ตอนที่ 388 วิเคราะห์คำสาป
เยวี่ยเฟิงคนนี้คือเหอเฟิง หลังจากซูหมิงออกจากสนามรบนอกเมืองหมอกนภา เขาก็ซ่อนตัวอยู่ในกลุ่มคน กลืนเผ่าหมานไปผู้หนึ่งและกลายเป็นคนคนนั้น
ช่วงเวลาหลายวันในเมืองหมอกนภา เขากระชุ่มกระชวยยิ่งนัก ความทะเยอทะยานเพิ่มความดุร้ายยิ่งขึ้น
กระทั่งยังคิดว่าเมื่อขั้นพลังเขาสูงขึ้นแล้วจะกลืนกินซูหมิง กลายเป็นอีกฝ่าย แล้วเดินทางพเนจรอยู่ในโลกใบนี้ สาเหตุที่ทำให้เขามีความปราถนาเช่นนี้ เป็นเพราะตอนเขาผสานกับค้างคาวจันทราก็ได้รับสืบทอดความทรงจำมาส่วนหนึ่ง จุดนี้เขาไม่ได้บอกซูหมิง แต่แอบฝึกฝน
ช่วงหลายวันมานี้ นอกจากเก็บคะแนนสงครามแล้ว เวลาที่เหลือเขาจะใช้ไปกับการผนึกค้างคาวจันทราในร่างกาย ทำให้ซูหมิงไม่อาจใช้ค้างคาวจันทราเหล่านี้ได้ และกลายเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายเขาเหอเฟิงแทน
ด้วยมรดกสืบทอดในความทรงจำ เขาคิดว่าน่าจะผนึกไปได้แปดเก้าส่วนแล้ว จึงมีความมั่นใจเปี่ยมล้น กลับไม่คิดเลยว่าบนสนามรบตอนนี้ ร่างกายเขาจะสูญเสียพลังชีวิตไปจำนวนมาก ทำให้ขณะเหอเฟิงตกตะลึงก็ตื่นกลัวไปด้วย
ไม่ต้องคิดก็เดาได้เลยว่า จะต้องเป็นซูหมิงกำลังใช้วิชาแน่นอน!
‘บัดซบ ข้าผนึกค้างคาวจันทราในร่างไว้แล้วแท้ๆ ซูหมิงใช้วิชาได้อย่างไร!’
เหอเฟิงหน้าซีดขาว โซเซถอยหลังไปหลายก้าวบนสนามรบ สหายรอบตัวเขารีบเข้ามาคุ้มกันเอาไว้ภายในด้วยความประหลาดใจ ก่อนพากันสอบถาม
“ไม่เป็นไร ร่างกายข้าบาดเจ็บตอนฝึกฝนเมื่อคืนวาน วันนี้ตั้งใจว่าจะรักษา ทว่าก็อยากมารบด้วย เลยระงับแผลเอาไว้ เมื่อครู่นี้อาการเพิ่งกำเริบ…..ขอบใจทุกท่านมาก หวังว่าสหายจะช่วยคุ้มกันข้าสักครู่ จนกว่าข้าจะระงับอาการบาดเจ็บเสร็จ!”
เหอเฟิงกล่าวเสียงหนักแน่น ประสานมือคารวะทุกคน หลังจากผู้คนโดยรอบต่างพยักหน้าแล้ว เขาก็นั่งขัดสมาธิลงอย่างไม่ลังเล สองมือกดตามตัวหลายครั้งอย่างต่อเนื่อง
ทว่าทันใดนั้น เหอเฟิงหน้าเปลี่ยนสีอีกครั้ง ใบหน้าเขาแห้งเหี่ยวอย่างน่าประหลาด ความเจ็บปวดแผ่กระจายจากทั้งตัวรวมถึงจิตวิญญาณ ทำให้เหอเฟิงทนไม่ไหวต้องร้องออกมา ใบหน้าเขาเว้าลงไป ร่างกายแห้งเหี่ยวอย่างรวดเร็ว พริบตาเดียวก็เหมือนศพแห้งๆ
การเปลี่ยนแปลงที่พิลึกเช่นนี้ทำให้ชาวเผ่าหมานรอบตัวเขาล้วนใจสั่น
นัยน์ตาเหอเฟิงฉายแววตื่นกลัว เขารู้สึกชัดว่าพลังชีวิตและเลือดเนื้อถูกพลังบางอย่างจากด้านบนฝืนสูบไป แต่เมื่อเขาเงยหน้ามองท้องฟ้า อากาศด้านบนกลับสงบนิ่ง
