ตอนที่ 51 ขีดอันตราย
ผ่านไปไม่นาน เผ่าอื่นๆ นอกจากเผ่าร่องลมมาถึงกันไม่น้อย บุคคลเหล่านี้บ้างก็มากับชนเผ่า บ้างก็มาเพียงลำพัง ผู้คนบนลานเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งยังส่งเสียงสนทนากันอย่างเซ็งแซ่ ดูครึกครื้นยิ่งนัก
ถึงอย่างไรนี่ก็เป็นงานครั้งใหญ่ในรอบหลายปี อีกทั้งจำนวนคนในครั้งนี้ ยังมากกว่าครั้งก่อนอย่างเห็นได้ชัด
ซูหมิงอาศัยโอกาสนี้รีบเดินเข้าไปในฝูงชนเพื่อสลัดผู้อาวุโสที่เอาแต่ตามตื๊อตน
ผู้อาวุโสท่านนี้พูดมากจนทำให้เขาปวดศีรษะเล็กน้อย ยามนี้เมื่อสลัดหลุดมาได้แล้ว จึงมองผ่านฝูงชนไปยังผู้อาวุโสที่กำลังชะเง้อมองรอบๆ ก่อนรีบย่อตัวลงเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายเห็น
แม้ว่าผู้คนจะมีมาก ทว่าซูหมิงแทบไม่รู้จักใครเลย ยังคงยืนอยู่ในกลุ่มคน ด้วยลักษณะธรรมดาของเขาจึงไม่เป็นที่สังเกตของผู้คนมากนัก
ทว่าความจริงแล้วไม่ได้มีเพียงแค่ซูหมิงเท่านั้นที่เป็นเช่นนี้ เพราะในกลุ่มคนนอกจากเผ่าร่องลมแล้ว ผู้เข้าร่วมงานประลองจากเผ่าอื่นก็มีไม่น้อยเลยที่เคยมาที่นี่เป็นครั้งแรก
“ดู นั่นอูเซิน! ได้ยินว่าเขาเป็นโอรสแห่งสวรรค์รุ่นเยาว์จากเผ่าร่องลม”
“นั่นมันเฉินชงมิใช่รึ ชื่อเสียงของเขาโด่งดังกึกก้อง แต่ก่อนข้าเคยได้ยินชื่อ พอวันนี้ได้เห็นกับตา ไม่คิดเลยว่าจะมีหน้าตาเป็นเช่นนี้ แต่ว่าเขาก็ดูมีพลังจริงๆ”
“นั่นคงเป็นเป่ยหลิงจากเผ่าเขาทมิฬ ได้ยินว่าเขาก็ไม่ธรรมดาเช่นเดียวกัน งานประลองครั้งก่อนติดหนึ่งในห้าสิบ หากเป็นสหายกับเขาได้ละก็ จะต้องส่งผลดีกับพวกเราอย่างแน่นอน พอกลับถึงเผ่าจะต้องมีคนอิจฉาไม่น้อยแน่”
ด้านข้างซูหมิงเป็นผู้เข้าร่วมงานที่มาเป็นครั้งแรกเช่นเดียวกับเขา ต่างพากันสนทนาเสียงเบา สีหน้าส่วนใหญ่ดูชื่นชม
“บางทีครั้งนี้อาจจะเป็นโอกาสของพวกเรา หากอูเซินหรือเฉินชงถูกชะตาเลือกพวกเราไปอยู่ข้างกายละก็ ฐานะในเผ่าของพวกเราจะต้องเปลี่ยนไปอย่างแน่นอน”
“เฮ้ย คนที่คิดแบบเดียวกับพวกเราก็มีไม่น้อย เจ้าไม่เห็นหรือว่ารอบตัวพวกเขามีแต่คนเข้าไปประจบเต็มไปหมด พวกเราไปลองดูบ้างดีหรือไม่? หนุ่มน้อยท่านนี้ เห็นเจ้าอยู่คนเดียว คงจะเพิ่งมาที่นี่เป็นครั้งแรกใช่หรือไม่?”
