Skip to content

สู่วิถีอสุรา 211

ตอนที่ 211 ใบหน้างดงามนัก

เสียงนั้นมิใช่ว่าทุกคนจะได้ยิน

นอกจากซูหมิงที่ได้ยินจนอึ้งงันแล้ว ยังมีเทียนเสียจื่อ ส่วนคนอื่นๆ ไม่มีคุณสมบัติพอ ขั้นพลังของพวกเขาไม่มากพอ!

ทว่าต่อให้ไม่ได้ยิน แต่ภูเขาทมิฬห้ายอดรอบตัวซูหมิงก็สร้างแรงกดดันมหาศาล ทำให้ลมหายใจติดขัด

แรงกดดันนี้ล้ำหน้าเกินกว่าตอนกดทับยอดเขาผู่เชียงเมื่อครู่ ยามนี้ เคล็ดวิชาเจ็ดภาพเคลื่อนไหวจากลายหมานของเผ่าเหยียนฉือปะทะกับภูเขาห้านิ้วมือภายใต้แรงกดดันนี้

เสียงระเบิดดังกึกก้องทุกสารทิศ เด็กน้อยคนนั้นตัวสั่นเทา เบ็ดตกปลาในมือขาดสะบั้น ตัวเขาสั่นไหวอย่างรุนแรงยิ่งขึ้น ก่อนเลือนหายไปกับอากาศราวกับถูกลมพายุคลั่งถาโถม

สัตว์คล้ายงูเหลือมและมังกรที่แปลงร่างจากปลาทอง ช่วงที่ปะทะกับภูเขาห้านิ้วมือ มันแผดเสียงคำรามดุร้าย ตัวแตกกระจายเป็นชิ้นๆ ท้ายที่สุดก็แหลกสลายหายไป

และยังมีลำธารที่เข้ามาโอบล้อมหลายชั้น ยามนี้เหมือนเดือดพล่าน พริบตาเดียวกลายเป็นหมอกขาวแผ่กระจายรอบทิศก่อนค่อยๆ จางหาย แม้แต่น้ำเต้ายังเกิดรอยร้าวมากมาย จากนั้นพลันกลายเป็นเศษชิ้นส่วนจำนวนมากและเลือนหายไป

ท้ายที่สุด เด็กสาวที่กลายเป็นหงส์ก็ไม่อาจทนรับแรงกดดันจากภูเขาทมิฬห้านิ้วมือ นางกระอักโลหิต ร่างหงส์ของนางกลับมาเป็นเด็กสาว ก่อนบิดเบี้ยวกลายเป็นเส้นดำกระจายหายในอากาศ

การปรากฏของภูเขาทมิฬทำให้ภาพหมานเผ่าเหยียนฉือถูกทำลายจนสิ้น ปรากฏการณ์หลากชนิดบนท้องฟ้าหายไปและกลับคืนสู่สภาพเดิม เหลือเพียงภูเขาทมิฬห้านิ้วมือที่ยังคงตั้งตระหง่านกลางท้องฟ้า เมื่อผู้คนพบเห็นเป็นต้องตกตะลึง เกิดความรู้สึกอยากเคารพกราบไหว้

โลหิตไหลจากมุมปากเหยียนหลวน ใบหน้าซีดขาวขณะล่าถอยอย่างรวดเร็ว นักรบขั้นชำระล้างเหยียนฉือหกคนรอบตัวซูหมิง เวลานี้มีสภาพจนตรอกยิ่งนัก กระเด็นถอยหนีออกมาด้วยสีหน้าหวาดกลัว

ตั้งแต่แรกจนถึงตอนนี้ซูหมิงยังมิได้ลงมือก่อนเลยสักครั้ง เขาเพียงแค่ป้องกันเท่านั้น ยามนี้ขณะที่ทุกคนล่าถอย นัยน์ตาซูหมิงเป็นประกายเย็นชา เขาเดินหน้าหนึ่งก้าว เดิมทีเขาชำนาญด้านความเร็วมากที่สุด จนเมื่อทะลวงสู่ชำระล้าง จุดนี้จึงยิ่งเพิ่มมากขึ้นในฉับพลัน แม้อยู่กลางอากาศ เพียงเคลื่อนไหวร่างของเขาก็เหมือนสายรุ้งยาวตรงเข้าไปหาหนึ่งคนในหกนั้น

