Skip to content

สู่วิถีอสุรา 19

ตอนที่ 19 เป่ยหลิง

ลมยามเช้าตรู่พัดพาความหนาวเหน็บ ยิ่งเป็นในช่วงฤดูหนาวเช่นนี้ มันคมดั่งมีดก็มิปาน ทว่าด้วยเปลวเพลิงจากกองไฟในเผ่าหลายจุด ทำให้ความหนาวเหน็บจางหาย แล้วแทนที่ด้วยความอบอุ่น

สำหรับนักรบหมาน การโคจรโลหิตในกายก็เพียงพอจะต่อต้านความเหน็บหนาวได้แล้ว ทว่าถึงอย่างไรในเผ่าก็มีคนธรรมดาเป็นส่วนใหญ่ หน้าหนาวในทุกปี สำหรับพวกเขาแล้วแทบจะไม่ออกไปข้างนอกเลย

ต่อให้ออกไปก็มักจะห่มด้วยเสื้อขนสัตว์หนาๆ ในขณะเดียวกัน ฤดูนี้จะเป็นช่วงที่แพทย์สามัญยุ่งมากที่สุด เพราะต้องกลั่นน้ำสมุนไพรจำนวนมาก เพื่อเพิ่มภูมิต้านทานความหนาวให้แก่คนในเผ่า

กระทั่งท่านปู่ยังลงมาจัดการด้วยตนเอง ในวันที่หนาวที่สุด ท่านปู่จะทุ่มแรงโคจรโลหิตในกายเพื่อช่วยต้านความหนาวให้กับคนทั้งเผ่า

ซูหมิงเดินย่ำหิมะบนพื้นส่งเสียงตึกตึก ยามนี้เขาสวมเสื้อหนังสัตว์เดินอยู่ในชนเผ่า มองผู้คนที่คุ้นเคยกันต่างพยักหน้าและยิ้มให้แก่เขา ความรู้สึกอบอุ่นเช่นนี้เหมือนทำให้ความหนาวเหน็บมลายหายไปได้

บ้านเรือนในชนเผ่าส่วนใหญ่จะสร้างขึ้นอย่างง่ายๆ ช่วงเวลาปกติยังนับว่าพอใช้ ทว่าหากเป็นฤดูหนาวมันไม่อาจกันลมได้ จึงจำเป็นต้องใช้หนังสัตว์จำนวนมากมาแปะไว้นอกเรือนเพื่อกันลมหนาวเล็ดลอดเข้าไป

เพียงแต่ว่าบางครั้งหนังสัตว์พวกนี้อยู่ไม่ทนนัก จึงต้องนำมาแปะใหม่อีกครั้งให้แน่นหนา อีกทั้งกองไฟในเรือนยังจำเป็นต้องเติมฟืนตลอดเวลา ด้วยเหตุนี้เองฤดูหนาวสำหรับพวกเขาจึงเป็นการเคี่ยวกรำอย่างหนึ่ง ดีที่ไม่ถึงขั้นหนาวตาย เพียงแค่วุ่นวายมากขึ้นเท่านั้น

ซูหมิงเดินมาหยุดอยู่หน้าเรือนไม้ที่มีคนเฝ้าอยู่นอกรั้วตลอดเวลา ที่นี่คือที่เก็บสมุนไพรของเผ่าเขาทมิฬ ด้านนอกเรือนห้อมล้อมด้วยหนังสัตว์หนาๆ ทั้งยังมีคบเพลิงตั้งอยู่อีกหลายจุด เมื่อซูหมิงเข้าใกล้จึงสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นที่แฝงอยู่ในลมหนาว

ซูหมิงคุ้นชินกับที่นี่เป็นอย่างดี หลายปีก่อนหน้านี้ หลังจากเก็บสมุนไพรกลับมาแล้ว เขาจะมาส่งให้กับที่นี่แทบทุกครั้ง พอเหล่าคนเฝ้ายามเห็นซูหมิงจึงเผยรอยยิ้ม ไม่ได้ขวางเขาเอาไว้

ซูหมิงยิ้มตอบเช่นเดียวกัน หลังจากทักทายกันเสร็จ จึงเดินเข้าไปในรั้วไม้ ขณะกำลังผลักประตูเข้าไป พลันได้ยินเสียงเรียกมาจากด้านหลัง

