Skip to content

สู่วิถีอสุรา 183

ตอนที่ 183 ฟื้นคืนสติ

บนยอดเขาเหยียนฉือ แววตามืดสลัวหญิงชราสั่นไหว นางมองระฆังเขาหาน ก่อนมองเสาหินใต้โซ่เขาหานที่ยามนี้เป็นที่สนใจของผู้คนจำนวนมาก

เหยียนหลวนข้างกายเวลานี้มีสีหน้าเหลือเชื่อ เกิดความคิดแบบเดียวกับทุกคน

“หรือว่า…เขายังไม่ตายจริงๆ ! มิเช่นนั้นเสาหินจะยังคงอยู่ได้อย่างไร!”

หญิงชราเงียบขรึม นางมองเสาหินเหล่านั้นพลางขมวดคิ้ว เรื่องนี้ทำให้นางไม่กระจ่างอย่างที่พบเห็นได้ยาก

เมฆดำปกคลุมในยามค่ำคืน ทำให้แสงจันทร์ไม่อาจสาดส่องลงมาทั้งหมด แม้บอกว่าฟ้าดินไม่ได้มืดทึบจนมองไม่เห็นสรรพสิ่งรอบตัว ทว่ามันก็ยังขมุกขมัวเล็กน้อย พอเห็นได้รางๆ ว่าโซ่เขาหานกลางอากาศยังแกว่งไกวท่ามกลางสายลม เสาหินเหล่านั้นยังคงตั้งตระหง่าน ไม่มีท่าทีว่าจะลดระดับลงไป

เสียงลมหายใจหนักหน่วงค่อยๆ ดังมากขึ้นในเมืองเขาหาน ทุกคนรวมถึงชาวเมืองที่กลับเรือนพักไปแล้วเหล่านั้น เวลานี้ต่างมองเขม็งเป็นตาเดียวกัน

ความรู้สึกบอกไม่ถูกที่เหมือนความเงียบสงบก่อนลมพายุฝนกดดันทั้งเมืองเขาหาน ชาวเมืองทุกคนล้วนมองไปสุดสายตาของตัวเอง รอคอยว่าใต้โซ่เขาหานที่ยังแกว่งไกวอาจมีเงาคนปรากฏจริงๆ

ซูหมิงไม่รู้ว่ามีคนกำลังรอเขาปรากฏตัวมากขนาดนี้ กระทั่งตัวเขาเองยังไม่รู้เรื่องที่ตนเหยียบเท้าพลาด สิ่งที่เขาเห็นแตกต่างกับทุกคน ซูหมิงในยามนี้ สติปัญญาของเขายังครบถ้วน ทว่าสิ่งที่เขาเห็นกลับต่างกับทุกคน!

สิ่งที่เขาเห็นยังเป็นโซ่เขาหานที่ยังแกว่งไกวกลางลม เขาเห็นครึ่งเท้าของตัวเองยังเหยียบบนโซ่เหล็กส่วนที่เจ็ด เขาเห็นเงาของเหลยเฉินสลายหายไปต่อหน้า รอยยิ้มทุกข์ระทมนั้นทำเอาซูหมิงใจสั่นเทา

ซูหมิงแยกแยะไม่ออกว่านี่คือภาพลวงตาของตนหรือของเหลยเฉิน บางทีมันอาจเป็นของจริงหรือว่าของปลอมก็ได้ แม้เขาทราบดีว่าทุกอย่างมีความเป็นได้สูงที่จะสร้างขึ้นจากจินตนาการของเขา ทว่ารูปร่างของเหลยเฉินและคำพูดเหล่านั้น กลับทำให้ซูหมิงเกิดความเจ็บปวดไปทั้งตัว

“ฝังข้าเองกับมือ…” ซูหมิงพึมพำเบาๆ เงียบอยู่เนิ่นนาน

เขามิได้ยินเสียงอัสนีบาตบนท้องฟ้า ไม่ได้ยินเสียงลมพายุโหมกระหน่ำ และมองไม่เห็นสายฟ้าผ่า

เขามองโซ่เขาหาน ทันใดนั้นโซ่เหล็กตรงหน้าเขาเหมือนมิได้วางนอนลง แต่กลับตั้งขึ้น คล้ายโลกใบนี้กลับตาลปัตร

ซูหมิงก้าวเดินไปอย่างเงียบๆ แต่หลังจากเดินมาได้เพียงสิบก้าว ตรงหน้าเขามีหมอกรวมตัวอีกครั้ง ซูหมิงตัวสั่นเทา

