Skip to content

สู่วิถีอสุรา 172

ตอนที่ 172 โซ่เขาหานท่ามกลางสายฝน

“ท่าน…มากับข้า” หานชางจื่อหยิบแผนที่ของเผ่าบูรพาสงบ ยันกายขึ้น ใบหน้างามยามนี้แดงเรื่อยิ่งขึ้นจนลามไปถึงใบหู ทำให้คนมองเกิดความรู้สึกประหลาดใจ

ซูหมิงชะงักงัน ไม่เข้าใจเล็กน้อยว่าสตรีตรงหน้าเป็นอะไร

ยามนี้หานชางจื่อหัวใจเต้นแรง หมุนตัวเดินไปทางยอดเขาบูรพาสงบจากอีกด้าน เงาด้านหลังของนางอรชรอ้อนแอ้น พอมองเห็นถึงความอ่อนช้อยจากลักษณะการเดิน

ซูหมิงถูจมูกโดยไม่รู้ตัว ทว่าสิ่งที่โดนคือหน้ากาก เขายิ้มเฝื่อนพร้อมกับยันกายขึ้น เดินตามหานชางจื่อไป เขายังไม่เข้าใจว่าเหตุใดนางถึงมีสีหน้าแบบนั้น

หานชางจื่อเงียบตลอดทาง ซูหมิงก็เช่นกัน ทั้งสองคนเดินไปทางยอดเขาจากอีกทิศทาง ไม่นานเบื้องหน้าก็เห็นถ้ำภูเขาแห่งหนึ่งภายในป่าเขา

ถ้ำเขาแห่งนี้ลึกลับยิ่งนัก หากไม่ใช่ผู้คุ้นเคยคงหาพบยาก

“ที่นี่ไม่มีคน เป็นที่เล่นซึ่งข้าเจอโดยบังเอิญตอนยังเด็ก พอเติบใหญ่ข้าก็มักจะมาคนเดียวบ่อยๆ ตรงนี้ข้าวางอาคมป้องกันของสำนักเหมันต์สวรรค์เอาไว้ ปลอดภัยอย่างแน่นอน” นอกถ้ำภูเขา หานชางจื่อยืนหันหลังให้ซูหมิงขณะกล่าวเบาๆ

ซูหมิงขมวดคิ้ว พิจารณาโดยรอบแวบหนึ่ง ก่อนแผ่ขยายเคล็ดวิชาตราประทับ มองหานชางจื่อโดยไม่กล่าวสิ่งใด

“ท่าน…เข้ามาสิ” หานชางจื่อกัดฟันอีกครั้ง เดินนำเข้าไปภายในถ้ำเขา ซูหมิงลังเลครู่หนึ่ง หลังจากมั่นใจแล้วว่าไม่มีอะไรผิดปกติจึงเดินเข้าไป

ภายในถ้ำไม่ใหญ่มากนัก ลักษณะเหมือนกับห้อง แต่มืดทึบเล็กน้อย แม้กล่าวว่าไม่ชัดเหมือนยามกลางวัน ทว่าในสายตาซูหมิงกลับมองเห็นทุกอย่างชัดเจน

“เจ้าพาข้ามานี้ คือ…” ซูหมิงขมวดคิ้ว เพิ่งกล่าวถึงตรงนี้พลันชะงัก เขาถอยหลังไปหลายก้าวทันใด มึนงงมองหานชางจื่อและพูดไม่ออก

หานชางจื่อยังคงหันหลังให้ซูหมิง ทว่าในช่วงที่ซูหมิงกล่าว นางใช้มือสองข้างถอดเสื้อผ้าออก เผยให้เห็นแผ่นหลังงาม อีกทั้งช่วงที่ซูหมิงกำลังตกตะลึง หานชางจื่อตัวสั่นเทา ถอดเสื้อผ้าออกจนหมด สิ่งที่เผยให้เห็นตรงหน้าเขาคือแผ่นหลังของสตรีที่งดงาม

