะปรากฏร่างเงา แต่ก็ไม่มีคนใดแผ่ แรงกดดันและจิตสังหารบ้าคลั่งอย่างปรมาจารย์ดารามาก่อน
พวกเขาไม่รู้ว่าปรมาจารย์ดาราเป็นใคร แต่ในศิษย์ฟ้าเหนือฟ้าชั้นสามกลับมีบางส่วนที่เห็นปรมาจารย์ดาราแล้วเดินไปหลายก้าวเหมือนจะเข้าไปดูใกล้ๆ
พวกเขาหน้าเปลี่ยนสีอย่างรวดเร็ว สุดท้ายกลายเป็นจริงจัง
“ปรมาจารย์ดารา…เมื่อสามพันปีก่อน เป็นผู้แข็งแกร่งหนึ่งทิศที่ก่อภัยพิบัติแก่แคว้นกู่จั้ง ต่อมาถูกผู้อาวุโสสำนักเจ็ดจันทราสังหาร ไม่คิดเลยว่า…เขาจะถูกหลอมเป็นเงาเต๋า!”
“ข้าก็เคยได้ยินเรื่องเกี่ยวกับเขามาก่อน ได้ยินมาว่าตอนนั้นในผู้ฝึกฌานสำนัก เจ็ดจันทราที่เข้าร่วมการสังหารปรมาจารย์ดาราส่วนใหญ่เป็นศิษย์ฟ้าเหนือฟ้าชั้นสี่ แม้พวกเราฟ้าเหนือฟ้าชั้นสามจะมีคนเข้าร่วมเหมือนกัน แต่นอกจากคนจำนวน หนึ่งแล้ว ส่วนใหญ่ต้องวางวงแหวนอาคมผนึกอยู่รอบนอก”
“หวังเทา…ครั้งนี้ข้าว่าเขาคงจะผ่านวงแหวนอาคมนี้ค่อนข้างยากแล้ว เขาเจอกับใครไม่ว่า ดันมาเจอกับ…ปรมาจารย์ดาราผู้มีชื่อเสียงเรื่องความเหี้ยมโหดในตอนนั้น!”
ศิษย์ฟ้าเหนือฟ้าชั้นสามต่างตกใจเพราะการปรากฏตัวของปรมาจารย์ดารา ขณะเดียวกับที่เสียงอื้ออึงดังขึ้น ภายในฟ้าเหนือฟ้าชั้นสี่ ผู้ฝึกฌานที่พูดได้ว่าเป็นกองกำลังเกรียงไกรที่สุดในศิษย์สำนักเจ็ดจันทราต่างมองปรมาจารย์ดาราด้วยจิตสังหารที่แค้นเข้ากระดูก
สงครามในตอนนั้น ผู้อาวุโสยังไม่ปรากฏตัวในตอนแรก แต่เป็นพวกเขาที่ลงมือก่อน ทว่าไม่รู้ว่าปรมาจารย์ดาราใช้วิชาอะไร ขั้นพลังบรรลุถึงจิตเต๋าขั้นหนึ่งในเวลาสั้นๆ สังหารพวกเขาราวกับบี้มดปลวก นี่จึงทำให้ผู้อาวุโสเกิดโทสะจึงลงมาด้วยตัวเอง หลังสร้างความตื่นตะลึงแล้วก็สังหารอีกฝ่ายลง
ส่วนเรื่องที่ว่าปรมาจารย์ดาราใช้วิชาลับอะไรที่ทำให้พลังทะลวงจากขั้นไม่อาจกล่าวตอนต้นถึงจิตเต๋าขั้นหนึ่งในเวลาสามชั่วยามนั้น ไม่ว่าสำนักเจ็ดจันทราจะค้นวิญญาณอย่างไรก็หาไม่พบ
ถึงวิชาลับนี้จะอยู่ได้ไม่นานนัก แต่วิชานี้ก็ร้ายกาจมากพอจะทำให้สำนักเจ็ดจันทราสนใจ ดังนั้น…เขาจึงแค่ถูกสังหาร แต่เก็บเงาเอาไว้ ผนึกไว้ในวงแหวนอาคม
ศิษย์ฟ้าเหนือฟ้าชั้นสี่ส่วนใหญ่รู้ความลับเหล่านี้ แต่ว่าปรมาจารย์ดาราปรากฏตัวที่วงแหวนอาคมที่สิบเอ็ดเป็นครั้งแรกในรอบสามพันปี เลยทำให้ศิษย์ฟ้าเหนือฟ้าชั้นสี่ที่มองไปยังคงมีเสียงกรีดร้องในตอนนั้นดังขึ้นในก้นบึ้งหัวใจ คนร่วมสายเลือดข้างกายตายไปทีละคน กระทั่งศิษย์ใหญ่ดูแลภูเขายังตายไปสามคน
“ไม่อยากเชื่อว่าจะเป็นเขา!”
