ตอนที่ 290 ฟ้ามืดแล้ว
ลมมาจากไหน?
ลมมาจากตรงนี้!
ซูหมิงมีสีหน้าสงบนิ่ง นอกจากพลังชั่วร้ายตรงดวงตาขวาแล้ว ช่วงที่ธนูสีดำกับใบหน้าภูตผีร้ายลากเสียงยาวตรงเข้ามา กำไลน้ำแข็งสองวงสุดท้ายบนตัวซูหมิงระเบิดออก!
กำไลน้ำแข็งแปดวงระเบิดไปหกวงระหว่างทาง การระเบิดทุกครั้งจะทำให้ซูหมิงเร็วขึ้นเรื่อยๆ และทะยานขึ้นสูงอีกครั้งอย่างน่าเหลือเชื่อ ยามนี้ ตอนที่กำไลสองวงสุดท้ายระเบิดตามกัน โลกตรงหน้าซูหมิง ธนูสีดำก็ดี เงาภูตผีหมอกดำบนธนูก็ดี ชาวเผ่าแดนภูตทั้งหมดที่อาจปรากฏตัวในส่วนกลางของเผ่า เหมือนหยุดนิ่งไปในสายตาของซูหมิง
ธนูสีดำแข็งค้างอยู่กลางอากาศ ประหนึ่งไม่เคลื่อนไหว โลกทั้งใบมีเพียงซูหมิงที่ขยับ เขาเดินหน้าผ่านธนูสีดำ เดินผ่านเงาภูตผีร้าย จนมาอยู่หน้าคนตัวเตี้ยพี่ชายของจั๋วเกอ
นี่คือผู้แข็งแกร่งเทียบเท่ากับขั้นเซ่นไหว้กระดูก แม้ไม่ใช่เซ่นไหว้กระดูกตอนปลาย ทว่าความเข้มข้นของหมอกดำในธนูที่ยิงมา ตัดสินได้ว่าบุคคลนี้น่าจะมีขั้นพลังเทียบเท่าจุดสูงสุดของเซ่นไหว้กระดูกตอนต้น อีกก้าวเดียวก็บรรลุถึงระดับเดียวกับเซ่นไหว้กระดูกตอนกลาง
บุคคลนี้มิใช่ผู้แข็งแกร่งที่สุดที่ซูหมิงเคยเอาชนะ!
ซูหมิงเดินผ่านคนผู้นี้ กระบี่แสงดำในมือขวาขยับแสง ลากผ่านคอชายร่างเตี้ย
เมื่อกระบี่ตัดผ่าน ซูหมิงยืนอยู่ด้านหลังคนตัวเตี้ย ชั่วพริบตาเดียว เหมือนโลกหวนคืนสภาพเดิม จากหยุดนิ่งพลันแปรเปลี่ยน
เสียงร้องโหยหวนดังมาจากด้านหลังซูหมิง ตามด้วยเสียงศพล้มลงกับพื้น ยังมีเสียงลูกธนูที่ยังคงลากยาวออกไป และเสียงร้องโหยหวนของภูตผีร้ายที่ตายตามไปด้วยหลังนายดับดิ้น
ในนั้นยังมีเสียงที่มากกว่านั้น เป็นเสียงชาวเผ่าแดนภูตในส่วนกลางของเผ่าปล่อยสายธนูเมื่อครู่ จนถึงตอนนี้ ลูกธนูเหล่านั้นยังคงส่งเสียงลากยาวและปักลงบนพื้น
ด้วยความเร็วของซูหมิง เมื่อสังหารสามคนแล้วก็สังหารอีกหนึ่ง ขั้นตอนนี้เป็นเพียงแค่ความเร็วของธนูดอกเดียว เมื่อยกธนู เขาก้าวเท้า ช่วงที่เท้าหยุด ธนูเพิ่งตกลงพื้น
ซูหมิงใบหน้าขาวซีดเล็กน้อย ทว่าสีหน้ากลับสงบนิ่ง มีเพียงพลังชั่วร้ายในตาขวาที่ยังขยับวูบวาบ กวาดสายตามองชาวเผ่าแดนภูตที่ล้วนมีสีหน้าตื่นตะลึงจนถึงหวาดกลัวสุดขีดบนเรือนน้ำแข็งโดยรอบ
ชาวเผ่าแดนภูตเหล่านั้นมองดวงตาของซูหมิง ดูเหลือเชื่อและตื่นตะลึง ในสายตาพวกเขา ไม่เห็นว่าซูหมิงลงมือสังหารทั้งสี่คนอย่างไรด้วยซ้ำ
พวกเขาเห็นเพียงแค่ซูหมิงเดินมาหนึ่งก้าวจากหนึ่งพันจั้ง เมื่อเหยียบเท้าลงก็มายืนอยู่ตรงนี้ ด้านหลังเป็นเศษเนื้อที่ระเบิดกระจุยของสามคนก่อน ธนูหักภูตผีสูญสิ้น!