เส้นโค้งเว้า สีผิวไร้ที่ติ กระทั่งซูหมิงยังเห็นขนอ่อนที่ปรากฏชัดเพราะตัวนางสั่นไหวได้ เส้นโค้งที่แผ่นหลังเว้าลงไปตรงช่วงเอว ก่อนผายออกได้สัดส่วนบริเวณสะโพก วาดเค้าโครงร่างที่ทำให้ซูหมิงตาค้าง

“เจ้า…” ซูหมิงถอยหลังอีกครั้ง จ้องหานชางจื่อ ไม่รู้ว่าควรจะกล่าวอย่างไรดี

“นี่คือการพิสูจน์ของข้า” หานชางจื่อตัวสั่น หันกลับมาโดยที่สองมือกอดหน้าอก มีน้ำตาไหลรินตรงหางตา ทว่ากลับมองซูหมิงอย่างมั่นคง

“เมล็ดพันธุ์หมานในตัวฟางมู่ ท่านก็เห็นแล้ว ข้าไม่ได้พูดปด…ส่วนข้า ข้าถูกซือหม่าซิ่นปลูกความรัก ทว่าก็ปลูกแค่ในใจเท่านั้น ข้ามอบร่างกายให้ท่านได้ แม้ทำลายความรู้สึกที่เขาเพาะไว้ไม่ได้ ทว่านี่ก็เป็นวิธีเดียวที่ทำให้ท่านเชื่อข้า”

ซูหมิงเงียบ กวาดสายตามองหานชางจื่อ ไม่กล่าวสิ่งใดอยู่เนิ่นนาน

นางยืนอยู่อย่างนั้นเงียบๆ น้ำตารินไหล และกำลังรอคอย

“เหตุใดถึงเลือกข้า?” ผ่านไปครู่หนึ่ง ซูหมิงกล่าวอย่างสงบนิ่ง

“เพราะข้าเห็นเรื่องราวที่ข้าไม่ควรเห็นในความทรงจำของท่าน…ข้าเชื่อว่าท่านทำได้ ต่อให้ตอนนี้ทำไม่ได้ ทว่าในภายภาคหน้าท่านจะต้องทำได้อย่างแน่นอน”

หานชางจื่อมองซูหมิงด้วยความเชื่อมั่น แม้ใบหน้างามเปื้อนน้ำตา ทว่ากลับมีความเข้มแข็งที่ทำให้ซูหมิงนับถือ

“ข้าจะเชื่อได้อย่างไรว่าเจ้าเห็นความทรงจำของข้าจริงๆ” ซูหมิงขบคิดไปชั่วครู่ อารมณ์ชั่ววูบจากการกระทำบุ่มบ่ามของนางกลับมาสงบนิ่งอีกครั้ง

“มิติ สี่ปี โซ่เหล็ก ปฏิเสธ ศีรษะเทพหมานรุ่นสอง!”

หานชางจื่อกล่าวเบาๆ นางไม่ทราบว่าซูหมิงนึกอะไรออกหรือไม่ ทว่านางมั่นใจว่าอีกฝ่ายจะเข้าใจคำพูดของนางบ้าง

ซูหมิงสูดลมหายใจเข้าลึก พยายามระงับความตื่นตะลึง เขามองหานชางจื่ออยู่นาน พลันเดินไปยืนอยู่ตรงหน้าสตรีที่กำลังตัวสั่นเทา ขณะเขาเข้าใกล้ หานชางจื่อหลับตาลงรอคอยเหตุการณ์ต่อไป นางตัดสินใจแล้วว่าจะยอมสละทุกอย่างเพื่อความแค้นที่ไม่ได้กล่าวออกมาจนจบ