บุคคลผู้นี้คือชายชรา สีหน้าตื่นกลัวยามถอยร่น แวบแรกที่เห็นคือซูหมิงยังอยู่ไกลๆ ทว่าต่อมาความรู้สึกถึงอันตรายปกคลุมรอบตัวอย่างรุนแรง ยังไม่ทันได้ตั้งสติ นิ้วมือหนาวเยือกก็กดลงตรงระหว่างคิ้วของเขาแล้ว

เสียงโครมดังขึ้น ชายชรากระอักโลหิตกองโต กระเด็นถอยบาดเจ็บสาหัส ซูหมิงมิได้มีเจตนาสังหาร มิเช่นนั้นเขาต้องตายอย่างแน่นอน!

ซูหมิงชักมือกลับ เขาเดินหน้าต่ออีกครั้งเหลือไว้เพียงเงาราง หญิงวัยกลางคนไกลๆ พลันปรากฏตราประทับโลหิตนิ้วมือไม่เข้มนักตรงระหว่างคิ้ว

เหยียนหลวนเกิดความร้อนกลัวจนไม่เป็นสุข นางรู้สึกเสียใจภายหลังอยู่ลึกๆ ไม่เคยคิดเลยว่าซูหมิงตรงหน้าจะแข็งแกร่งขนาดนี้ ความแข็งแกร่งของเขามิใช่เพียงขั้นพลัง แต่ยังมีลายภูเขาที่ทำให้นางเหลือเชื่อ

ในความคิดของนางมันเป็นเพียงลายภูเขาธรรมดาที่ไม่อาจธรรมดามากไปกว่านี้อีกแล้ว จะไปมีพลังน่าสะพรึงเช่นนี้ได้อย่างไร!

เสียงร้องด้วยความเจ็บปวดดังขึ้นอีกครั้ง เป็นผู้แข็งแกร่งขั้นชำระล้างของเหยียนฉือกำลังล่าถอย ถูกนิ้วมือของซูหมิงกดตรงระหว่างคิ้ว

เหยียนหลวนล่าถอยอย่างรวดเร็ว เพียงแต่นางถอยไปไม่ไกลนักก็มีเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดดังขึ้นอีกครั้ง นางใจสั่นไหว ทราบดีว่านี่มิใช่เวลาจะมาลังเล ช่วงที่เสียงร้องด้วยความเจ็บปวดดังขึ้น เหยียนหลวนกัดปลายลิ้นแล้วพ่นโลหิต จากนั้นสะบัดมือทั้งสองข้างไปด้านหน้า

“อัญเชิญเทวรูปหมานเหยียนฉือ!” เสียงของนางแหลมคมยิ่งนัก นางในยามนี้แม้ยังคงมีใบหน้างดงามหยาดย้อย ทว่าหน้ากลับถอดสี

ระหว่างที่กล่าว ทั้งยอดเขาเหยียนฉือพลันสั่นสะเทือน หมอกแดงจำนวนมากปรากฏกลางอากาศ ก่อนพลันก่อตัวเป็นใบหน้าสตรียักษ์

ขณะเดียวกับที่เทวรูปหมานเหยียนฉือปรากฏ ซูหมิงกดนิ้วมือตรงระหว่างคิ้วของคนสุดท้ายจากในหกคนแล้ว เมื่อทิ้งตราประทับโลหิต บุคคลนี้ได้รับบาดเจ็บสาหัส เขาหมุนตัวมองใบหน้ายักษ์ด้านหลังเหยียนหลวน ยกเท้าเหยียบอากาศเดินไปทางนาง

ยามนี้ชายหญิงจากสำนักเหมันต์สวรรค์บนยอดเขาเหยียนฉือสีหน้าเปลี่ยนอย่างเด่นชัด พวกเขาจ้องซูหมิง แม้ยังคงพยามรักษาความนิ่งก็ตาม ในใจกลับเกิดระลอกคลื่นอย่างรุนแรง

“นี่มันลายอะไร!”