กระทั่งพลังชีวิตและเลือดเนื้อที่ถูกสูบไปยังไม่เกี่ยวกับค้างคาวจันทราแม้แต่น้อย ไม่ว่าเขาจะผลึกหรือไม่ผนึกก็ไม่มีผลอะไร
‘จะต้องเป็นซูหมิงแน่ เขา…เขาใช้วิธีใดกันแน่!’ เหอเฟิงตื่นกลัวในใจ เขาพลันพบว่าต่อให้ซูหมิงอยู่ห่างจากตน ต่อให้ตนพ้นจากสายตาซูหมิง ทว่า…เมื่อซูหมิงคิดจะลงโทษเขา ไม่ว่าจะเป็นสุดหล้าฟ้าเขียวก็ยังทำให้เขาหวาดกลัวได้
ทว่าสิ่งที่เหอเฟิงคาดไม่ถึงคือ ซูหมิงไม่ได้ใช้วิชาเจาะจงมาที่เขา กระทั่งยังไม่อาจเรียกว่าใช้วิชา ซูหมิงในยามนี้ ดวงตาวาววับ กำลังเงยหน้ามองน้ำวนบนท้องฟ้า ทุกครั้งที่น้ำวนหมุน ซูหมิงจะมีสีหน้าตะลึงงัน บ้างก็ตื่นเต้นดีใจ ทว่าไม่นานก็กลายเป็นสับสน สุดท้ายเปลี่ยนเป็นความไม่แน่ใจ
จีฮูหยินที่อยู่ไม่ไกลร่างกายเหลือเพียงหนังหุ้มกระดูก ทั้งตัวอัปลักษณ์ยิ่งนัก นางจ้องซูหมิงเขม็ง แววตาเหยียดหยามและเคียดแค้น นางย่อมมองออกว่าซูหมิงจะทำอะไร แต่ก็ไม่เชื่อว่าซูหมิงจะมองเงื่อนงำของคำสาปนี้ออกจริงๆ
แม้จะบอกอย่างนั้น ทว่าซูหมิงยืนหยัดอยู่ในคำสาปนานขนาดนั้นได้ จีฮูหยินจึงสงสัยในใจ ในสายตานาง ซูหมิงตอนนี้ผอมแห้ง แต่ห่างจากคำว่าแห้งเหี่ยวอีกไกล
ราวกับว่าพอทำเพลิงโลหิตแผดเผาหนึ่งครั้งแล้ว ดวงจันทร์บนท้องฟ้าเปล่งแสงสีแดงพิลึก พลังคำสาปที่แข็งแกร่งประหนึ่งถูกซูหมิงเคลื่อนย้าย และมีคนโชคร้ายผู้หนึ่งรับพลังคำสาปนี้แทนซูหมิง
ซูหมิงมิได้คิดให้เหอเฟิงมารับแทน เขาทำเพลิงโลหิตแผดเผา เดิมทีก็เพราะอยากให้วิชานี้ช่วยชะลอการสูบกินเลือดเนื้อและพลังชีวิต ไม่คิดเลยว่าพอใช้วิชานี้แล้วกลับรู้สึกถึงพลังของหมานเพลิง ณ นอกเมืองหมอกนภาในทิศทางของเผ่าหมาน
ทันทีที่รู้สึกถึงพลังนี้ พลังคำสาปที่รวมอยู่ในตัวซูหมิงก็เคลื่อนย้ายอย่างน่าอัศจรรย์ เหมือนซูหมิงเป็นสื่อกลางส่งไปยังร่างของเหอเฟิง
‘ข้าคือประมุขแห่งหมานเพลิง ฉะนั้นเมื่อใช้เพลิงโลหิตแผดเผาแล้ว พลังคำสาปพิลึกนี้เลยแบ่งไปให้คนของข้ารับแทน เมื่อพวกเขารับไม่ไหวถึงจะส่งคืนมาให้ข้าต่อ ทว่าหมานเพลิงในโลกใบนี้ นอกจากข้าแล้วก็มีเพียง…เหอเฟิง หมานเพลิงที่ข้าสร้างขึ้น!’ นัยน์ตาซูหมิงเป็นประกาย เข้าใจคำสาปมากขึ้นอีกเล็กน้อย
เขามองน้ำวนบนท้องฟ้า นัยน์ตาวูบไหว เหมือนจะเข้าใจเล็กน้อย ทว่าหากจะใช้วิชาคำสาป ความเข้าใจนี้ยังน้อยมากจนไม่มีค่าพอให้เอ่ยถึง
‘คำสาปจะร่ายใส่ต้นกำเนิดเดียวกัน! เหอเฟิงเป็นหมานเพลิงที่ข้าสร้างขึ้น ฉะนั้นจึงเรียกได้ว่ามีต้นกำเนิดเดียวกับข้า และเขาก็อยู่ในพื้นที่ของคำสาปเช่นกัน…แต่นอกจากต้นกำเนิดเดียวกันแล้ว วิชาคำสาปนี้มีการเชื่อมโยงทางสายเลือดหรือไม่…’ นัยน์ตาซูหมิงฉายแววสงสัย