จากนั้นก็เป็นพี่ชายของจั๋วเกอ นักรบหมานธนูดำผู้นี้ไม่มีแรงต่อต้านแม้แต่น้อย ศีรษะลอยขึ้น เงาภูตผีร้องโหยหวนและระเบิดตาย!
ความเร็วระดับนี้มากเกินกว่าจินตนาการของทุกคน ทำให้พวกเขาไม่อยากเชื่อทุกอย่างที่เห็น มีเพียงหัวใจที่เต้นแรงขึ้นเรื่อยๆ กลายเป็นตึงเครียดและหวาดกลัว ยังผลให้โดยรอบพลันเงียบสงัด
ศิษย์พี่รองที่ห่างไปหนึ่งพันจั้ง ยามนี้เบิกตากว้างอยู่พักใหญ่ แล้วค่อยสูดลมหายใจเข้าลึก ในสายตาที่มองซูหมิงมีความชื่นชมและตะลึง
เขาเห็นการกระทำของซูหมิงทุกอย่าง แต่ต่อให้เป็นเช่นนั้น ช่วงสุดท้ายที่สังหารคนตัวเตี้ย กลับมีชั่วพริบตาหนึ่งที่เขาไม่เห็นเงาซูหมิง
นี่อธิบายได้ว่าความเร็วของซูหมิงใกล้จะเหนือกว่าปฏิกิริยาของศิษย์พี่รอง หากซูหมิงเร็วกว่านี้ สามารถหายตัวไปในสายตาของผู้แข็งแกร่งได้นาน เช่นนั้นเขาก็คือผู้แข็งแกร่ง!
เขาคือสายลม ผู้คนรู้สึกเพียงสายลมกระทบใบหน้า ทว่ากลับมองไม่เห็นลม!
ซูหมิงมองภายในส่วนกลางของเผ่าชายแดนเหนือ ยามกวาดสายตามองชาวเผ่าแดนภูตโดยรอบ คนที่ถูกมองล้วนใบหน้าถอดสีทันใด มีเสียงอื้ออึงดังในความคิด
เหมือนว่าในสายตาของซูหมิงมีกระบี่คมกริบจำนวนมาก สายตาซึ่งสามารถทะลวงผ่านพวกเขา พุ่งทะลุถึงจิตวิญญาณ ทิ้งตราประทับหยั่งลึกไว้ ตราประทับนี้เป็นความรู้สึกที่ไม่อาจต่อต้าน เป็นความรู้สึกที่ไม่อาจเอาชนะคนตรงหน้าได้
ภายใต้ความรู้สึกนี้ ภายใต้สายตาของซูหมิง หัวใจพวกเขาเต้นแรงขึ้นเรื่อยๆ ทุกคนที่ซูหมิงกวาดสายตามองล้วนคุกเข่ามาทางเขาโดยไม่รู้ตัว วางคันศรในมือลงข้างกาย สองมือกอดอก ก้มหน้าลง
ทุกคน ณ ตรงนั้นที่ซูหมิงกวาดสายตามอง ไม่ว่าผมสั้นหรือผมยาว ไม่ว่านักรบหมานหรือชาวเผ่าธรรมดา ทั้งหมดคุกเข่าลงท่ามกลางสายตาของซูหมิง
“รูปแบบที่สอง เหมือนกาลเวลาชั่วพริบตา เงาภูตผีดับสูญ ไม่อาจมีสิ่งใดมาเทียบ…เรียกว่าภูตพริบตา คิดว่าอย่างไร?” ศิษย์พี่รองกล่าวอย่างอ่อนโยน เดินมาทางซูหมิง
“ภูตพริบตา…ดี!” ซูหมิงพยักหน้า ใบหน้าซีดขาวกว่าเดิม ความเร็วเมื่อครู่ถึงขีดจำกัดของเขาแล้ว อีกทั้งการระเบิดของกำไลน้ำแข็งสองวงสุดท้ายมากเกินกว่าขีดจำกัดของร่างกายจะทนไหว หากมิใช่เพราะฝึกฝนร่างกายหลายเดือน เกรงว่าด้วยความเร็วน่าสะพรึงนี้ ร่างกายเขาคงแหลกสลาย
“แต่ศิษย์น้องเล็ก….แม้รูปแบบนี้จะยอดเยี่ยม….ทว่า….ก็ยังบกพร่องอยู่”
ศิษย์พี่รองเดินเข้ามาช้าๆ เมื่อมาถึงข้างซูหมิงแล้ว เขามองศพคนตัวเตี้ยศีรษะหลุดบนพื้นแวบหนึ่ง