ข้างกายซูหมิง มีชายหนุ่มใบหน้าซื่อๆ กล่าวขึ้นด้วยรอยยิ้ม
ซูหมิงเผยรอยยิ้มเล็กน้อย ก่อนคุยเล่นกับชายหนุ่มอย่างสุภาพยิ่ง
“น้องชาย ตอนนี้คนยังมากันไม่ครบ แต่ดูท่าน่าจะใกล้เริ่มด่านแรกแล้ว พวกเราไปตีสนิทกับเฉินชงด้วยกันดีหรือไม่? พวกเจ้าล่ะ? ไปด้วยกันเถอะ หากไปคนเดียวเกรงว่าเขาจะไม่สนใจ” ชายหนุ่มรีบกล่าวขึ้น พยามโน้มน้าวซูหมิงและผู้อื่นรอบตัว
“พวกเจ้าดูสีหน้ามืดทะมึนของอูเซิน จะต้องอารมณ์ไม่ดีอยู่แน่ พวกเราอย่าไปรบกวนเขาเลย ส่วนเฉินชงดูท่าทางสบายๆ น่าจะเข้าหาได้ง่ายกว่า” ด้วยคำกล่าวของชายหนุ่ม ทำให้ผู้คนโดยรอบเริ่มคล้อยตาม ท้ายที่สุดทั้งกลุ่มคนราวเจ็ดแปดคนก็ตรงเข้าไปหาเฉินชง เดิมทีซูหมิงไม่ยอมไปด้วย ทว่าถูกชายหนุ่มไมตรีงามลากไปพร้อมกัน
ขณะพวกเขากำลังเดินไป ท้องฟ้านอกลานบิดเบี้ยวอีกครั้ง ก่อนตกเป็นเป้าสายตาของทุกคนทันที พบว่ามีคนเดินเข้ามาห้าคน ผู้นำหน้าสุดเป็นชายฉกรรจ์อายุราวสี่สิบปี เขาสวมเสื้อผ้าเนื้อหยาบ ร่างกายดูแข็งแรง มีพลังโลหิตน่าสะพรึงโคจรอยู่ในตัว บนใบหน้าของเขามีรอยแผลเป็นเด่นชัด ลากตั้งแต่คิ้วซ้ายเอียงมาถึงมุมปากด้านขวา มองดูแล้วน่ากลัวยิ่งนัก
“เผ่าภูผาดำ ชายคนนี้….หรือว่าจะเป็นจ้าวเผ่าภูผาดำ ได้ยินว่าบนใบหน้าของเขามีรอยแผลเป็นน่าเกลียด จะต้องเป็นเขาแน่นอน”
“ใช่ เหมือนว่าจ้าวหมานเผ่าภูผาดำจะไม่มาด้วย เลยให้จ้าวเผ่าเป็นผู้นำแทน”
ชายร่างกำยำพร้อมทั้งสี่คนด้านหลังเดินเข้ามาในลานอย่างเชื่องช้า หากมองแวบเดียวคนทั้งสี่เหมือนกับคนทั่วไป ทว่าหากมองอย่างละเอียดแล้ว กลับยากจะมองออก ในสี่คนนี้ สามคนเป็นชายหนุ่มรุ่นเดียวกัน ส่วนอีกคนเป็นชายฉกรรจ์อายุราวสี่สิบปี รูปร่างแข็งแกร่งกำยำ
ทว่าที่แปลกคือ ชายฉกรรจ์ที่เดินตามมาพร้อมกับชายหนุ่มทั้งสอง กลับเดินอยู่รอบชายหนุ่มอีกคนราวกับเป็นบริวาร แม้แต่ฝีเท้ายังไม่ล้ำหน้าเกิน
เขาเป็นบุรุษอายุราวสิบแปดสิบเก้าปี มีเส้นผมยาว สวมเสื้อหนังสัตว์สีดำ มองเห็นใบหน้าไม่ชัด เพราะเสื้อที่เขาสวมใส่ตั้งสูง นอกจากส่วนเหนือดวงตาขึ้นไปแล้ว ส่วนล่างทั้งหมดถูกเสื้อหนังสัตว์ปิดจนมิด อีกทั้งเขายังก้มหน้า จึงไม่อาจมองเห็นใบหน้าได้ชัด
บุรุษคนนี้เงียบขรึม ไม่แยแสต่อสายตาที่มองมาจากรอบทิศ เขาค่อยๆ เดินเข้าไปในฝูงชนพร้อมกับจ้าวเผ่า ก่อนนั่งขัดสมาธิลงตรงจุดที่ห่างจากกลุ่มเผ่าเขาทมิฬไปไกลมาก
ตำแหน่งที่นั่งของชายหนุ่มก็แตกต่างเช่นเดียวกัน เขานั่งอยู่ด้านข้างเพียงลำพัง ไม่มีคนในเผ่าเข้ามาย่างกราย เพียงแต่หลังจากนั่งลงแล้ว เขาเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย มองไปทางเผ่าเขาทมิฬ นัยน์ตาฉายแววเหยียดหยาม