หมอกดังกล่าวรวมตัวอย่างรวดเร็วจนกลายเป็นเงาชายคนหนึ่ง เขาไม่มีแขนขวา สวมเสื้อคลุมดำยืนอย่างเหม่อลอย ราวกับไม่รู้ว่าเขามาอยู่ตรงนี้ได้อย่างไร รูปลักษณ์ภายนอกดูไม่ธรรมดา ดวงตาสับสนเพียงชั่วครู่ ก่อนกลายเป็นเฉียบคมประดุจประกายดาบ

ทว่าความเฉียบคมนั้น หลังจากเห็นซูหมิงกลับเปลี่ยนเป็นตะลึงงัน ตามด้วยขมวดคิ้ว สีหน้าบึ้งตึง

“เป่ยหลิง…” ซูหมิงพึมพำ เหม่อมองชายที่ชัดเจนว่าผ่านโลกมาอย่างโชกโชนตรงหน้า เกิดความรู้สึกบอกไม่ถูก

“ท่านเป็นใคร เหตุใดถึงพาแซ่เป่ยมานี้…ท่าน…กลิ่นอายพลังในตัวท่าน…พวกเราเคยพบกันหรือไม่?” เป่ยหลิงลังเลครู่หนึ่ง ช่วงที่เขาเห็นบุคคลตรงหน้า เขาเกิดความรู้สึกคุ้นเคยยิ่งนัก ความรู้สึกนี้เหมือนฝังลึกในจิตใจ ราวกับเคยมีอยู่ในช่วงเวลาที่แสนนาน

“ข้าคือ…ซูหมิง…” ซูหมิงเงียบอยู่นาน ก่อนกล่าวเสียงเบา

วินาทีที่ได้ยินชื่อของซูหมิง เป่ยหลิงพลันตัวสั่นเทา จ้องซูหมิงเขม็ง สีหน้าเหลือเชื่อและไม่อยากคาดคิด เสมือนสองคำนี้เป็นตราประทับที่ยากจะดับสูญสำหรับเขา

เป่ยหลิงเงียบงัน ซูหมิงไม่กล่าว เขาแยกไม่ออกว่านั่นเป็นความจริงหรือไม่ ความสับสนครอบคลุมไปทุกส่วนของร่างกาย และก็ไม่ทราบว่าผ่านไปนานเท่าไร เป่ยหลิงพลันยิ้มเยาะ เขามองซูหมิงอย่างลึกล้ำแวบหนึ่ง นัยน์ตามีความเย็นชา

“เผ่าใหญ่เหมียวหมานที่องอาจ สร้างเคล็ดวิชาหมานภาพลวงตาตั้งแต่เมื่อไรกัน สร้างใครไม่สร้าง มาสร้างซู…ซูหมิงคนที่ตายไปแล้ว…ข้าไม่สนว่าเจ้าจะเป็นบรรพบุรุษหมานคนไหนของเหมียวหมาน แต่เจ้าไม่ควรสร้างภาพลวงซูหมิง…ซูหมิงเป็นชาวเผ่าของข้าเป่ยหลิง เป็นวีรชนของเผ่าเขาทมิฬ…เจ้า…ไม่คู่ควรกับเขา!”

ประโยคสุดท้ายแทบเป็นเสียงตะโกน ใบหน้าเขาเต็มไปด้วยความเจ็บปวดและโกรธแค้น ราวกับรอยแผลเป็นถูกฉีกอีกครั้ง เป่ยหลิงพลันยกมือซ้าย ด้านหลังเขามีคันศรยักษ์ปรากฏ มันมีกลิ่นอายพลังแห่งการทำลายล้าง ในช่วงที่มันเผยรูปร่างเหมือนกับมีเงาคนไร้รูปง้างมันออก ไอดำหลายเส้นปล่อยออกมาจากในตัวเป่ยหลิง ก่อนรวมตัว กลายเป็นลูกศรหมอกสีดำ ยามง้างคันศรมีเสียงโครมครามดังขึ้น ลูกธนูส่งเสียงลากยาว พุ่งออกจากคันศรตรงเข้าใส่ซูหมิง

“พี่ใหญ่…เป่ยหลิง…” ซูหมิงกล่าวเบาๆ สติเขาครบถ้วนดี เขารู้ดีว่านี่เป็นของปลอม…แต่แม้เป็นของปลอม เขาก็อยากเห็นว่าหลังจากเป่ยหลิงจะเป็นท่านปู่หรือว่าเด็กสาวที่เขาผิดสัญญาหรือไม่