“จากลักษณะแล้วเป็นลายภูเขา แต่ลายภูเขาอยู่ในกลุ่มลายธรรมดา ไม่มีทางทรงพลังเช่นนี้!”

บนยอดเขาผู่เชียง จ้าวหมานผู่เชียงกับชายร่างผอมลงมองหน้ากัน สูดลมหายใจเข้าลึก สีหน้าตื่นตระหนก พวกเขาพลันเกิดความรู้สึกปีติยินดีเล็กน้อย หากซูหมิงแสดงลายภูเขาอย่างสมบูรณ์เช่นนี้ พวกเขา….ไม่มีทางรับไหว

“ทมิฬ…ชื่อของมันเรียกว่าทมิฬ…” จ้าวหมานผู่เชียงพึมพำเบาๆ

บนยอดเขาบูรพาสงบยังคงเงียบเหมือนเดิม ไม่มีเสียงร้องตกตะลึงราวกับคาดเดาทุกอย่างเอาไว้หมดแล้ว

ทว่าเสียงร้องตกตะลึงนี้กลับเกิดขึ้นในเมืองเขาหาน เมื่อได้เห็นทุกอย่างกับตา ทุกคนในเมืองเขาหานจิตใจพลันสั่นไหว โดยเฉพาะหลายคนที่เคยดื่มสุรากับซูหมิงในโรงเตี๊ยม ยามนี้ฮึกเหิมมากกว่าเดิม

เทียบกับความฮึกเหิมของคนเหล่านี้แล้ว เหยียนหลวนในเวลานี้ เมื่อเห็นสายตาของซูหมิงที่มองมาทางตนและกำลังเดินเข้ามา พลันเกิดเสียงโครมครามดังขึ้นในจิตใจ ใบหน้านางขาวซีดไร้เลือดฝาด ขณะล่าถอยอย่างรวดเร็ว ก็ยกมือขวาชี้ไปทางใบหน้าสตรียักษ์บนยอดเขาเหยียนฉือด้านหลัง

ใบหน้าสตรีพลันเคลื่อนไหว ตรงเข้าใกล้เหยียนหลวนด้วยความเร็วสูงสุด ทะลวงผ่านร่างของนางตรงเข้าใส่ซูหมิง

ซูหมิงมีสีหน้าสงบนิ่ง แต่ฝีเท้ากลับชะงักเล็กน้อย ในสายตาของเขา ใบหน้ายักษ์ที่ทะลวงผ่านเหยียนหลวน ยามนี้ลืมตาขึ้น เมื่อลืมตาใบหน้าพลันเปลี่ยน กลายเป็นวงหน้าคุ้นเคยที่สลักในจิตวิญญาณของเขา ใบหน้านั้นเต็มไปด้วยความงามแบบธรรมชาติ นั่นคือใบหน้าของไป๋หลิง

ได้ยินเสียงถอนหายใจเบา ยามที่ใบหน้ายักษ์เข้าใกล้

ภูเขาทมิฬรอบตัวซูหมิงเปลี่ยนไปอีกครั้ง ท่ามกลางเสียงระเบิดดังสนั่น ภูเขาทมิฬกับใบหน้าสตรีปะทะเข้าใส่กัน

ระลอกคลื่นแตกกระจายหลายชั้น ลายภูเขาของซูหมิงหายไป ทว่าสิ่งที่หายไปพร้อมกันคือใบหน้าสตรี ซูหมิงเดินออกมาจากระลอกคลื่นทีละก้าว สีหน้ายังคงเรียบเฉย เดินไปทางเหยียนหลวน