“จุดที่บกพร่อง บางทีศิษย์พี่รองอาจจะพูดไม่ถูก ถึงอย่างไรนี่คือสิ่งที่เจ้าสร้างขึ้น…ข้ารู้สึกว่าภายใต้ความเร็วแบบนั้นจะเสียทักษะในการสังเกตไป” ขณะศิษย์พี่รองกล่าว แววตาขยับประกาย รอบตัวศพคนตัวเตี้ยพลันมีพืชสีเขียวเติบโตจำนวนมาก
“ยังเตรียมฟื้นตัวอยู่อีกรึ…” ศิษย์พี่รองเพิ่งกล่าวจบ ศีรษะของศพคนตัวเตี้ยพลันหลอมละลาย กลายเป็นแมลงเล็กสีดำจำนวนมากแตกรังบนแผ่นดิน ขณะเดียวกันตัวศพก็เช่นเดียวกัน กลายเป็นแมลงเล็กสีดำนับไม่ถ้วนแน่นขนัดอยู่บนพื้น แมลงสีดำเหล่านั้นร้องเสียงแหลม บินขึ้นท้องฟ้าพร้อมกัน
ทว่าช่วงที่พวกมันบินขึ้น พืชสีเขียวบนพื้นเหล่านั้นลอยขึ้นตาม แล้วเข้าพันรัดกับแมลงเล็กสีดำ แมลงเหล่านั้นดิ้นรนไม่หยุด หมายมั่นจะดิ้นให้หลุดจากพืชสีเขียว ทว่าก็ไม่อาจสำเร็จได้
ซูหมิงเงยหน้ามองแมลงเล็กสีดำบนท้องฟ้า นัยน์ตาเย็นชา
“การสร้างของศิษย์พี่ไม่เหมือนการเข้าฝันของน้องสาม และต่างจากภาพของเจ้าโดยสิ้นเชิง…การสร้างของข้าคือเส้นทางที่ความเป็นตามหาความตาย…เหมือนกับสีขาวยามกลางวันตามหาสีดำของค่ำคืน….” ขณะศิษย์พี่รองกล่าว เขาก้มหน้ามองมือซ้ายตัวเอง ค่อยๆ ยกขึ้นคว้าอากาศไปทางแมลงเล็กสีดำที่พยายามดิ้นรนให้หลุดจากพืชสีเขียว
เมื่อคว้าไป พืชสีเขียวจำนวนมากที่พัวพันกับแมลงบนท้องฟ้าพลันกลายเป็นสีน้ำตาล เหมือนเสียพลังชีวิต ราวกับดอกไม้ในฤดูใบไม้ผลิเจอกับสายลมในฤดูใบไม้ร่วง แล้วโรยราอย่างรวดเร็ว
หากแต่ช่วงที่พวกมันแห้งเหี่ยว ความโรยรานั้นคล้ายแผ่กระจาย ปกคลุมแมลงเล็กสีดำเหล่านั้นเอาไว้ เมื่อศิษย์พี่รองลดมือซ้ายลง แมลงเหล่านั้นพากันหล่นลงพื้นกลายเป็นเลือดเนื้อ ทันใดนั้น สิ่งที่ปรากฏกลับมิใช่ศพแมลง แต่เป็นศพแหลกละเอียดของคนตัวเตี้ย
“ตอนที่ใช้ภูตพริบตาครั้งหน้า อย่านำจิตใจจดจ่อโดยรอบ ต้องจดจ่อไปยังศัตรูที่เจ้าคิดสังหาร สังเกตพลังชีวิตเขา…..ว่ามีอยู่หรือไม่ ยังซ่อนเอาไว้หรือไม่….หากไม่มั่นใจ จงจำเอาไว้ ตอนที่เขายังเหมือนมีชีวิตอยู่ให้สังหารอีกครั้ง สองครั้ง หรือมากกว่านั้น” ระหว่างศิษย์พี่รองกล่าวก็เดินมาอยู่ข้างเศษเนื้อ ยกเท้าขึ้นแล้วกระทืบพื้นอย่างแรง เหยียบเศษเนื้อเหล่านั้นจนเละ
สีหน้าของศิษย์พี่รองจนถึงตอนนี้ยังคงอบอุ่นมาก ขัดแย้งกับการกระทำของเขาตอนนี้อย่างเห็นได้ชัด
“ตอนนี้เขาตายจริงๆ แล้ว ตายจนไม่เหลืออะไร!” ศิษย์พี่รองเงยหน้ายิ้มบาง กล่าวเบาๆ กับซูหมิง
การกระทำของเขาทำให้ชาวเผ่าแดนภูตโดยรอบเกิดความรู้สึกหนาวเยือกในก้นบึ้งหัวใจ จนกระทั่งในสายตาพวกเขา ชายที่ยิ้มตลอดคนนี้น่ากลัวกว่าซูหมิงเสียอีก
ความน่ากลัวนี้มิใช่ขั้นพลัง แต่เป็นการกระทำ!