ซูหมิงก้าวมาอยู่หน้าหานชางจื่อ กลิ่นหอมอ่อนๆ ลอยเข้าจมูก ราวกับหลอมละลายในร่างกาย เขามองสตรีที่ต่างจากไป๋หลิงโดยสิ้นเชิง ได้ยินเสียงคำว่าสัญญาของนางก่อนหน้านี้ดังวนเวียนรอบหู พลันยกมือขวากดตรงระหว่างคิ้วของนาง

หานชางจื่อตัวสั่นเทา กัดริมฝีปากแน่นและยืนนิ่ง

ผ่านไปนาน ซูหมิงย่อตัวลงอย่างช้าๆ เก็บเสื้อผ้าของหานชางจื่อขึ้นมา แล้วพาดไว้บนตัวนาง ปกปิดร่างกายงดงามที่คนจิตใจสั่นไหวเอาไว้

“ไม่ต้องทำเช่นนี้ ข้าเห็นความรักที่ซือหม่าซิ่นปลูกในตัวเจ้า เป็นคนเดียวกับของฟางมู่…สัญญาของเจ้า ข้าตกลง”

ซูหมิงกล่าวเบาๆ ข้างหูนาง กล่าวจบแล้วจึงหมุนตัวเดินออกจากถ้ำเขาไป

หานชางจื่อตัวสั่น นางพลันลืมตา มองเงาหลังของซูหมิงอย่างเลื่อนลอย น้ำตารินไหลมากขึ้น นางไม่คิดเลยว่าซูหมิงจะจากไปอย่างนี้

“สำนักเหมันต์สวรรค์มีแผนที่อย่างที่ท่านต้องการ ข้าไม่เคยเห็น แต่ข้ารู้ว่ามี!” นางกล่าวทันใด คำพูดของนางทำให้ซูหมิงหยุดชะงัก

“ขอบคุณ แล้วพบกันที่สำนักเหมันต์สวรรค์” ซูหมิงยืนหันหลัง ก่อนเดินออกจากปากถ้ำ

“การรับศิษย์ของสำนักเหมันต์สวรรค์ในครั้งนี้จะรับแค่หานเฟยจื่อ พวกเขาจะไม่พิจารณาคนอื่น…ต่อให้บุกโซ่เขาหานก็ยากจะเข้าได้ ท่าน…” หานชางจื่อไม่ทราบว่าเพราะเหตุใดเหมือนกัน เดิมทีนางไม่คิดจะกล่าวเช่นนี้ ทว่านางกลับกล่าวออกไป

“ข้ารู้แล้ว” ซูหมิงเดินออกจากถ้ำเขา มองดวงจันทร์และดาราบนท้องฟ้า ก่อนออกจากเผ่าบูรพาสงบ

ผ่านไปนาน หานชางจื่อเดินออกจากถ้ำเขา สีหน้านางซับซ้อน ยืนเหม่อลอยอยู่ชั่วครู่

“ควรเป็นข้าที่ต้องขอบคุณท่าน…ขอบคุณ…” หานชางชื่อพึมพำกับตัวเอง

ในยามค่ำคืน ซูหมิงนั่งอยู่บนยอดเขาตอนเขามาเมืองเขาหานครั้งแรก หากมองจากตรงนี้จะเห็นภาพลางของเมืองเขาหาน พายุโหมกระหน่ำส่งเสียงลากยาวพัดผ่านตัวซูหมิง เส้นผมเขาปลิวไสว

ยามค่ำคืนมืดมิด เขานั่งเงียบๆ สายตาไม่มองเมืองเขาหาน แต่มองดาวบนท้องฟ้า ในกลุ่มดาวระยิบระยับ แม้แต่ตัวเขายังไม่ทราบเลยว่ากำลังมองหาอะไร

“สำนักเหมันต์สวรรค์มีแผนที่อย่างที่ข้าต้องการ ข้าจะต้องเข้าสำนักนั้นให้ได้ แม้จะกลัวความจริง ทว่าก็ต้องหาแผนที่ให้พบ จะมาหลบเพราะความกลัวไม่ได้…”