“เจ้าแพ้แล้ว!” ขณะล่าถอยเหยียนหลวนกล่าวด้วยเสียงแหลม

“กฎคือไม่ว่านักรบขั้นชำระล้างคนใด เจ้าลงมือได้เพียงครั้งเดียว! ก่อนหน้านี้เจ้าลงมือไปแล้ว หากลงมืออีกถือว่าเจ้าแพ้!” ขณะกล่าวเหยียนหลวนถอยหนีอย่างรวดเร็ว จนในที่สุดกลับมาถึงยอดเขาเหยียนฉือ ยามนางเหยียบเท้าลงมีโลหิตไหลจากมุมปากอีกครั้ง สายตาที่มองซูหมิงแฝงไว้ด้วยความตื่นกลัว เพียงแต่มันก็แค่นั้น นิสัยโอหังของนางไม่หายไปเพียงเพราะหนีอย่างแน่นอน

“เจ้าลงมือก็แพ้ ไม่ลงมือก็แพ้ เพราะข้าเหยียนหลวนยังไม่พ่าย!”

เหยียนหลวนหายใจกระชั้นถี่ ยืนบนยอดเขาเหยียนฉือ ห่างไปไม่ไกลเป็นชายหญิงจากสำนักเหมันต์สวรรค์ และยังมีหานเฟยจื่อ

ซูหมิงเหยียบอากาศเดินมาถึงยอดเขาเหยียนฉือ มาถึงหินผาที่เขาไม่เคยเหยียบมาก่อน ช่วงที่เขามาถึง ยอดเขาเหยียนฉือพลันเงียบสงัด ทุกสายตาจับจ้องซูหมิง หานเฟยจื่อก็เช่นกัน รวมถึงชายหญิงจากสำนักเหมันต์สวรรค์และเหยียนหลวน

ซูหมิงมองเหยียนหลวน มองใบหน้างดงาม เขายังจำได้ว่าเขาเคยเห็นสตรีตรงหน้าคนนี้ในแดนปิดด่านฝึกพลังของบรรพบุรุษเขาหาน กระทั่งเคยประมือกันเล็กน้อย เขาไม่กล่าวสิ่งใดต่อคำพูดของเหยียนหลวน เพียงแต่เดินเข้าไปหานาง

เหยียนหลวนไม่ทราบว่าเพราะเหตุใด การเดินมาของซูหมิงทำให้ในใจนางเกิดความรู้สึกยำเกรงเหมือนเผชิญหน้ากับจ้าวหมาน นี่ไม่เกี่ยวกับขั้นพลัง แต่เป็นความรู้สึกที่บอกไม่ถูก

นางถอยหลังอีกหลายก้าว กัดฟันงามบังคับตัวเองให้หยุด ทว่าสายตากลับมองชายจากสำนักเหมันต์สวรรค์อย่างน่าสงสาร

“เจ้าแพ้แล้ว หมดสิทธิ์ในการเข้าสำนักเหมันต์สวรรค์ ยังไม่ถอยไปอีกรึ!”

ขณะซูหมิงกำลังเดินไปทางเหยียนหลวน ชายจากสำนักเหมันต์สวรรค์ตรงเข้ามา กล่าวด้วยความเย็นชา

ซูหมิงไม่สนใจชายคนนั้น เดินเข้าใกล้เหยียนหลวนจนกระทั่งอยู่ตรงหน้านาง มองใบหน้าขาวซีด เหยียนหลวนในสายตาของเขาดูบริสุทธิ์ เพียงพอจะทำให้เกิดความรักทะนุถนอม

“หาญกล้านัก!” นัยน์ตาชายจากสำนักเหมันต์สวรรค์ฉายแววเย็นชา ขณะกำลังก้าวเดินเข้ามา ซูหมิงหันไปมองเขาด้วยความเย็นชาแวบหนึ่ง

“หนวกหู!”