ซูหมิงเงียบครู่หนึ่ง แล้วพยักหน้า
“ไปเถอะ ไปดูส่วนท้ายของเผ่าชายแดนเหนือกัน ที่นั่นจะต้องมีคนมาขวางอีกไม่น้อย” ศิษย์พี่รองยิ้มน้อยๆ ตบบ่าซูหมิง แววตายังคงชื่นชม
ซูหมิงกำลังจะเดินตามไป ทว่าเพิ่งยกเท้า ตัวเขากลับสั่นสะท้าน เขาเงยหน้ามองศิษย์พี่รองข้างกาย เห็นใบหน้ายิ้มของศิษย์พี่รอง ยามนี้ขาวซีดเล็กน้อย
“ศิษย์พี่รอง…..” ซูหมิงอ้าปากเหมือนอยากกล่าวอะไรบางอย่าง
“เอาละ ข้าเป็นศิษย์พี่เจ้า เป็นสิ่งควรที่ทำอยู่แล้ว ไปกันเถอะ” ศิษย์พี่รองยิ้มส่ายศีรษะ เดินอยู่ด้านหน้า
ซูหมิงมองศิษย์พี่รองอย่างอึ้งๆ แววตาอบอุ่น ช่วงที่ศิษย์พี่รองตบบ่าเขาเมื่อครู่ เขารู้สึกถึงธารอุ่นไหลมาจากมือศิษย์พี่รองเข้าสู่ตัวเขา เมื่อไหลเวียนครบหนึ่งรอบก็กลายเป็นพลังชีวิตเปี่ยมล้น พลังชีวิตนั้นเหมือนกับเม็ดโอสถที่มีผลรุนแรงอย่างยิ่ง ทำให้อาการบาดเจ็บจากการใช้ความเร็วน่าทึ่งดีขึ้นเจ็ดถึงแปดส่วน
ทว่าเห็นได้ชัดว่า การทำเช่นนี้มิใช่เรื่องง่ายสำหรับศิษย์พี่รอง!
ความผูกพันระหว่างศิษย์ร่วมอาจารย์จะสลักอยู่ในใจซูหมิงมาตลอดกาล เขาไม่มีวันลืม…..ยอดเขาลำดับเก้า!
หลังจากทั้งสองคนเดินทางต่อก็ไม่มีใครขวางอีก ชาวเผ่าแดนภูตโดยรอบล้วนมองซูหมิงกับศิษย์พี่รองค่อยๆ ไกลออกไป จนมาถึงปลายส่วนกลางบนที่ราบหิมะเผ่าชายแดนเหนือ
ตรงหน้าซูหมิงกับศิษย์พี่รองเป็นส่วนท้ายสุดของชนเผ่า มีเรือนน้ำแข็งท่ามกลางความเงียบ และยังมีต้นไม้ใหญ่ใบสีดำตรงขอบที่ราบหิมะไกลๆ รวมถึงเรือนพักใต้ต้นไม้
“เผ่าแดนภูต…..สมคำร่ำลือ ศิษย์น้องเล็ก ในเรือนน้ำแข็งแถบนี้มีคนเกือบร้อย คนที่มีขั้นพลังเทียบเท่าขั้นเซ่นไหว้กระดูกมีสิบกว่าคน” ศิษย์พี่รองกวาดสายตามองเรือนน้ำแข็ง ยิ้มให้ซูหมิง ก่อนเงยหน้ามองท้องฟ้า
“ศิษย์น้องเล็ก ฟ้ามืดแล้ว…” วินาทีที่ศิษย์พี่รองเอ่ย ในคำพูดนั้นมีบางอย่างแปลกไปจากความอบอุ่นแต่เดิมราวกับพลิกฟ้า!