Skip to content

สู่วิถีอสุรา 17

ตอนที่ 17 เคล็ดวิชาบรรพชนหมาน

“ซูหมิง สิ่งเหล่านี้ไม่มีในเทวรูปแห่งหมาน แต่นักรบหมานทุกคนต่างรู้ดี อีกทั้งยังต้องจารึกอยู่ในใจ! ชั่วชีวิตนี้บางทีปู่อาจจะทะลวงไปไม่ถึงขั้นชำระล้าง…ตอนจ้าวหมานแห่งเผ่าร่องลมอายุยี่สิบเขาสู้ปู่ไม่ได้ กระทั่งอายุสามสิบสี่ถึงเทียบเคียงได้ ในตอนนั้นชนเผ่าใกล้ๆ โดยรอบแปดทิศ ไม่มีใครไม่รู้จัก!” ท่านปู่กล่าวขึ้นอย่างช้าๆ ใบหน้าแก่ชรามีเลือดฝาด ในแววตาของเขาแฝงด้วยความภูมิใจ

เพียงแต่ความภูมิใจนั้น ราวกับถูกฝุ่นกลบจนมิด…

“ข้าในตอนนั้นทะลวงถึงลำดับแปดขั้นรวมโลหิต…” ท่านปู่ถอนหายใจเบาๆ พึมพำด้วยน้ำเสียงทุกข์ใจ ยิ่งหวนนึกความทรงจำ ความเจ็บปวดยิ่งค่อยๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้า

“ซูหมิง เจ้าจงจำเอาไว้ โลกใบนี้เหนือฟ้ายังมีฟ้า เหนือคนยังมีคน อย่าพอใจในตนเองตลอดไป…” ท่านปู่ส่ายศีรษะ ราวกับไม่อยากกล่าวถึงเรื่องของตนอีก

“ชั่วชีวิตนี้ปู่เคยออกไปข้างนอกสามครั้ง ได้ประสบการณ์มามากมาย แม้จะเสียไปมากเช่นเดียวกันก็ตาม แต่ทว่าข้ากลับได้เรียนรู้เคล็ดวิชาหมาน วิชานี้ไม่มีทางที่เผ่าร่องลมจะรู้จักได้ แม้แต่ในเผ่าขนาดกลางยังหาได้ยากยิ่ง มันคือเคล็ดวิชาบรรพชนหมานที่มีเพียงเผ่าขนาดใหญ่เท่านั้นที่มีสิทธิครอบครอง….เคล็ดวิชาการชี้นำหมานที่แท้จริง….หนึ่งชีวิตสำแดงพลังได้หนึ่งครั้ง เป็นของอวยพรที่เตรียมไว้เพื่อทายาท”

แววตาท่านปู่ตั้งมั่น ก่อนยกมือขวาขึ้น ทั่วทั้งฝ่ามือพลันเปลี่ยนเป็นสีแดงสด แล้วค่อยๆ นาบลงบนหัวกะโหลกของซูหมิง

“ซูหมิง การชี้นำหมานเพียงหนึ่งเดียวในชีวิตปู่ตอนนี้อยู่ในตัวเจ้าแล้ว ปู่ขออวยพรเจ้า หวังว่าเจ้าจะทำให้ความปรารถนาของปู่เป็นจริง ให้เผ่าเขาทมิฬของพวกเราปรากฏผู้แข็งแกร่งขั้นพลังชำระล้างขึ้นอีกครั้ง! รีบโคจรโลหิต แล้วหลอมโลหิตเผ่าหมานที่ปู่รวมมาแปดสิบปีเสีย!”

โลหิตทั่วร่างท่านปู่เพิ่มขึ้นสูง โดยเฉพาะมือขวา ราวกับมีหยดเลือดหลั่งออกมา ทั่วตัวเขาปรากฏเส้นเลือดจำนวนมาก มองดูแล้วราวเจ็ดร้อยกว่าเส้น!!

นี่ต่างหากคือพลังที่แท้จริงของท่านปู่ เส้นเลือดเจ็ดร้อยกว้าเส้น แม้เขาจะอยู่ลำดับเก้าขั้นรวมโลหิต ทว่ากลับประมือกับลำดับสิบขั้นรวมโลหิตได้อย่างสูสี!