ชายคนนั้นชะงัก เกิดเสียงโครมดังในความคิด ในความรู้สึกเขา

สายตาของซูหมิงดุจลูกศรแหลมแทงทะลุดวงตาของเขาตรงสู่จิตใจ สองคำนั้นซัดจิตสำนึกของเขาประหนึ่งฟ้าผ่า ทำให้เขาได้สติกลับมาขณะตัวสั่นเทา

เหยียนหลวนตัวสั่นเทา นางสูดลมหายใจเข้าลึก บังคับให้ตัวเองสงบนิ่ง ทว่าชายตรงหน้านางกลับเหมือนภูเขา ทำให้นางเกิดความรู้สึกหายใจติดขัดขณะถูกบีบใกล้เข้ามา

“ใบหน้างดงามยิ่งนัก…” ซูหมิงมองเหยียนหลวนอยู่นานก่อนกล่าวเบาๆ เขายกมือขวาลูบใบหน้าของนางเบาๆ

“ไม่อยากขอยอมแพ้จริงๆ รึ?” ซูหมิงกล่าวด้วยเสียงนิ่มนวล เผยรอยยิ้ม เคล็ดวิชาตราประทับไหลไปตามมือขวาก่อนหลอมรวมกับร่างกายของนาง

เหยียนหลวนตัวสั่นอย่างรุนแรง เหตุที่สั่นมิใช่เพราะร่างกายแต่เป็นจิตใจ ดวงตาของนางค่อยๆ เคลิบเคลิ้ม นี่เป็นสิ่งที่พบเห็นได้ยากจากตัวนาง โดยเฉพาะความหลงใหลในบุรุษคนหนึ่งซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

ความรู้สึกที่บอกไม่ถูกเกิดขึ้นในจิตวิญญาณของนาง ราวกับถูกเพิ่มเข้ามา ไม่ยอมให้นางต่อต้าน

“ข้า…ขอยอมแพ้…ปล่อย…ข้า…” เหยียนหลวนกัดริมฝีปาก แววตาต่อสู้ดิ้นรน เกิดความหวาดกลัวท่ามกลางความหลงใหล

ซูหมิงมองเหยียนหลวนครู่หนึ่งก่อนละสายตากลับ หมุนตัวไปมองชายหญิงจากสำนักเหมันต์สวรรค์

“ที่นี่นอกจากพวกเจ้าแล้ว นักรบขั้นชำระล้างทั้งหมดล้วนพ่ายแพ้ พวกเจ้าสองคนก็รวมอยู่ในนั้นด้วย” ซูหมิงกล่าวอย่างสงบนิ่ง ภายใต้สายตาของเขา ชายหนุ่มผู้นั้นใบหน้าขาวซีด อยากจะกล่าวแต่กลับพูดไม่ออก

“ขั้นพลังของเจ้าสูงส่ง พวกข้าสองคนไม่อาจเทียบเคียง ตอนนี้เจ้ามีคุณสมบัติในการเข้าสำนักเหมันต์สวรรค์แล้ว ทว่า…” คนที่กล่าวเป็นหญิงสาวจากสำนักเหมันต์สวรรค์ นางมองซูหมิง แอบหรี่ตาลง

“ทว่าเจ้าก็มีแค่คุณสมบัติเท่านั้น ยังต้องผ่านการทดสอบอีก”

“การทดสอบอะไร” ซูหมิงกล่าวเรียบๆ

“การทดสอบแรก แท้จริงแล้วมิใช่การทดสอบ แต่เป็นการยืนยันฐานะของเจ้า กฎในการเข้าสำนักเปลี่ยนไปแล้ว พวกเราจะไม่รับคนที่เพิ่งเข้ามาในเมืองของแต่ละชนเผ่า ดังนั้นการทดสอบแรกของเจ้าไม่ผ่าน” หญิงสาวยิ้มกล่าวเบาๆ แววตายังคงมีการเยาะเย้ย

นางไม่กลัวซูหมิงบันดาลโทสะ เบื้องหลังนางคือสำนักเหมันต์สวรรค์ หากอีกฝ่ายกล้าลงมือกับศิษย์ในสำนัก เช่นนั้นก็คงไม่มีที่เหลือให้มีชีวิตรอดในแดนอรุณใต้แล้ว

“ขั้นพลังของเจ้าไม่ธรรมดา รอรับศิษย์ครั้งหน้าก็เตรียมตัวมาดีๆ จะได้ไม่พลาดตอนการทดสอบอีก” หญิงสาวยังคงยิ้ม กล่าวไม่ช้าไม่เร็ว