“อาการบาดเจ็บของฟางมู่เป็นคำมั่นระหว่างข้ากับฟางเซิน เป็นเรื่องบังเอิญที่เด็กคนนี้ต้องใกล้ชิดกับข้าในช่วงเวลาหลายปี แม้ว่าเพราะเหตุนี้ต้องล่วงเกินซือหม่าซิ่นก็ตาม…”

“คำสัญญาของหานชางจื่อ…นางเป็นคนที่แปลกยิ่งนัก ที่แปลกมิใช่ภายนอก แต่เป็นความคิดของนาง…ข้าเคยผิดคำสัญญามาแล้วครั้งหนึ่ง หวังว่าครั้งนี้ข้าจะทำตามสัญญาได้…” ซูหมิงกล่าวพึมพำกับตัวเอง

‘ฐานะแขกพิเศษบูรพาสงบจะใช้อีกไม่ได้แล้ว มิเช่นนั้นจะทำให้เกิดปัญหา

หานเฟยจื่อต้องมาอย่างแน่นอน และยังมีเหยียนหลวนจ้าวเผ่าเหยียนฉือ…หานชางจื่อเคยบอกว่าครั้งนี้สำนักเหมันต์สวรรค์รับแค่หานเฟยจื่อเพียงคนเดียว คนนอกต่อให้บุกโซ่เขาหานก็ยังยากจะเข้าสำนัก……เรื่องนี้จำเป็นต้องเตรียมตัวอย่างดี ในเมื่อเป็นอย่างนั้นก็คงต้องเปลี่ยนฐานะตัวเองใหม่

คุณสมบัติ หากคิดจะเข้าสำนักเหมันต์สวรรค์จำเป็นต้องมีคุณสมบัติ คุณสมบัตินี้แม้ว่ามันมีความหมายที่แน่นอน ทว่าหากใช้วิธีที่ต่างกันเพื่อสร้างคุณสมบัติ ผลลัพธ์ย่อมไม่เหมือนกัน ครั้งนี้ข้าต้องสร้างความตื่นตะลึง!’ นัยน์ตาซูหมิงเป็นประกาย มองยอดเขาเผ่าผู่เชียงด้านหลังเมืองเขาหาน

‘วัตถุดิบในการหลอมโอสถชิงวิญญาณครบแล้ว เมื่อครู่ข้าเพิ่งปลูกกิ่งไม้เสียงสวรรค์ อีกไม่กี่วันก็น่าประสานกัน ตอนนี้ขาดเพียงพลังแห่งความตายในการหลอมโอสถ…ใช้พลังความตายหลอม เมื่อสำเร็จจะเกิดภัยพิบัติ ซากศพเป็นตัวแทนรับภัยพิบัติ แหลกสลายกลายเป็นโอสถ!

โอสถชนิดนี้ บางทีอาจเป็นวัถตุประจำตัวในการชำระล้างของข้า!’ ในมือซูหมิงพลันปรากฏไข่มุกสีดำ มันคือไข่มุกกระดูกมรณะที่เขาได้มาจากชาวเผ่าผู่เชียงตอนตื่นจากการทำเพลิงแผดเผา

ซูหมิงมองไข่มุกชั่วครู่ ก่อนเก็บมันกลับไป

‘โซ่เขาหาน ต้องบุกโซ่เขาหานของเผ่าผู่เชียง! นอกจากสร้างคุณสมบัติในการเข้าสำนักเหมันต์สวรรค์แล้ว หากทำสำเร็จก็ยังขอความปรารถนาจากเผ่าผู่เชียงได้หนึ่งข้อ ใช้พลังความตายหลอมโอสถ หากเปลี่ยนเป็นวิธีอื่น เผ่าผู่เชียงไม่น่าจะยอมรับ อีกทั้งต่อให้ยอมรับก็ต้องเกิดปัญญาภายหลัง…มีแค่บุกโซ่เขาหานเท่านั้น ครั้งนี้ยิงศรนัดเดียวได้นกสองตัว!’

