Skip to content

สู่วิถีอสุรา 46

ตอนที่ 46 ความลับของท่านปู่

ซูหมิงเดินอยู่ในเมืองหินโคลนแห่งเผ่าร่องลม เบื้องหน้าเป็นมัคคุเทศก์นำทางโดยเฉพาะ หลังของเขาเผยกลิ่นอายความรู้สึกหยิ่งยโส ตรงจุดนี้ซูหมิงสัมผัสมันได้อย่างชัดเจน

“เขามีคุณสมบัติพอที่จะหยิ่งยโสได้จริงๆ…..” ซูหมิงมองเมืองเบื้องหน้า มองเรือนหินแต่ละหลัง อดนึกถึงกระโจมหนังในเผ่าของตนมิได้…นี่มันไม่อาจเปรียบเทียบกันได้เลย

โดยเฉพาะระหว่างทาง ซูหมิงเห็นผู้คนในเผ่าร่องลมจำนวนมาก กระทั่งเขาที่อายุสิบหกก็ยังไม่เคยเห็นชาวเผ่าหมานที่มีมากขนาดนี้มาก่อน อีกทั้งยังดูครึกครื้นยิ่งนัก ในกลุ่มคนมีทั้งบุรุษและสตรี แม้จะสวมเสื้อหนังสัตว์ ทว่ามันก็ยังดีกว่าเสื้อหนังสัตว์ซอมซ่อที่ซูหมิงสวมอยู่หลายเท่า

ในนั้นมีหลายคนสวมผ้าเนื้อหยาบที่มีเพียงท่านปู่เท่านั้นถึงจะมีสิทธิสวมได้ อีกทั้งคนเหล่านั้นยังล้วนเป็นนักรบหมานที่มีพลังโลหิตแกร่งกล้า

“เผ่าขนาดกลาง…” ซูหมิงมองทุกอย่าง ทั้งยังมองไปนอกกำแพงเมือง เขาจำได้ว่าตอนอยู่กลางอากาศมีหกชนเผ่าขนาดเท่ากับเผ่าเขาทมิฬตั้งอยู่รอบเมือง เห็นได้ชัดว่าพวกเขาไม่มีสิทธิมาตั้งรกรากในเมืองหินโคลนแห่งนี้ อยู่ได้เพียงด้านนอกเท่านั้น

ระหว่างทางซูหมิงยังเห็นเรือนค้าขายจำนวนมาก แม้คนจะมีไม่มากนัก ทว่าทุกคนที่เดินเข้าออกกลับทำให้ซูหมิงตื่นตะลึง

บนพื้นไม่ได้เป็นดินเหนียว แต่ปูด้วยหินจำนวนมาก ไม่ทราบว่าใช้วิธีแบบไหนถึงทำให้เศษหินพวกนี้แบนเรียบเสมอกัน เมื่อเหยียบไปบนพื้นให้ความรู้สึกแข็ง ทำให้คนที่เคยชินกับพื้นดินเหนียวอย่างซูหมิงปรับตัวไม่ถูกเล็กน้อย

ณ กำแพงหินโคลนรอบเมืองที่อยู่ไกลๆ ซูหมิงยังเห็นคันศรยักษ์ขนาดสิบกว่าจั้งหลายคัน ทุกส่วนเป็นสีดำ ขับกลิ่นอายดุร้าย ผู้พบเห็นล้วนต้องหนาวสั่น

“ดูพอหรือยัง?” น้ำเสียงแสบหูทำให้สายตาซูหมิงกระตุก เป็นผู้นำทางจากเผ่าร่องลม ยามนี้เขาหันกลับมามองซูหมิง เผยรอยยิ้ม

ความหยิ่งยโสที่แฝงอยู่ในรอยยิ้มนั้น ยามนี้ราวกับเปลี่ยนเป็นเสียดสี เขาไม่ได้ถากถางซูหมิง แต่ถากถางคนจากเผ่าขนาดเล็กทุกคนที่มาถึงที่นี่แล้วต่างแสดงอาการตกตะลึงเหมือนกัน