“น่าเสียดายตอนที่ข้าบุกวงแหวนอาคมไม่เจอเงาของเขา มิเช่นนั้นข้าจะล้างแค้นให้ศิษย์พี่สวี่!”
“ถูกผู้อาวุโสสังหารร่างแล้วเก็บไว้แค่เงา ขั้นพลังตกมาจนถึงภัยพิบัติตอนปลาย มีพลังแค่นี้ ข้าสังหารเขาได้ไม่ยากเลย!”
“หวังเทา ฆ่ามัน!”
“หวังเทา ตอนนั้นเขาสังหารศิษย์สำนักเจ็ดจันทราไปไม่น้อย ฆ่าเขา!” ในฟ้าเหนือฟ้าชั้นสี่เกิดเสียงแบบนี้ขึ้น ทันทีที่เข้าไปถึงหูซูหมิง เขามอง ปรมาจารย์ดาราแวบหนึ่ง ในใจสั่นไหว
‘ด้วยพลังของเขาไม่มีทางก่อภัยพิบัติในแคว้นกู่จั้งได้แน่ และก็ไม่มีทางที่ สำนักเจ็ดจันราต้องใช้ผู้ฝึกฌานมากขนาดนั้นปิดล้อม…ต่อให้เขาบรรลุถึงขั้นไม่อาจกล่าวตอนต้น…ดูเหมือนว่าในตัวปรมาจารย์ดาราจะมีความลับไม่น้อย’ ซูหมิงยิ้ม ทีเล่นทีจริง มองปรมาจารย์ดาราแวบหนึ่ง
‘อีกอย่าง เขาปรากฏตัวที่วงแหวนอาคมที่สิบเอ็ดเป็นครั้งแรกในรอบสามพันปีมานี้ ข้าไม่เชื่อว่าข้าจะโชคดีอย่างยิ่งที่ได้เจอเขา เกรงว่า…จะมีคนควบคุมอยู่!’ ซูหมิง ส่ายศีรษะ ตอนนี้ปรมาจารย์ดาราร้องคำราม สองมือประสานมุทราพลันมีหงส์ดำ สองตัวบินออกมาจากสองมือ พวกมันตัดสลับกันกินพื้นที่ไปมากกว่าครึ่งเข็มทิศ พุ่งตรงมาที่ซูหมิงพร้อมร้องคำรามแหลม วูบเดียวก็กลบร่างซูหมิงเอาไว้ภายใน
“เจ้าฝ่าฝืนกฏแล้ว” พริบตาที่หงส์ดำกลบร่างซูหมิง มีเสียงต่ำดังแว่วเนิบๆ มาจากฟ้าเหนือฟ้าชั้นห้า กึกก้องเทือกเขา เข้าถึงยอดเขาสายเลือดที่สาม เข้าไปในพระราชวังที่หลันหลันกำลังนั่งฌานอยู่