ซูหมิงตัวสั่นสะท้าน โลหิตที่หมุนเวียนในร่างปรากฏความอ่อนโยนขึ้นมหาศาล จากกะโหลกศีรษะหลอมลงสู่ร่างกาย ทำให้การโคจรโลหิตพลันระเบิดเพิ่มขึ้น ของเหลวสีดำจำนวนมากถูกขับจากรูขุมขนอย่างต่อเนื่อง ร่างกายค่อยๆ เกิดความรู้สึกเชื่อมถึงกัน ทุกลมหายใจหายเข้าออก รวมถึงรูขุมขนทั่วร่างต่างดูดซับพลังงานฟ้าดินพร้อมกัน

เสียงกรอบดังก้องกังวาน ร่างซูหมิงหยุดนิ่ง ทว่าสีหน้ากลับมีเลือดฝาด คล้ายกลืนของชิ้นใหญ่บางสิ่ง เส้นเลือดบนตัวเขาปรากฏการเปลี่ยนแปลงพิลึก!

เงาเส้นเลือดเส้นที่เจ็ดพลันเด่นชัดขึ้น หลังจากนั้นเส้นเลือดเส้นที่แปดจึงโผล่ตามขึ้นมา กระทั่งเส้นเลือดเส้นที่เก้ายังปรากฏเลือนราง

ความเร็วการโคจรโลหิตในกายซูหมิงถึงจุดที่น่าสะพรึง ทุกครั้งที่โคจรจะทำให้โลหิตทั้งหมดในกายราวกับถูกกลั่น กระทั่งซูหมิงยังรู้สึกคล้ายว่าโลหิตของตนคล้ายเปลี่ยนเป็นกาวเข้มข้น

“นี่ต่างหากคือความหมายที่แท้จริงของขั้นพลังรวมโลหิต! กลั่นโลหิตในกายจนออกมาเป็นโลหิตหมาน!”

ก่อนหน้านี้ยามเขาฝึกฝน มักจะรู้สึกเหมือนว่าโลหิตในกายไม่เพียงพอ ทว่าตอนนี้ด้วยพลังอ่อนโยนที่ไหลสู่ร่างทำให้ความรู้สึกเช่นนั้นหายไป กระทั่งเขาเองก็ยังไม่แน่ใจว่านี่มันใช่เรื่องจริงหรือ

ท่านปู่ยามนี้ถูกแสงโลหิตโอบร่าง ประหนึ่งกลายเป็นกลุ่มแสงสีเลือดมหึมา อีกทั้งซูหมิงก็ยังเป็นก้อนแสงสีเลือดเช่นเดียวกัน เพียงแต่หากเทียบกันแล้วเปรียบดั่งจันทรากับแสงหิ่งห้อย ทว่าแสงหิ่งห้อยยามนี้กลับดูดแสงจากจันทรา เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว

“นี่คือ…. สิ่งที่ท่านปู่บอก การชี้นำหมานที่แท้จริง เคล็ดวิชาบรรพชนหมานที่มีเพียงเผ่าขนาดใหญ่เท่านั้นถึงจะมีสิทธิครอบครอง!”

เส้นเลือดเส้นที่เก้าพลันเด่นชัดขึ้น ความรู้สึกถึงพลังแผ่ขยายไปทั่วร่างซูหมิง ของเหลวสีดำจำนวนมากไหลจากรูขุมขนจนหมดสิ้น แล้วแทนที่ด้วยกลิ่นหอมที่ไม่อาจกล่าวเป็นคำพูดได้

ซูหมิงตกอยู่ในห้วงความรู้สึกนี้ รู้สึกอบอุ่นยิ่งนัก

ท่านปู่ยังคงมองสังเกตซูหมิงตลอด เขาทราบถึงเคล็ดวิชาบรรพชนหมานดี การชี้นำหมานที่แท้จริง จุดสำคัญไม่ได้อยู่ที่การเพิ่มพลังให้แก่เด็กรุ่นหลัง แต่เป็นการเค้นสิ่งปฏิกูลในตัวของพวกเขาออกมาทั้งหมด เพื่อให้สร้างร่างกายที่เหมาะสม และทำให้เส้นทางการฝึกฝนราบรื่นขึ้น

สิ่งปฏิกูลเหล่านี้ไม่ใช่ว่าจะเค้นกันออกมาได้ง่ายๆ แต่ต้องใช้โลหิตหมานเป็นตัวชี้นำและใช้วิธีการพิลึกที่แม้แต่ตัวเขาเองยังไม่อาจเข้าใจ ที่สำคัญคือตลอดชีวิตทำได้เพียงหนึ่งครั้งเท่านั้น!