“อย่าเพิ่งดู เจ้าต้องอยู่ที่นี่อีกสักระยะ จะดูเมื่อไหร่ก็ได้ โดยเฉพาะตอนกลางคืน ข้าแนะนำว่าอย่าอยู่แต่ในเรือน ให้ออกมาเดินเล่นบ้าง ค่ำคืนของเผ่าร่องลมอยู่ห่างไกลเกินกว่าเผ่าเขาทมิฬของเจ้าจะเปรียบได้ ตอนนี้รีบตามข้ามา อย่าให้จ้าวหมานรอนาน” คนจากเผ่าร่องลมตบบ่าของซูหมิง ก่อนหมุนตัวเดินไปอย่งงไว

ซูหมิงเงียบขรึม แล้วจึงเดินตามหลังเขาไปอย่างเร็ว

ณ ใจกลางเมืองหินโคลน บนแท่นบวงสรวงห้าเหลี่ยมใหญ่ยักษ์มีอยู่สามห้องลับด้วยกัน ยามนี้หนึ่งในห้องลับมีบุรุษชุดคลุมม่วงขั้นพลังชำระล้างหรือจ้าวหมานแห่งเผ่าร่องลมกำลังนั่งขัดสมาธิ ตรงข้ามเขาเป็นโม่ซังจ้าวหมานแห่งเผ่าเขาทมิฬที่ยามนี้มีสีหน้าสงบนิ่ง

ตรงกลางระหว่างทั้งสองเป็นกระดานที่แกะสลักขึ้นจากหิน ด้านบนมีตัวหมากที่เหลาขึ้นจากกระดูกสัตว์ ดูแล้วหยาบยิ่งนัก นอกจากกระดานหมากแล้ว ข้างกายทั้งสองยังมีแก้วหินขนาดกำปั้นคนละหนึ่งใบ มีไอร้อนแผ่ขยายมากจากด้านใน ส่งกลิ่นหอมคละคลุ้งโดยรอบ

“โม่ซัง หลังจากที่เจ้ากลับมาจากข้างนอกในครั้งนั้น และให้กระดานหมากนี้กับข้า ทั้งยังสอนข้าวางหมากอีก คิดดูแล้วคงเป็นเพราะเจ้าเหงาก็เลยอยากได้คนมาช่วยแก้กลุ้มใช่หรือไม่” บุรุษชุดคลุมม่วงหยิบหมากกระดูกขึ้นวางลงอีกที่หนึ่ง แล้วจึงแหงนหน้าส่งเสียงหัวเราะ

“กระดานหมากนี้ได้มาจากเผ่าไท่อา ได้ยินมาว่าบรรพบุรุษหมานแห่งไท่อาสร้างเลียนแบบขึ้นจากที่ห่างไกล…..น่าเสียดายที่ข้าไม่ได้แตะมันมาหลายปี จึงไม่อาจสู้เจ้าได้แล้ว” ท่านปู่หยิบหมากขึ้นวางลงด้านข้าง กล่าวเสียงเบา

“โม่ซัง จริงๆ แล้วข้าชื่นชมเจ้ามาโดยตลอด” บุรุษชุดคลุมม่วงถอนหายใจเบา มองโม่ซังตรงหน้า ในความคิดปรากฏภาพทั้งสองตอนยังเป็นหนุ่ม อีกฝ่ายในความทรงจำของเขาเป็นคนจิตใจเร่าร้อนฮึกเหิม มีท่าทางทะนงองอาจต่อฟ้าดิน…..ในรุ่นเดียวกันไม่มีใครไม่รู้จัก…..ทว่าตอนนี้ใครจะไปคิดว่าโอรสแห่งสวรรค์ในตอนนั้นกลับเป็นชายชราผู้อยู่ในช่วงบั้นปลายชีวิต

“เจ้าไม่ควรอยู่ในเผ่าเขาทมิฬ…..หากตอนนั้นเจ้าตอบรับท่านปู่ ยอมเป็นบุตรชายหมานของเขา จ้าวหมานแห่งเผ่าร่องลมในตอนนี้คงไม่ใช่ข้า แต่เป็นเจ้า…อีกทั้งขั้นพลังของเจ้าคงไม่ทะลวงยากถึงเพียงนี้ น่าจะก้าวสู่ขั้นชำระล้างก่อนข้าเสียอีก…กระทั่งตอนนั้นท่านปู่ยังเคยบอกว่า ตลอดชีวิตของเขาเจ้าเป็นเพียงคนเดียวที่มีโอกาสทะลวงถึงขั้นพลังเซ่นไหว้กระดูก” กล่าวถึงเซ่นไหว้กระดูก นัยน์ตาบุรุษชุดคลุมม่วงเป็นประกายแฝงไว้ด้วยความเฝ้าปรารถนา