“เขาไม่ควรถูกปล่อยออกมา ในวงแหวนอาคมเป็นเพียงแค่การกำราบเขาเอาไว้เท่านั้น ผู้อาวุโสหลัน เรื่องนี้ข้าต้องการคำอธิบาย”
“เรียนอาจารย์ผู้ดูแล เรื่องนี้อาจารย์ไหว้วานข้า หากอาจารย์ผู้ดูแลสงสัยก็ถามกับอาจารย์ของหลันหลันได้” หลันหลันลืมตาจากสมาธิแล้วตอบกลับเสียงเบา
สิ้นเสียงนาง เสียงจากมวลอากาศก็เงียบหายไป
หลันหลันมองไปข้างนอกเหมือนมองทะลุหอ มองข้ามมวลอากาศไปยังเข็มทิศที่ ซูหมิงอยู่
“อาจารย์ปิดด่านนั่งฌาน ไม่มีทางมายุ่งเรื่องนี้ได้…มีแต่เจ้าสังหารคนนี้ต่อหน้าศิษย์ชั้นสี่เท่านั้น…พวกเขาถึงยอมรับเจ้า อีกอย่างสำนักเจ็ดจันทราหาคำตอบเรื่องความลับในตัวเขาไม่พบ แต่ข้ารู้สึกว่าเจ้า…น่าจะทำได้” ขณะหลันหลันพึมพำ ก็เกิดเสียงดังสนั่นฟ้ามาจากเข็มทิศของฟ้าเหนือฟ้าชั้นสี่
ท่ามกลางเสียงดังสนั่น หงส์สีดำสองตัวร้องเสียงแหลม พวกมันสลายไปทีละน้อย ทำให้เข็มทิศชัดเจนอีกครั้ง ซูหมิงยังคงยืนอยู่ตรงนั้น เหมือนไม่ได้ทำอะไรเลย แต่ปรมาจารย์ดาราตรงหน้ากลับหรี่ตาลง
“แสดงคุณสมบัติที่เจ้าใช้ก่อภัยพิบัติหนึ่งทิศได้ออกมา มิเช่นนั้นเจ้ายังไม่คู่ควรให้ข้าลงมือ” ซูหมิงกล่าวราบเรียบ น้ำเสียงเรียบนิ่ง แต่เมื่อดังกังวานกลับทำให้ผู้ฝึกฌานสำนักเจ็ดจันทราพากันอึ้งงัน แต่ปรมาจารย์ดารากลับมีสีหน้าจริงจังอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
เขายกมือขวาขึ้นช้าๆ สะบัดไปยังมวลอากาศ ฟ้าดินเกิดเสียงครึกโครม ทั้งผืนฟ้าเหมือนเกิดรอยแยกเลือนรางสายหนึ่ง แต่หากมองดีๆ นั่นไม่ใช่รอยแยก แต่เป็น… แส้ยักษ์ที่รวมออกมาจากมวลอากาศ!