ซูหมิงมองยอดเขาเผ่าผู่เชียงในยามค่ำคืน เขามองไม่เห็นส่วนปลายยอด ตรงนั้นมีหมอกหนาปกคลุม ขณะมองนัยน์ตาเขาฉายแววเด็ดเดี่ยว

สิบวันต่อมายามเช้าตรู่ เมฆดำปกคลุมบนท้องฟ้า มีฟ้าผ่าลงมาเป็นบางครั้ง น้ำฝนขนาดเท่าเม็ดถั่วถาโถมลงมา กระทบบนหินภูเขา ตกบนแผ่นดินใหญ่ ผู้คนเดินถนนในเมืองเขาหานค่อยๆ บางตา ต่อให้อยู่ด้านนอกก็จะใส่งอบ สวมเสื้อกันฝน

วันฝนตกเช่นนี้ คนที่อยู่ในเมืองนี้มานานล้วนทราบดี ต้องใช้เวลาอีกหลายเดือนกว่าจะผ่านช่วงนี้ไป ต่อให้มีวันแจ่มใสบ้างก็เป็นช่วงเวลาที่ไม่นานนัก

ยามเช้าตรู่ท่ามกลางสายฝน ยอดเขาสามชนเผ่ายังคงเงียบสงัดเหมือนเดิน มีเพียงหมอกสามสีบนยอดเขาทั้งสามที่ยังคงอบอวล ปกคลุมโดยรอบ ทำให้ดูลึกลับเหมือนเก่า

ในวันนี้นอกเมืองเขาหาน มีเงาคนหนึ่งเดินมาไกลๆ เขาเหมือนกับทุกคน สวมเสื้อกันฝน ใส่งอบตรงศีรษะ มองเห็นใบหน้าไม่ชัด เห็นเพียงเสื้อคลุมดำใต้เสื้อกันฝนและงอบ

เขาเดินมาอย่างเงียบๆ มาจนถึงประตูใหญ่ของเมืองเขาหาน เหยียบแอ่งน้ำ ประจันหน้ากับสายฝน เดินไปตามเส้นทางภูเขามาจนถึงประตูหินสำหรับขึ้นชั้นสาม แม้เป็นวันฝนตก แต่นอกประตูยังมีคนจากสามชนเผ่ายืนอยู่ในเพิงหลบฝน หาววอดๆ และคอยขายตราสำหรับขึ้นชั้นสามเหมือนเดิม

ฟางหลินก็อยู่ตรงนั้น เขาเป็นคนแรกที่สังเหตเห็นเงาคนต่างไปเล็กน้อยกำลังเดินเข้ามาใกล้ จากประสบการณ์ในครั้งนั้น ทำให้เขารอบคอบมากขึ้น เขาเห็นเงาคนเดินมาอย่างช้าๆ ก่อนเข้าประตูหินเงาคนนั้นหยุดชะงัก หันกลับมามองเขาแวบหนึ่ง ฟางหลินรีบเผยรอยยิ้ม หลังจากเหตุการณ์ในครั้งนั้นทำให้เขาเรียนรู้การยิ้ม

ต่อมา หลังจากเงาคนสวมเสื้อกันฝนธรรมดาเดินเข้าประตูหินไปแล้ว ประตูหินพลันเกิดระลอกคลื่นน่าสะพรึง

“ขั้นชำระล้าง!” ฟางหลินพลันตื่นตะลึง เขาไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด ถึงเกิดภาพเงาคนเมื่อครู่ในความคิดไม่หยุด พอลองนึกดู ในช่วงที่เงาคนนั้นหยุดชะงัก เขาเหมือนกับเคยเห็นอีกฝ่ายที่ไหนมาก่อน…

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version