“เซ่นไหว้กระดูก…..เซ่นไหว้กระดูก…เซ่นไหว้กระดูกสันหลังชิ้นที่สิบสามของตน เปิดผนึกแห่งโชคชะตา ทำให้กระดูกสันหลังชิ้นที่สิบสามกลายเป็นกระดูกหมานที่แท้จริงในยุคบรรพบุรุษหมาน!” บุรุษชุดคลุมม่วงกล่าว ประกายจากแววตาพลันอ่อนลง

“แต่ข้าทำไม่ได้…..”

โม่ซังเงียบขรึม พอได้ยินถึงชื่อเซ่นไหว้กระดูก ใบหน้าเผยความขมขื่นและคะนึงคิด

“หากเจ้าในตอนนั้นยอมรับข้อเสนอของท่านปู่ ยอมตบแต่งกับเหวินเยียนและเข้าร่วมกับเผ่าร่องลม ท่านปู่จะต้องมอบอำนาจทุกอย่างในเผ่าให้แก่เจ้า และช่วยเจ้าไปถึงขั้นเซ่นไหว้กระดูก! หากเจ้าทะลวงถึงขั้นเซ่นไหว้กระดูกแล้ว มีหรือที่เผ่าร่องลมจะต้องหลบซ่อนอยู่แต่ในนี้…” บุรุษชุดคลุมม่วงยิ้มขมขื่น

“จิงหนาน มันเป็นอดีตไปแล้ว” โม่ซังกล่าวขึ้นเรียบๆ

“ใช่ มันเป็นอดีตไปแล้ว…” บุรุษชุดคลุมม่วงในที่สุดก็ได้ยินโม่ซังเรียกชื่อของตน จึงส่ายศีรษะถอนหายใจ

“ที่เจ้ามาหาสหายเก่าอย่างข้าในครั้งนี้ น่าจะเป็นเพราะเด็กคนนั้นที่ยืนอยู่ข้างเจ้าใช่หรือไม่…เขาคงเป็นเด็กทารกคนที่เจ้าเก็บมาเลี้ยงในครั้งนั้น” จิงหนานจ้าวหมานเผ่าร่องลมมองโม่ซัง กล่าวขึ้นเรียบๆ

“ก็มีส่วน!” โม่ซังหยิบแก้วหินขึ้นมา แล้วเป่าลมไปข้างใน เมื่อไอร้อนที่ลอยขึ้นจางหายไปบ้างแล้ว จึงดื่มอย่างช้าๆ

“ข้ารู้สึกได้ว่าจันทร์โลหิตเมื่อไม่นานมานี้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเผ่าภูผาดำ…เจ้าปี้ถูบางทีอาจจะได้โชคบางอย่าง…” ท่านปู่วางแก้วหินลง

“ข้าจะไม่ปิดบังเจ้า ตอนนี้เขาสามารถทะลวงสู่ขั้นพลังชำระล้างได้ทุกเมื่อ! โม่ซัง หากเจ้าต้องการให้ข้าจัดการกับเขา เกรงว่าเรื่องนี้….” จิงหนานลังเลครู่หนึ่ง ก่อนส่ายศีรษะ

“เรื่องนี้ข้าทำให้ไม่ได้ หากเขาทะลวงสู่ขั้นพลังชำระล้างจะมีผลดีต่อเผ่าร่องลมอย่างมาก ต่อให้เจ้ายอมรับข้อเสนอของข้าในตอนนั้นก็ตาม แต่ข้าก็ทำให้ไม่ได้อยู่ดี”

“ช่วยไม่ได้” ท่านปู่หัวเราะเล็กน้อย เขาทราบดีแล้วว่ามันต้องเป็นเช่นนี้ จิงหนานตรงหน้าไม่ได้เป็นมิตรอย่างที่เห็นบนเปลือกนอก ปัญหาระหว่างกันพวกเขาต่างเข้าใจดี

“เจ้าก็มีความลำบากใจของเจ้า เรื่องนี้ข้าเข้าใจ อีกทั้งระหว่างข้ากับเจ้าไม่ช้าก็เร็วต้องสะสางกันอยู่แล้ว! ที่ข้ามาในครั้งนี้ก็เพื่อทำข้อแลกเปลี่ยนกับเจ้า!”