หากทำครั้งที่สอง คนที่สำแดงวิชาร่างกายจะระเบิด วิญญาณสูญหายไปตลอดกาล

กลิ่นหอมกรุ่นจากตัวซูหมิงเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ ใบหน้าท่านปู่ค่อยๆ เผยรอยยิ้ม ทว่าเขาไม่หยุดเพียงแค่นั้น สูดลมหายใจเข้าลึก ยกมือซ้ายขึ้นพลันประกบลงบนมือขวาตนเอง ตามด้วยพลังอ่อนโยนมหาศาลพุ่งทะลวงสู่ร่างซูหมิง

ซูหมิงพลันตัวสั่นสะท้าน เดิมทีกายหยุดขับสิ่งปฏิกูลสีดำแล้ว แต่ทว่ายามนี้พลังอ่อนโยนไหลเข้าสู่ร่าง เกิดเสียงติ๋งๆ ดังขึ้น สิ่งปฏิกูลสีดำไม่น้อยถูกขับออกจากตัวอีกครั้ง

ในขณะเดียวกัน บนตัวซูหมิงปรากฏเส้นเลือดเส้นที่สิบ จากเลือนรางเปลี่ยนเป็นเด่นชัดขึ้น เพียงเวลาไม่นานก็รวมจนสมบูรณ์ กระทั่งเส้นเลือดเส้นที่สิบเอ็ดยังค่อยๆ ปรากฏขึ้นบางตา!

หากเส้นเลือดเส้นที่สิบเอ็ดสมบูรณ์ นั่นหมายความว่าซูหมิงได้ทะลวงสู่ลำดับสามขั้นรวมโลหิตแล้ว!

ทว่ากว่าจะรวมเส้นโลหิตเส้นที่สิบเอ็ดได้ช่างยากเข็ญยิ่งนัก จนกระทั่งตัวซูหมิงไม่มีสิ่งปฏิกูลสีดำถูกขับออก กลิ่นกายหอมฟุ้งสดชื่น เส้นเลือดเส้นที่สิบเอ็ดก็ยังปรากฏเพียงเลือนรางเท่านั้น

“ซูหมิง ปู่ไม่อาจช่วยเจ้าทะลวงพลังได้แล้ว แบบนั้นมันส่งผลร้ายต่อเจ้า แต่ด้วยความมุมานะของเจ้า อีกไม่นานคงทะลวงสู่ลำดับสามได้” เสียงท่านปู่ดังก้องอยู่ข้างหูซูหมิง

ซูหมิงสูดลมหายใจเข้าลึก ค่อยๆ ลืมตาขึ้น แวบแรกที่เขาเห็นคือโลกที่เปลี่ยนไป คล้ายชัดเจนขึ้นหลายเท่า เหมือนว่าก่อนหน้านี้มองเห็นได้ไม่ละเอียดถึงเพียงนี้ ปัจจุบันกระจ่างชัดอย่างยิ่ง

โลก…เปลี่ยนไปแล้ว

ดวงตาทั้งสองข้างชัดราวกับน้ำใส ทว่าหากตั้งใจพิจารณา กลับเหมือนดั่งเหวลึกก็มิปาน ทำให้ผู้คนตกสู่ห้วงความหลงใหล ไม่อาจถอนตัวได้

เขามองท่านปู่ ก่อนพบว่าใบหน้าท่านปู่ชราภาพมากขึ้นไม่น้อย อีกทั้งยังดูเหนื่อยล้า มองเข้าไปในดวงตาทั้งสองข้าง พบความอ่อนโยนและความรักใคร่แฝงอยู่ลึกๆ

ซูหมิงมองท่านปู่ด้วยความสับสน ก่อนคุกเข่าลงแล้วโขกศีรษะลงบนพื้นเบาๆ หนึ่งครั้ง

“เอาละ เจ้าโตแล้ว ไม่ใช่ลาซูอีกต่อไป ปู่รู้สึกเพลียเล็กน้อย เจ้ากลับไปก่อนเถอะ ให้ปู่ได้พักผ่อนเสียหน่อย”