“ข้าจำได้ว่าในกฏไม่มีสิ่งนี้” ซูหมิงขมวดคิ้วมองหญิงสาว

“ไม่มีจริงๆ เพียงแต่การรับศิษย์ครั้งนี้ข้าเป็นใหญ่ ข้าบอกว่ากฏเปลี่ยนก็คือกฏเปลี่ยน” รอยยิ้มหญิงสาวเหมือนปกติ สีหน้าเยาะเย้ยแฝงไว้ด้วยความหยิ่งยโส

ซูหมิงเงียบไปครู่หนึ่ง มองหญิงสาวด้วยความเย็นชา

“ไม่ทราบว่าโม่ซูผ่านการทดสอบนี้หรือไม่” ขณะกล่าว ซูหมิงใช้มือขวาหยิบหน้ากากสีดำทึบที่มีชื่อเสียงโด่งดังในเมืองเขาหานมาใส่ไว้บนหน้า ช่วงที่เขาใส่มัน กลิ่นอายพลังทั้งตัวพลันเปลี่ยน ความรู้สึกเหมือนภูเขาก่อนหน้านี้พลันกลายเป็นพิลึกถึงขีดสุด ราวมีหมอกดำกระจายออกมาโอบล้อมรอบทิศ ทำให้ยอดเขาเหยียนฉือพลันมืดครึ้ม

“หานเฟยจื่อ ไม่เจอกันนาน” ซูหมิงสวมหน้ากาก น้ำเสียงเขาแหบพร่าแผ่กระจายทุกสารทิศ นี่คือเสียงของโม่ซู!

เมื่อเห็นซูหมิงใส่หน้ากาก หานเฟยจื่อตัวสั่นสะท้าน เหม่อมองซูหมิง ลมหายใจกระชั้นถี่ ส่วนเหยียนหลวนเกือบจะร้องออกมาด้วยความตกใจ นางไม่เคยคิดเลยว่าชายตรงหน้าที่ทำให้นางต้องวิงวอนให้ปล่อย จะเป็น….จะเป็นคนที่นางเคยพบในแดนปิดด่านฝึกพลังของบรรพบุรุษเขาหาน อีกทั้งยังคิดจะรับมาเป็นชายบำเรอสวาท!

“เจ้า…เจ้า…” เหยียนหลวนถอยไปอีกหลายก้าว แววตาเหลือเชื่อ

ทั้งเมืองเขาหานยามนี้คึกคักถึงขีดสุด เสียงดังเกรียวกราวกึกก้องฟ้า โม่ซูนักรบขั้นชำระล้างที่ทุกคนออกตามหาและถูกยกย่องว่าลึกลับมากที่สุดกลับปรากฏตัวด้วยวิธีการแบบนี้ ความตื่นตะลึงเพียงพอจะทำให้ทุกคนใจสั่นสะท้าน

“สวรรค์…เขาคือโม่ซู!”

“มิน่าเผ่าบูรพาสงบถึงขอยอมแพ้ เขาเคยเป็นแขกพิเศษของเผ่าบูรพาสงบมาก่อน ไม่อยากเชื่อว่าเขา…เขาคือโม่ซู!”

“โม่ซูคนที่สร้างความน่าตะลึงในแดนลับภูเขาหาน ทั้งยังไม่เคยเปิดเผยใบหน้าแท้จริง เป็นเขา!”

ภายในเมืองเขาหาน หนานเทียนเหม่อลอย ตะลึงค้างมองซูหมิงบนยอดเขาเหยียนฉือ พูดไม่ออกอยู่ครู่ใหญ่ๆ เพราะเขาในเวลานี้กำลังคาดเดาบางอย่างที่ทำให้ตนต้องตัวสั่น

“แซ่โม่อยู่เมืองเขาหานมาหลายปี ไม่ทราบว่าฐานะนี้เพียงพอหรือไม่”

ซูหมิงมองหญิงสาวจากสำนักเหมันต์สวรรค์

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version