“อ้อ? ว่ามา” นัยน์ตาจิงหนานสั่นไหวเล็กน้อยโดยที่ผู้ใดไม่อาจสัมผัสได้ และกล่าวขึ้นเรียบๆ

ท่านปู่กล่าวขึ้นเสียงเบา มีเพียงจิงหนานเท่านั้นที่ได้ยิน เมื่อฟังจบสีหน้ายังคงสงบนิ่ง หลับตาลงและตกอยู่ในห้วงความคิด ท่านปู่ไม่ได้เร่งรัด เพียงแต่หยิบแก้วหินขึ้นมาดื่มอย่างช้าๆ

เวลาล่วงเลยผ่านไป ในห้องลับยังคงเงียบสงัด ทว่าผ่านไปนานเท่าไรไม่ทราบแน่ พลันมีเสียงดังมาจากข้างนอกด้วยความนอบน้อม

“เรียนจ้าวหมาน ซูหมิงมาแล้วขอรับ”

“ให้เข้ามาได้” จิงหนานยังคงหลับตาเหมือนเดิม

เสียงฝีเท้าดังขึ้นในห้องลับ ค่อยๆ ดังใกล้เข้ามา ซูหมิงตึงเครียดเป็นอย่างมาก ก้าวเดินไปเบื้องหน้าทีละก้าว แสงไฟในห้องนี้ไม่สว่างนัก ออกจะสลัวเล็กน้อย เขาเดินมาจนสุดทางจนพบกับบุรุษชุดคลุมม่วงกับท่านปู่แล้ว จึงค่อยโล่งใจ

“ซูหมิง มาอยู่ข้างข้า” ท่านปู่เผยรอยยิ้ม กวักมือเรียกซูหมิง ซูหมิงสาวเท้าไวมายืนอยู่หลังท่านปู่ ก้มหน้าลงไม่กล่าวอะไร

“บอกความต้องการที่สองของเจ้ามา” ผ่านไปครู่หนึ่ง จิงหนานลืมตาขึ้น นัยน์ตาฉายแววเกลี้ยงเกลา จ้องมองโม่ซังพร้อมกล่าวขึ้นเรียบๆ

“ข้าต้องการโลหิตหมานหนึ่งหยดของเจ้า!” ท่านปู่จ้องจิงหนานเช่นเดียวกัน กล่าวขึ้นอย่างช้าๆ

จิงหนานพลันขมวดคิ้วขึ้นทันที ตนเป็นนักรบหมานย่อมมีโลหิตหมาน ทว่าเขาเป็นนักรบขั้นพลังชำระล้าง โลหิตหมานจึงเป็นสิ่งล้ำค่ายิ่งนัก ทุกครั้งที่เสียไปหนึ่งหยดเขาจะต้องใช้เวลาสักระยะกว่าจะฟื้นฟูกลับมาได้ แม้แต่คนในเผ่าเอง นอกจากผู้มีพรสวรรค์ยิ่งแล้ว เขาแทบไม่เคยมอบโลหิตหมานให้ใครเลย

ขณะกำลังครุ่นคิด จิงหนานที่มองโม่ซังอยู่ ปรายตามองซูหมิง แม้ว่าซูหมิงจะก้มหน้า ทว่าเขากลับสัมผัสได้ถึงสายตาราวกับเข็มแหลมของบุรุษชุดคลุมม่วงที่มองมาทางตน

“ให้เขา? เด็กคนนี้พรสวรรค์ธรรมดา ยากจะหลอมรวมกับโลหิตหมานของข้าได้ ค่อนข้างสิ้นเปลืองไปหน่อย เจ้าเปลี่ยนความต้องการดีกว่า” จิงหนานละสายตา กล่าวขึ้นเรียบๆ

“สองความปรารถนาไม่มีเปลี่ยนแปลง เคล็ดวิชาหมานบรรพกาล การชี้นำหมานที่แท้จริง หากเจ้ายอมรับ หลังจากจบเรื่องแล้วข้าจะให้เจ้า!” ท่านปู่โม่ซังถือแก้วหินส่งให้ซูหมิงด้านหลัง แสดงเจตนาให้เขาดื่ม