เขาจำได้ว่าตอนนั้นอูตัวเล่าให้เขาฟังถึงเรื่องวิชาคำสาปลึกลับบนแผ่นดินเชมัน แต่ไม่ได้เอ่ยถึงพลังจากต้นกำเนิดเดียวกัน
เพียงบอกว่าเหมือนมีส่วนเกี่ยวข้องทางสายเลือด และเคยบอกว่ามีชนเผ่าเชมันแห่งหนึ่ง หลังจากคนผู้หนึ่งถูกผู้ดูดวิญญาณที่แกร่งกล้าลงคำสาปใส่ คนที่มีสายเลือดเดียวกับเขาล้วนตายตกกันหมด
สุดท้ายเพราะมีสายเลือดเดียวกัน ทำให้ชนเผ่านี้มีคนตายไปมากกว่าครึ่ง
‘หากที่อูตัวพูดเป็นเรื่องจริง เช่นนั้นวิชาคำสาปก็มีความเกี่ยวข้องทางสายเลือดจริงๆ ทว่าอานุภาพคงไม่ร้ายแรงนัก มิเช่นนั้นแล้ว หากเผ่าเชมันมีผู้แกร่งกล้าประเภทนี้ คงใช้คำสาปกับเผ่าหมานทั้งหมด…ทำให้เผ่าหมานทุกคนตายไปแล้ว บางทีอาจทำให้เผ่าหมานไม่อาจทะลวงขั้นพลังได้อีกเลย…หืม?!’ ซูหมิงพลันเบิกตากว้าง นี่คือข้อสันนิษฐานที่เขาได้จากความเข้าใจหลังเห็นพลังคำสาปนี้ แต่คำตอบจากการวิเคราะห์กลับทำให้จิตใจสั่นไหว
‘ตั้งแต่เทพหมานรุ่นสามสิ้นลง ขั้นพลังเผ่าหมานหยุดอยู่ที่วิญญาณหมาน ยากจะไปต่อ…เมื่อเทพหมานรุ่นสี่ปรากฏ ถึงจะทำให้ขั้นพลังของเผ่าหมานทะลวงต่อจากวิญญาณหมานได้…นี่…หรือว่า…บางทีข้าอาจคิดมากไปเอง’ ซูหมิงหายใจกระชั้น ผ่านไปพักหนึ่งก็กลับมาเป็นปกติ
ขณะเดียวกันกับที่ซูหมิงกระจ่างแจ้งและเกิดความหวาดกลัวในใจ นอกเมืองหมอกนภา เหอเฟิงร้องโหยหวนดังก้องโดยรอบ ตัวเขาแห้งเหี่ยวจนไม่เหลือสภาพคน ทั้งยังเริ่มเน่าเปื่อยเป็นจุดใหญ่ๆ ส่งกลิ่นเหม็นทำให้คนโดยรอบล้วนมีสีหน้าตะลึง
เหอเฟิงรู้สึกว่าเลือดเนื้อของตนใกล้จะหายไปสิ้น พลังชีวิตไหลออกไปเร็วขึ้น ยามนี้สติพร่ามัว เงามืดแห่งความตายปกคลุมจิตใจอีกครั้ง กลายเป็นความกลัวสุดขีด
“นายท่าน….ข้าผิดไปแล้ว ครั้งนี้ข้าผิดไปแล้วจริงๆ!”
ขณะเหอเฟิงกรีดร้อง มีเสียงอ้อนวอนดังปะปนอยู่ เมื่อสหายโดยรอบได้ยินก็ล้วนตะลึงงัน โดยเฉพาะคำว่านายท่าน
ทันใดนั้น ขณะเหอเฟิงตัวสั่นอย่างรุนแรงก็พลันกลายเป็นน้ำโลหิต แม้แต่กระดูกยังหลอมละลาย ทว่าร่างกายนี้ถึงอย่างไรเหอเฟิงก็กลืนกินมา ยามนี้ถึงแม้หายไป วิญญาณเหอเฟิงก็ยังคงอยู่ บนน้ำเลือดนั้นมีเงาร่างดำลอยอยู่หนึ่งก้อน เงาดำนี้ขยับวูบวาบ ก่อนมาปรากฏตัวอยู่ข้างชายหนุ่มเผ่าหมานในฉับพลัน แล้วอ้าปากกว้างเพื่อกลืนกิน ขณะที่ผู้คนโดยรอบยังไม่ทันตั้งตัว ชายหนุ่มคนนั้นก็ร้องอย่างน่าเวทนา ทั้งตัวถูกเงาดำปกคลุม
“พี่ใหญ่เยวี่ยเฟิง ท่าน…”
“มันไม่ใช่เยวี่ยเฟิง แต่เป็นพวกเชมันที่สังหารเยวี่ยเฟิง สังหารมันซะ!”