นั่นคือแส้สีแดงเส้นหนึ่ง แส้นี้มิใช่ของจริง แต่รวมขึ้นจากมายา ปรมาจารย์ดารายกมือขวาขึ้นกำมันเอาไว้ในมือ
“ที่ข้าก่อภัยพิบัติได้หนึ่งทิศ นอกจากมีวิชาลับที่ให้พลังยกระดับถึงจิตเต๋าขั้นหนึ่งได้ในเวลาสั้นๆ แล้ว ก็มี…แส้ไร้ขอบเขต! น่าเสียดาย ในโลกนี้นอกจากข้าแล้วไม่มีใครรู้ว่าร่างของแส้นี้อยู่ที่ใด ทว่าเจ้า…ได้เห็นแค่แส้เส้นนี้ ได้เห็นแค่เงามายาที่รวมออกมาจากในใจข้า
เจ้าไม่มีโอกาสได้สัมผัสพลานุภาพของมันจริงๆ หรอก แต่ข้าจะให้เจ้าเห็นพลังของเงามายามันสักเล็กน้อย นี่ถือว่าเป็นโชควาสนาของเจ้าแล้ว” ปรมาจารย์ดารายิ้มมุมปากเหี้ยมโหด ตอนที่ยกมือขวาขึ้น แส้ไร้ขอบเขตส่งเสียงดังโครม เหมือนมันตวัดเปิดมวลอากาศฟ้าดินออก ชั่ววูบเดียวก็กลายเป็นรอยแดงสายหนึ่งพุ่งตรงไปหาซูหมิง
ซูหมิงมีสีหน้าปกติ แต่ในใจกลับสั่นไหว ชายชราคนนี้พูดมากนัก ข้อมูลที่รั่วไหลออกมากับคำสนทนาของคนโดยรอบก่อนหน้านี้ทำให้ซูหมิงมองชายชราด้วยรอยยิ้มมุมปาก
เพิ่งยิ้มก็เป็นจังหวะเดียวกับที่แส้นั้นฟาดเข้ามา ซูหมิงเดินหน้าหนึ่งก้าว ยกมือขวาขึ้นคว้าแส้สีแดงที่พุ่งเข้ามาใกล้เอาไว้
แต่ว่าทันทีที่สัมผัสแส้ ในใจเขาเกิดเสียงดังสนั่น ความทรงจำลอยขึ้นมาในความคิด นั่นคือความทรงจำทั้งหมดในโลกซางเซียง ตอนนี้ความทรงจำหมุนม้วน เหมือนถูกพลังประหลาดของแส้เหนี่ยวนำ ซ้ำยังทำให้เขาตัวสั่นสะท้าน เงาข้างหลังรวมถึงจิตวิญญาณเหมือนถูกแส้สูบไป ราวกับจะถูกแยกออกจากร่างหวังเทาที่ยึด ร่างมา
‘แส้นี้…’ ดวงตาซูหมิงพลันเป็นประกาย เขาโคจรพลังในร่างกายฝืนควบคุมความทรงจำที่หมุนม้วนเพราะแส้นี้ไว้ ช่วงที่เดินไปอีกก้าว มือขวายังกำแส้นั้นเอาไว้แน่น เข้าไปใกล้ปรมาจารย์ดาราที่ตอนนี้เบิกตากว้างอ้าปากค้าง จากนั้นยกมือซ้ายขึ้นตบตรงระหว่างคิ้วอีกฝ่าย
พลังการค้นวิญญาณแผ่ออกมาจากมือซ้ายซูหมิง เขาจะค้นความทรงจำของปรมาจารย์ดารา อยากจะหาร่างจริงของแส้นี้ในความทรงจำ รวมถึงหาวิชาลับที่เพิ่มพลังในเวลาอันสั้นด้วย
“เป็นไปไม่ได้…จะ…เจ้าคว้าแส้ไร้ขอบเขตของข้าได้!” ปรมาจารย์ดารามอง มือซ้ายที่กดมาในฉับพลัน ก่อนมีสีหน้าเย้ยเยาะทันที ซึ่งสลายความตื่นตกใจก่อนหน้านี้ไปเล็กน้อย
“ไม่มีใครค้นความทรงจำข้าได้ ผู้อาวุโสสิบสามคนนั้นของสำนักเจ็ดจันทรายังทำไม่ได้ เจ้า…ไม่มีทางทำได้!” ชั่วขณะที่ปรมาจารย์ดาราหัวเราะเสียงดัง มือซ้าย ซูหมิงกดตรงระหว่างคิ้วแล้ว พอขยับเข้ามาใกล้เขายังพูดข้างหูปรมาจารย์ดาราเบาๆ
“นั่นเป็นเพราะก่อนหน้าข้า ที่นี่…ไม่มีเผ่ายมโลก และก็ไม่มีวิชาย้อนเวลา!”