ซูหมิงรับมาดื่มไปหนึ่งอึกโดยไม่ลังเล ทันใดนั้นในร่างของเขาพลันมีไออุ่นแผ่ซ่าน ให้ความรู้สึกสบายยิ่งนัก

จิงหนานขมวดคิ้วขึ้น ไตร่ตรองอยู่สักประเดี๋ยว ก่อนมองท่านปู่โม่ซังพลันกล่าวขึ้น

“ได้ ข้ายอมรับความต้องการทั้งสองของเจ้าก็ได้ ทว่าโลหิตหมานที่นี่ เจ้าก็น่าจะรู้ดีว่าการประลองครั้งนี้มีทั้งหมดสามด่าน สามอันดับแรกของทุกด่านข้าจะมอบโลหิตหมานให้เป็นรางวัล เพื่อไม่ให้เกิดการสิ้นเปลือง ข้าจะเพิ่มเงื่อนไขเข้าไป หากเด็กคนนี้สามารถติดหนึ่งในสี่สิบไม่ว่าด่านใดก็ตาม ข้าจะมอบโลหิตหมานให้ หากทำไม่สำเร็จ เจ้าจะต้องเปลี่ยนความต้องการ!”

ท่านปู่ขบคิดเล็กน้อย เขาแอบรู้สึกว่าอีกฝ่ายตั้งใจทำให้เป็นเรื่องยาก หลังจากใคร่ครวญอยู่นานจึงพยักหน้า ในใจตรึกตรองว่าหากต้องเปลี่ยนความต้องการจริงๆ ควรจะเปลี่ยนอย่างไรเพื่อให้เกิดประโยนช์แก่ซูหมิง

ซูหมิงได้ยินดังนั้น จึงมองผมขาวบนศีรษะและรอยเหี่ยวบนใบหน้าของท่านปู่ นึกถึงคำพูดเสียดสีของยายเฒ่าเผ่ามังกรทมิฬ ความเย็นชาของเป่ยหลิง อีกทั้งยังมีความโดดเดี่ยวในใจและภาพจินตนาการในตำราหนังสัตว์ยามอ่านตอนค่ำคืนเพียงลำพังตั้งแต่เยาว์วัย ทุกสิ่งทุกอย่างหมุนวนอยู่ในความคิดของซูหมิง กลายเป็นความแน่วแน่และเด็ดขาดอย่างที่เขาไม่เคยมีมาก่อน!

ความเด็ดเดี่ยวนี้ กระทั่งยังมีมากกว่าตอนคารวะเทวรูปแห่งหมาน!

ท่านปู่ยันกายขึ้น แสดงเจตนาให้ซูหมิงตามมา ขณะกำลังจะเดินจากไป จิงหนานที่นั่งขัดสมาธิมองท่านปู่โม่ซังนัยน์ตาฉายแววลังเลสักครู่ ก่อนพลันกล่าวขึ้น

“โม่ซัง ข้ามีข้อสงสัยที่ฝังอยู่ในใจมาสิบกว่าปีแล้ว อยากจะถามเจ้ามาโดยตลอด…ตอนนี้ในเมื่อเจ้ามาเผ่าร่องลม ก็หวังว่าเจ้าจะให้คำตอบแก่ข้า!”

ท่านปู่ไม่ได้หยุดฝีเท้า เพียงแต่ก้าวเดินต่อไป ซูหมิงที่อยู่ด้านหลังก็ได้ยินเสียงของบุรุษชุดคลุมม่วงเช่นเดียวกัน

“เห็นกันอยู่ว่าเจ้าอยู่ลำดับเก้าขั้นรวมโลหิต แล้วเหตุใดไม่ว่าตอนนั้นหรือตอนนี้ ข้าจึงสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายพลังชำระล้างเบาบางจากตัวเจ้า!” บุรุษชุดคลุมม่วงกล่าวอย่างรวดเร็ว ทว่าเข้าไม่ได้กล่าวสิ่งที่อยู่ในใจทั้งหมด กลิ่นอายพลังของอีกฝ่าย แม้แต่เสี้ยวเดียวก็กลับทำให้เขารู้สึกหวาดกลัว

ตอนนั้นเป็นอย่างไร ตอนนี้ก็ยังเป็นเช่นนั้น!

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version