ลูกศรห้อเหยียดตรงเข้ามา พลันหยุดชะงักตรงหน้าซูหมิงเหมือนกับหมัดของเหลยเฉิน

“เมื่อครู่…เจ้า….พูดว่าอะไร!” เป่ยหลิงมีสีหน้าเจ็บปวดมากยิ่งกว่าเดิม

เขามองซูหมิงอยู่นานถึงหลับตาลง

“ขอบคุณเจ้าที่ทำให้ข้าได้พบซูหมิงอีกครั้ง…ไม่ว่าเจ้าจะแสดงเคล็ดวิชาหมานภาพลวงเพื่ออะไร วันนี้ข้าต้องขอบคุณเจ้า…” ผ่านไปครู่หนึ่ง เป่ยหลิงลืมตาขึ้น สีหน้ากลับมาสงบนิ่ง นัยน์ตามีความอ่อนโยน เขามองซูหมิงเหมือนมองน้องชายตัวเอง

“ซูหมิง รักษาตัวด้วย…” เป่ยหลิงหันหลังกลับ ในดวงตาเหมือนมีน้ำตา เงาคนค่อยๆ เดินห่างไปไกล ดุจจะเลือนหายไปกับอากาศ

“พี่ใหญ่เป่ยหลิง เฉินซินสบายดีหรือไม่…” ทันใดนั้น ซูหมิงลืมย้ำตัวเองอีกว่าทุกอย่างคือภาพลวงตา เขามองเป่ยหลิงเดินไปไกล กล่าวถามโดยไม่รู้ตัว

เป่ยหลิงพลันชะงัก ตัวสั่นเทา เขาหมุนตัวกลับมา ลมหายใจเหมือนกระชั้นถี่ จ้องซูหมิงด้วยสีหน้าลังเลและสับสน

ซูหมิงมองเป่ยหลิง พลันใช้มือล้วงเข้าไปในอกเสื้อ ตอนที่หยิบออกมา ในมือเขาปรากฏเศษหินสีดำชิ้นหนึ่ง เศษหินนี้ก็คือชิ้นส่วนของเทวรูปหมานเขาทมิฬ!

“ต่อให้ทุกอย่างคือของปลอม…ไม่ใช่ของจริง…แม้เป็นเช่นนั้น…แล้วมันยังไง!” ซูหมิงเงยหน้า ถือเศษหินในมือยื่นให้เป่ยหลิงดู

พอเห็นเศษหินดังกล่าว เป่ยหลิงตัวสั่นมากยิ่งขึ้น สีหน้าเขาตื่นตะลึง เหม่อมองซูหมิง

“เจ้า…คือซูหมิงจริงๆ หรือ…”

“ใช่” ซูหมิงกล่าวด้วยความขมขื่น

เป่ยหลังพลันหัวเราะเสียงดัง เสียงหัวเราะนั้นเต็มไปด้วยความอ้างว้าง เต็มไปด้วยความเจ็บปวดที่ซูหมิงไม่เข้าใจ

“หากเจ้าคือซูหมิง เหตุใดเจ้าไม่กลับมา! เจ้าก็รู้ว่าพวกเรารอเจ้ามานานขนาดไหน…ซูหมิง เจ้าไม่ใช่ซูหมิง!” เป่ยหลิงมีสีหน้าเจ็บปวด เขาหมุนตัวกลับพลางหัวเราะเสียงดังอย่างอ้างว้าง ค่อยๆ เดินหายไปในโซ่เขาหาน หายลับไปจากสายตาของซูหมิง

จนกระทั่งเงาของเป่ยหลิงหายไป ซูหมิงยืนอยู่ตรงนั้น หางตามีน้ำตารินไหล…เขาไม่มีน้ำตามานานมากแล้ว

ยามนี้น้ำตาไหลอาบแก้ม หยดลงบนโซ่เขาหาน หยดลงเหวลึกด้านล่างโดยไร้ร่องรอย

“โซ่เขาหาน เจ้าเป็นโซ่อะไรกันแน่ เหตุใดถึงเกิดภาพเช่นนี้ เจ้าอยากบอกอะไรกับข้า…” ซูหมิงหลับตาอยู่นานก่อนค่อยๆ ลืมตาขึ้น แล้วเดินต่อไปอย่างเงียบๆ

ตอนนี้การเดินบนโซ่เหล็กไม่สำคัญแล้ว ซูหมิงไม่อยากคิดแล้วว่านั่นคือของจริงหรือไม่ กระทั่งเขายังไม่สนใจอันตรายต่างๆ เขาอยากไปดูอดีตของตัวเองว่ายังมีใครอีกบ้าง…