“ซูหมิง เจ้ากลับมาเมื่อไหร่กัน?” น้ำเสียงของเด็กสาวฟังแล้วไพเราะยิ่งนัก ราวกับนกจาบฝนก็มิปาน

ซูหมิงชะงักฝีเท้า หันกลับไปมองด้วยแววตาอ่อนโยน นางเป็นเด็กสาวรูปร่างค่อนข้างสูงใหญ่ คลุมตัวด้วยหนังสัตว์หนาๆ ทั้งตัว ผมยาวมัดด้วยเชือกฟาง ตรงใบหูทั้งสองมีตุ้มหูกระดูกสีขาวประณีต ผิวหนังค่อนข้างหยาบกร้าน ทว่ากลับไม่อาจบดบังความงดงามของนางได้

นางมีดวงตาโตกระจ่างใส ทั้งยังไร้เดียงสา ยามนี้นัยน์ตาแฝงด้วยความปีติ เร่งฝีเท้าตรงมาอยู่เบื้องหน้าซูหมิง

“กลับมาเมื่อวาน” ซูหมิงยิ้ม นางคือเฉินซินคนที่คอยทำความสะอาดเรือนให้แก่เขายามที่ไม่อยู่บ่อยๆ ทันใดนั้นรอยยิ้มซูหมิงพลันแข็งค้าง แววตาสั่นไหวเล็กน้อย

นางไม่ได้มาเพียงคนเดียว แต่ด้านหลังยังมีชายหนุ่มอายุราวสิบแปดสิบเก้าตามมาด้วย รูปร่างของเขาค่อนข้างแข็งแกร่ง กระทั่งยังดูห้าวหาญกว่าเหลยเฉินเสียอีก ในฤดูหนาวเช่นนี้เขาสวมเพียงเสื้อหนังสัตว์บางๆ เส้นผมยุ่งเหยิง ทว่ากลับไม่สกปรก เข้ากันได้กับใบหน้าประดุจฝักดาบ ให้ความรู้สึกอวดดีและดุดันแก่ผู้พบเห็น

โดยเฉพาะดวงตาของเขา ดุจดั่งดวงดารา แฝงไว้ด้วยสัญลักษณ์พิลึกขยับแสงอยู่เลือนราง ชวนให้รู้สึกถึงแรงกดดันไร้ลักษณ์ และความรู้สึกระแวดระวังโดยไม่รู้ตัว ราวกับเผชิญหน้ากับสัตว์ร้าย

เขายืนอยู่ตรงนั้น ด้านหลังมีคันศรใหญ่หนึ่งคัน แววตาราวกับลูกธนูมองมายังซูหมิง

“ซูหมิง!”

“พะ…พี่ใหญ่เป่ยหลิง” ซูหมิงมองชายหนุ่ม นัยน์ตาฉายแววสับสน กล่าวขึ้นด้วยความเคารพและยำเกรง

ชายหนุ่มเบื้องหน้าเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในรุ่นเยาว์ของเผ่าเขาทมิฬ กายหมานของเขาแม้แต่ท่านปู่ยังถอนหายใจยอมพ่ายแพ้ ส่วนเหลยเฉินหลังจากพบว่ามีกายหมานแล้ว ถึงพอรับมือกับเขาได้บ้าง

รุ่นเยาว์ที่เก่งกาจที่สุดผู้นี้ ความเร็วในการฝึกฝนพลังของเขารวดเร็วยิ่งนัก กระทั่งซูหมิงยังเคยได้ยินท่านปู่หลุดปากมาว่า ชายคนนี้มีโอกาสทะลวงขั้นรวมโลหิตและกลายเป็นนักรบขั้นพลังชำระล้างในตำนานมากที่สุดในเผ่า!

นามของเขาค่อนข้างโด่งดังในชนเผ่ารอบๆ แม้กระทั่งเผ่าร่องลมยังส่งคนมาเชิญเขาให้ไปศึกษาในเผ่าของตน ซูหมิงไม่คิดเลยว่าวันนี้จะได้เห็นเขา

แววตาซูหมิงสับสน นั่นเป็นเพราะว่าในวัยเยาว์ เป่ยหลิงดูแลเขาเป็นอย่างดี เป็นดั่งพี่ใหญ่อย่างแท้จริง กระทั่งศิลปะการยิงธนูก็เป็นเป่ยหลิงที่ถ่ายทอดให้แก่เขาในตอนนั้น ถึงอย่างไรเป่ยหลิงก็เป็นถึงบุตรชายของผู้นำกองรักษาการณ์ในเผ่า ศิลปะการยิงธนูของเขาย่อมไม่ธรรมดา