ชาวเผ่าหมานคนอื่นๆ พากันลงมืออย่างรวดเร็วขณะตื่นตะลึง ทว่าช่วงที่วิชาของพวกเขาเข้าใกล้ชายหนุ่มที่ถูกเหอเฟิงกลืนกิน เงาร่างดำค่อยๆ หายไป เผยเป็นใบหน้าชายหนุ่มที่แห้งเหี่ยว…
บนแผ่นดินเชมัน น่านฟ้านอกเทือกเขาถ้ำของซูหมิง ยามนี้น้ำวนสลายตัว คล้ายยากจะคงรูปต่อไป จีฮูหยินด้านข้างเบิกตาค้าง นางอึ้งซูหมิงที่ซูบผอมทั้งร่าง แทบไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเอง
นางเข้าใจฤทธิ์เดชของวิชาคำสาปนี้ดี ต่อให้เป็นเชมันระดับปลาย หากไม่ระวังแล้วถูกคำสาปละก็ แม้ไม่ตายก็เสียพลังชีวิตไปไม่น้อย
ทว่าในสายตานางตอนนี้ ซูหมิงแทบจะไม่เสียอะไรเลย พลังชีวิตที่ถูกสูบไปก็น้อยนิดจนไม่มีค่าพอให้นับ
เจอกับเหตุการณ์ประหลาดเช่นนี้ จีฮูหยินสูดลมหายใจเข้าลึก ใบหน้าพลันซีดขาว ทว่ากลับไม่ถอย นัยน์ตาฉายแววบ้าคลั่ง นางรู้ว่าวิชาคำสาปนี้ยังอยู่ต่อได้อีกสิบลมหายใจ หลังจากนั้นจึงจะหายไป แล้วซูหมิงก็จะหลุดจากพันธนาการในอาณาเขตหนึ่งจั้ง
“ข้าไม่เชื่อหรอกว่าวันนี้จะสังหารเจ้าไม่ได้! ฆ่าเจ้าแล้วข้าก็จะหลอมเจ้าเป็นหุ่นเชิด กลายเป็นองครักษ์ปกป้องข้ากับจีอวิ๋นไห่ ด้วยอภินิหารและความแปลกของเจ้า คงจะเป็นเผ่าเชมันที่มีชื่อเสียง แต่วันนี้เจ้าต้องตายแน่!”
จิตสังหารในแววตาจีฮูหยินเข้มข้น นางถอยหลังไปหลายก้าว กางแขนสองข้างออก แล้วอ้าปากสูบไปข้างหน้าเฮือกใหญ่
เกิดพายุคลั่งขึ้นโดยรอบ ขณะเดียวกับที่จีฮูหยินอ้าปากสูบลมมหาศาลเข้าไป บนใบหน้าอัปลักษณ์ของนางพลันปรากฏรอยสัก!
รอยสักนั้นเป็นศีรษะดุร้าย ดูจากขนาดศีรษะแล้วมิใช่ศีรษะคน แต่เป็น…ศีรษะเด็กทารก!
เวลาค่อยๆ ผ่านไปสิบลมหายใจ ในที่สุดซูหมิงก็ล้มเลิกการศึกษาคำสาป การเรียนรู้เมื่อครู่นี้ทำให้เขาเข้าใจเพียงเล็กน้อย หากอยากเข้าใจอย่างถ่องแท้ก็ต้องหาวิธีจากตัวจีฮูหยิน
เขามีสีหน้าเคร่งขรึม จีฮูหยินไม่ใช่เชมันระดับปลาย ทว่าเป็นเชมันระดับกลางที่แข็งแกร่งอย่างยิ่งเท่าที่ซูหมิงเคยพบมา ทั้งยังมีกลอุบายนับไม่ถ้วน
แต่ยิ่งเป็นเช่นนั้น ซูหมิงเลยล้มเลิกความคิดที่จะใช้พลังแห่งเทพหมานกับวิชาสังหารอื่นๆ ไป เขาต่อสู้กับเผ่าเชมันมาไม่เยอะ ร่วมสงครามใหญ่ก็ไม่กี่ครั้งเท่านั้น วิชาสังหารระหว่างสองฝ่าย เขายังขาดประสบการณ์ เมื่อเจอกับผู้ชำนาญวิชาเยอะขนาดนี้จึงไม่อยากพลาดโอกาสไป