ซูเดินไปทีละก้าวจนผ่านไปใกล้มากกว่าครึ่ง เขาเห็นอูลา เห็นผู้นำกองรักษาการณ์ เห็นซานเหิน…จนกระทั่ง เขาเห็นหมอกตรงหน้ารวมตัวกันอย่างรวดเร็วกลายเป็นเงาคนแก่ชราผมขาว

“ท่านปู่…” ซูหมิงเจ็บปวดหัวใจ ในช่วงที่ท่านปู่หันกลับมา สายตาเขาพลันพร่ามัว เสียงกระบี่ดังก้องในความคิด ขณะเดียวกันยังมีความคิดกระวนกระวายจู่โจมสภาพจิตใจของเขาอย่างต่อเนื่อง ความคิดนั้นมาจากเหอเฟิงที่เพิ่งตื่นจากการหลับใหลภายใต้วิกฤติความตาย

“นายท่าน! นายท่าน รีบตื่นเร็ว!”

“นายท่าน หะ…หะ…หากท่านไม่ตื่น พวกเราก็จะไปตายไปพร้อมกัน มารดาเถอะ เจ้าคนสมควรตาย เหตุใดถึงยังไม่ตื่น! หากจะตายก็ปล่อยข้าออกไปก่อน ข้า…ข้า….” เหอเฟิงคลุ้มคลั่ง ความคิดเขาแผดเสียงตะโกนอย่างร้อนรน

ยามนี้ซูหมิงไม่ได้โคจรโลหิต เหมือนถูกระงับเอาไว้ ทว่ากระบี่เล็กแสงดำที่ซ่อนอยู่ภายในเส้นเลือดลมกลับส่งเสียงวิ้งซึ่งมีเพียงแค่เขาที่ได้ยิน เสียงวิ้งเด่นชัดมากขึ้นเรื่อยๆ มันไปกระตุ้นจิตใจของซูหมิง ทำให้เขาตื่นจากวิกฤติตกโซ่เขาหาน

ในช่วงที่เขาได้สติ วิกฤติความตายพลันพรั่งพรูในจิตใจ ตีทุกอย่างเบื้องหน้าแตกกระเจิง เหมือนดวงตาเห็นโลกแตกเป็นเสี่ยงๆ เมื่อทุกอย่างหายไป สิ่งที่ปรากฏตรงหน้าเขาคือความมืดมิดพร้อมกับตัวเขาที่กำลังร่วงหล่นลงอย่างรวดเร็ว

เขา ได้สติอย่างแท้จริงแล้ว

ยามได้สติกลับมา ซูหมิงพลันเข้าใจทันที ภาพก่อนหน้านี้เป็นของจริงก็ดี ของปลอมก็ดี ความจริงแล้วเป็นภาพในความคิดที่ปรากฏขณะเขากำลังเดินอยู่บนโซ่ส่วนที่เจ็ดและพลัดตกลงมา

‘ล้มเหลวหรือ…ข้ายังไม่เห็นท่านปู่เลย!’ ซูหมิงตกลงมาอย่างรวดเร็ว เหวลึกแห่งนี้ยาวเหยียดยิ่งนัก เขารู้สึกถึงเสียงอื้ออึงจากสายลมรอบตัว ร่างกายของเขากำลังดิ่งลงด้วยความเร็ว

เหอเฟิงกำลังแผดเสียงตะโกนด้วยความหวาดกลัว เสียงกระบี่ดังก้องในความคิดเขาประดุจสายฟ้าผ่า

‘มิน่าผู้บุกโซ่เขาหานที่ล้มเหลวถึงได้มีชีวิตรอดกลับมายากนัก…โซ่เขาหานพิสดารยิ่ง สามารถระงับพลังโลหิต อีกทั้งยังทำให้มึนงงขาดสติ จุดจบมีเพียงความตายเท่านั้น ไม่ว่าใครก็ยากจะเข้ามาช่วย เห็นได้ชัดว่าการระงับพลังโลหิตใช้กับคนเท่านั้น เหอเฟิงในตอนนั้นนอกจากมีหานเฟยจื่อช่วยแล้วก็ยังมีโชคด้วย’ สีหน้าซูหมิงสงบนิ่ง ร่างกายเขาดิ่งลงอย่างรวดเร็ว แม้ไม่ทราบว่าก้นเหวยังลึกอีกแค่ไหน ทว่าแรงปะทะกับวิกฤติอันตรายที่เด่นชัดมากขึ้นทุกทีก็เพียงพอจะบอกซูหมิงว่า เวลาแห่งความตายกำลังใกล้เข้ามาแล้ว

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version