เพียงแต่ทุกอย่างเปลี่ยนไปเมื่อเฉินซินอายุครบสิบสอง บางทีอาจเป็นเพราะเฉินซินกับซูหมิงสนิทกันมากเกินไป จึงทำให้สายตาที่มองมาจากเป่ยหลิงค่อยๆ เปลี่ยนไป มีทั้งความสงสัยและแปลกใจ จนท้ายที่สุดกลายเป็นเย็นชาห่างเหิน กระทั่งเห็นหน้ายังเมินหนี

หลังจากนั้นซูหมิงจึงได้ทราบ นั่นเป็นเพราะจ้าวเผ่าและบิดาของเป่ยหลิงได้ตกลงกันเรื่องงานหมั้น…

ซูหมิงอยากอธิบาย ทว่าคำตอบที่ได้กลับเป็นแววตาเย็นชา เขาทำได้เพียงถอนหายใจเบาๆ จากนั้นมาความสัมพันธ์ระหว่างเขากับเฉินซินก็เริ่มเหินห่างกันโดยไม่รู้ตัว

เขาทราบดีว่าตนเป็นเพียงชาวเผ่าธรรมดาคนหนึ่ง และทราบด้วยว่าตนเป็นเด็กกำพร้าที่ท่านปู่เก็บมาเลี้ยงเมื่อสิบกว่าปีก่อนยามออกเดินทางนอกเผ่า แม้ว่าคนในเผ่าจะต้อนรับและดีกับเขามาก ทำให้เขาได้สัมผัสถึงความอบอุ่นก็ตาม แต่ทว่ามันไม่อาจเปลี่ยนความแตกต่างด้านลักษณะรูปร่างระหว่างเขากับคนในเผ่าได้เลย

“เจ้ากลับมาแล้วเหตุใดถึงไม่บอกข้าสักคำ ข้าไปหาเจ้าหลายครั้ง แต่เจ้าก็ไม่อยู่”

เฉินซินย่นจมูก กล่าวด้วยน้ำเสียงโมโห

ซูหมิงถูจมูก หลบสายตาเฉินซิน เขารู้สึกกับนางเพียงญาติสนิทเท่านั้น ไม่ได้มีความรู้สึกรักใคร่แอบแฝง ที่สำคัญเขาไม่อยากให้พี่ใหญ่เป่ยหลิงเข้าใจผิดต่อไป

“พี่ใหญ่ พี่กลับมาเมื่อไหร่?” ซูหมิงมองเป่ยหลิง ระยะใกล้เช่นนี้ ซูหมิงสัมผัสถึงพลังโลหิตมหาศาลที่ขับจากร่างของเขาได้อย่างชัดเจน ระดับความแข็งแกร่งเพียงนั้น นอกจากท่านปู่และเหล่าผู้นำแล้ว ในสายตาของซูหมิงเขาคือผู้แข็งแกร่งที่สุด

เพียงแต่ความอวดดีของอีกฝ่ายกลับมหาศาลเช่นเดียวกับโลหิตในกาย ทำให้ซูหมิงที่ยืนอยู่เบื้องหน้าเขาเกิดความรู้สึกหายใจติดขัด

“เมื่อวาน” สีหน้าเป่ยหลิงเรียบเฉยเหมือนเคย แฝงด้วยความเย็นชา กล่าวสั้นๆ ราวกับขอไปที ก่อนหันไปมองเฉินซินที่อยู่ข้างกาย

“ซินเอ๋อร์ ไม่ใช่ว่าเจ้าจะมาเอาสมุนไพรไปให้ท่านย่าหรอกหรือ พวกเราเข้าไปกันเถอะ” ขณะกล่าว เป่ยหลิงจูงมือเฉินซินเดินผ่านหน้าซูหมิง ผลักประตูเรือนแล้วเข้าไปด้านใน

เหมือนว่าเฉินซินอยากกล่าวอะไรบางอย่าง ทว่าลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก็ไม่กล่าวออกมา เพียงพยักหน้าให้ซูหมิง แล้วเดินผ่านไป

ซูหมิงยืนอยู่ที่เดิม นิ่งเงียบอยู่นานก่อนถอนหายใจเบาๆ แล้วเดินตามเข้าไป

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version