“ท่านปู่….” ซูหมิงกัดริมฝีปาก มองท่านปู่อย่างลึกซึ้งแล้วจารึกทุกอย่างไว้ในสมอง ชั่วชีวิตตราบนิจนิรันดร์เขาจะไม่มีวันลืมว่ามีอยู่คนหนึ่งที่เฝ้าเลี้ยงดูเขามาแต่เยาว์วัย สอนให้เขารู้จักคำว่าครอบครัว ให้เขาเข้าใจถึงความรัก ตลอดชีวิตนี้ก็ไม่อาจทดแทนบุญคุณได้…

“อีกไม่นาน เจ้าไป…เผ่าร่องลมกับปู่ที ไปเยี่ยมจ้าวหมานแห่งเผ่าร่องลม เจ้าจะได้ไปพบปะกับพวกนักรบหมานที่นั่นด้วย ถึงตอนนั้นเผ่าภูผาดำ เผ่ามังกรทมิฬ และยังมีเผ่าเล็กๆ โดยรอบจะเดินทางไปที่นั่น…เพื่อร่วมทำพิธีสิริมงคลให้กับพวกเจ้าเด็กในรุ่นนี้” ก่อนเดินจากไป ซูหมิงพลันได้ยินเสียงท่านปู่ดังก้องข้างหู

“กลิ่นหอมและโลหิตในกายเจ้า ข้าใช้วิชาหมานอำพรางให้แล้ว เว้นแต่ผู้มีขั้นพลังสูงกว่าปู่ มิเช่นนั้นแล้ว จะไม่มีใครสัมผัสได้ เรื่องที่เจ้าเป็นนักรบหมานก็ห้ามบอกผู้อื่นด้วยเช่นเดียวกัน….รอจนกว่าปู่จะลากคอเจ้าคนทรยศออกมาได้ก่อนค่อยตัดสินใจอีกที”

ซูหมิงพยักหน้า มองท่านปู่ที่ยามนี้นั่งขัดสมาธิหลับตาและตกอยู่ในห้วงการฝึกฝน ก่อนเดินจากไปอย่างเงียบๆ

เขาทราบถึงเผ่าร่องลมดี เป็นเผ่าขนาดกลางเพียงหนึ่งเดียวในบริเวณรอบๆ แปดทิศ เป็นดั่งผู้ปกครองแดนผืนนี้ ซูหมิงเคยได้ยินมาว่า ท่านปู่แห่งเผ่าร่องลมเป็นผู้แข็งแกร่งขั้นพลังชำระล้าง มีอายุยืนยาวไม่ว่า ยังมีพลังที่เชื่อมต่อกับผืนฟ้าได้

“ขั้นชำระล้าง…ไม่รู้ว่าชีวิตนี้ข้าจะไปถึงหรือไม่…จะวาดลวดลายแห่งหมานของตนได้หรือไม่…” นัยน์ตาฉายแววเฝ้าปรารถนา สำหรับเขาแล้ว ขั้นชำระล้างเป็นดั่งตำนาน อยู่ห่างไกลยิ่งนัก

“พลังที่แท้จริงของท่านปู่ยังแข็งแกร่งถึงเพียงนี้…เช่นนั้นท่านปู่แห่งเผ่าภูผาดำที่ข้าได้ยินมาก่อนหน้า หรือว่าจะมีความลับซ่อนอยู่….ถ้ามิเช่นนั้นแล้ว พวกมันคงไม่มีทางอยู่รอดจนมาถึงทุกวันนี้แน่….” ซูหมิงโคลงศีรษะ ก่อนเลิกคิดถึงเรื่องดังกล่าว

เมื่อกลับมาถึงเรือนที่ตนห่างหายไปหลายเดือน ได้เห็นสถานที่คุ้นเคยเช่นนี้ จิตใจซูหมิงสงบลง ด้านใน

ยังคงสะอาดเรียบร้อย ไม่มีฝุ่นเกาะแม้แต่น้อย ซูหมิงทราบดี จะต้องเป็นเฉินซินที่เข้ามาทำความสะอาดยามเขาไม่อยู่อย่างแน่นอน

เฉินซินเป็นหนึ่งในเด็กสาวของเผ่าเขาทมิฬ และเป็นสตรีเผ่าหมานเพียงหนึ่งเดียวที่ค่อนข้างสนิทกับซูหมิง นางเป็นบุตรสาวของจ้าวเผ่า จึงต้องออกเรือนกับจ้าวเผ่าคนต่อไปเท่านั้น เพื่อสืบทอดสายเลือดต่อไป ไม่ให้เกิดการแตกสาย

ซูหมิงทราบถึงเรื่องนี้มานานแล้ว และไม่ได้รู้สึกอะไรมากมาย ในใจของเขาเฉินซินเป็นดั่งน้องสาวคนหนึ่ง ไม่มีความรู้สึกพิเศษแอบแฝง

ซูหมิงนั่งขัดสมาธิบนเตียง จับเศษหินตรงคอ ในแววตากำลังครุ่นคิดบางอย่าง

ยามตะวันค่อยๆ ลับขอบฟ้า เหลยเฉินมาหาซูหมิงพร้อมกับคำถาม ทว่าพอมองซูหมิงอีกครั้ง กลับต้องตกตะลึง เห็นท่าทางซื่อๆ แบบนั้น ทำให้ซูหมิงหัวเราะเสียงดัง

เขาหยิบสมุนไพรที่เก็บได้จากกระดูกนักรบหมานเผ่าภูผาดำออกมา ว่านหินฟ้านี้ซูหมิงย่อมรู้จักอย่างแน่นอน เป็นหนึ่งในสมุนไพรล้ำค่า หลายปีมานี้เขาเคยเก็บได้ครั้งหนึ่ง ทว่าตอนนั้นมันยังเป็นเพียงต้นอ่อนอยู่ ไม่เหมือนกับว่านตรงหน้าที่โตเต็มที่ มีใบทั้งหมดหกใบ

“ว่านหินฟ้าหกใบ ข้าต้องใช้มันกลั่นสมุนไพรมากหน่อย เลยให้เจ้าได้แค่ใบเดียว บางทีอาจจะช่วยเพิ่มพลังให้เจ้าได้ไม่น้อย” ซูหมิงเด็ดมาหนึ่งใบ แล้วส่งให้เหลยเฉิน

เหลยเฉินยิ้มซื่อๆ เกาศีรษะ ยื่นมือรับด้วยความเกรงใจ แล้วจึงตบหน้าอกตนเองกล่าว

“ซูหมิง ข้านี่ไม่รู้เรื่องอะไรสักอย่าง ถึงอย่างไรตอนเด็กข้าก็เคยบอกเจ้าแล้วว่า ข้าจะเป็นท่านปู่ของเผ่าเรา มีข้าอยู่ ใครก็รังแกเจ้าไม่ได้!”

ซูหมิงหัวเราะเสียงดัง หลังจากสนทนากับเหลยเฉินเสร็จ ก็เห็นเขาถือใบว่านหินฟ้าด้วยอารมณ์ตื่นเต้น เห็นได้ชัดว่าอยากจะรีบกลับไปกินเพื่อฝึกฝนพลังเต็มแก่

เหลยเฉินทำท่าทางอ่อนเพลียและง่วงนอน ก่อนสั่นศีรษะเรียกสติ รีบยันกายขึ้นพร้อมกล่าวลา

ยามนี้ท้องฟ้ามืดมิด ในเผ่าค่อยๆ เงียบสงัด ซูหมิงใช้เก้าอี้ดันประตูเอาไว้ แล้วจึงนั่งขัดสมาธิบนเตียง สูดลมหายใจเข้าลึก มือขวาจับเศษหินตรงคอ ในความคิดปรากฏสถานที่พิลึกในตอนนั้นขึ้น

“ข้าเตรียมโอสถชำระล้างมาพร้อมแล้ว..… ครั้งนี้ไม่รู้ว่าจะได้อะไรกลับมาหรือไม่…..”

ซูหมิงหลับตา เขาล่วงรู้ถึงวิธีการเข้าไปในสถานที่พิลึกแห่งนั้นได้นานแล้ว จำเป็นต้องตั้งจิตให้มั่นยามฝึกฝน แล้วรวมเส้นโลหิตทั่วร่างไว้ตรงหน้าอก ก็จะก้าวเข้าสู่ห้วงความรู้สึกประหลาดนั้นได้

ก่อนหน้านี้เขาลองมาแล้วหลายครั้ง ครั้งนี้จึงทำได้ดั่งใจคิด

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version