ซูหมิงมองคนจากเผ่าภูผาดำเช่นเดียวกับคนอื่นๆ โดยเฉพาะจ้าวเผ่าและชายหนุ่มรักสันโดษคนนั้น เป็นที่น่าสนใจแก่ซูหมิงอย่างมาก
ความแข็งแกร่งของจ้าวเผ่าภูผาดำ ซูหมิงไม่แปลกใจ ทว่าชายหนุ่มรักสันโดษผู้นั้น กลับทำให้ซูหมิงรู้สึกถึงอันตราย เขาแทบจะมั่นใจได้เลยว่าชายคนนี้ไม่ธรรมดา
ทว่าในใจของซูหมิงกลับเกิดความรู้สึกไม่ชอบการทำตัวให้ดูแข็งแกร่งของชายหนุ่ม กระทั่งเขายังรู้สึกว่าอูเซินยังทำมันได้ดีกว่าชายหนุ่มมากนัก อย่างน้อยอูเซินก็ไม่แสร้งทำตัวให้ดูลึกลับเช่นนี้
การมาของเผ่าภูผาดำไม่ได้ดึงดูดความสนใจของผู้คนมากนัก หากเทียบกันแล้ว ผู้คนยังคงให้ความสนใจกับโอรสแห่งสวรรค์จากเผ่าร่องลมมากกว่า ถึงอย่างไรชื่อเสียงของพวกเขาเหล่านั้นก็โด่งดังไปรอบแปดทิศใกล้เคียง
ภายใต้การชักจูงของชายหนุ่มไมตรีงาม ซูหมิงกับกลุ่มคนราวเจ็ดแปดคนเดินก็มาถึงเฉินชงโอรสแห่งสวรรค์จากเผ่าร่องลมที่ยามนี้มีกลุ่มคนโอบล้อม ซูหมิงผู้ยืนรวมกับกลุ่มคนเห็นได้ชัดว่าไม่เป็นที่สนใจเลย ลักษณะธรรมดาเช่นนี้ ทุกคนต่างมองเขาแวบเดียวก่อนละสายตาจากไป
“ข้าจะบอกพวกเจ้าให้ ข้าไม่เคยไปสถานที่พวกนั้นในเผ่าร่องลมมาก่อนเลย ต่อให้ข้าไป อย่างมากก็ดูแค่หางตา พวกเจ้าเชื่อหรือไม่?”
เมื่อมาถึง ซูหมิงเห็นเฉินชงวาดมือไปทางทุกคนพลางกล่าว ทำให้ทุกคนรอบตัวเขาหัวเราะเสียงดัง เพียงแต่เสียงหัวเราะเหล่านั้นส่วนใหญ่แฝงไว้ด้วยการประจบสอพลอ
กระทั่งคนที่อยากตีสนิทกับเขาคนอื่นๆ รอบตัวยังส่งเสียงหัวเราะ ราวกับอยากใช้เสียงหัวเราะของตนไปขอเข้าร่วมวงสนทนาด้วย
ชายหนุ่มไมตรีงามและคนอื่นๆ ก็เช่นเดียวกัน ส่งเสียงหัวเราะไม่หยุด ซูหมิงยืนยิ้ม ทว่าในใจกลับสงบนิ่ง มองดูเฉินชงที่มีแต่ผู้คนโอบล้อม ฐานะของอีกฝ่ายสูงส่งยิ่งนัก ตนไม่อาจเทียบได้
ผู้คนหลายคนยืนมองอยู่ข้างๆ ส่งเสียงหัวเราะไม่หยุดเพื่อขอเข้าร่วมวงสนทนา จนกระทั่งหาโอกาสได้จึงรีบกล่าวแนะนำตัวเองทันที แม้สีหน้าจะไม่เผยถึงการประจบสอพลอ แต่ไม่ว่าใครต่างก็มองออก
ขณะนี้เผ่ามังกรทมิฬเดินเข้ามายังลาน การปรากฏตัวของพวกเขาไม่เป็นที่น่าสนใจนัก ถึงอย่างไรเผ่ามังกรทมิฬก็เป็นเผ่าเล็ก ชื่อเสียงยังห่างไกลจากเผ่าภูผาดำนัก
ทว่าช่วงที่เผ่ามังกรทมิฬปรากฏตัวขึ้น กลับทำให้เฉินชงที่กำลังกล่าวหัวเราะและอูเซินที่นั่งบำเพ็ญด้วยใบหน้าทะมึนต้องแหงนหน้าขึ้นมอง
นอกจากทั้งสองคนแล้ว สายตาที่มองไปยังมีชายหนุ่มเสื้อคลุมดำเผยใบหน้าครึ่งหนึ่งแห่งเผ่าภูผาดำและคนเผ่าหมานแทบทั้งหมดโดยรอบ สิ่งที่พวกเขาเห็นคือ เด็กสาวใบหน้างดงามสวมเสื้อขาวท่ามกลางกลุ่มคนเผ่ามังกรทมิฬ! ตรงกลางระหว่างคิ้วนางประดับด้วยแผ่นผลึก ส่องสว่างภายใต้แสงตะวัน ความงามของนางยังแฝงไว้ด้วยความดื้นรั้น ทำให้ผู้คนจิตใจสั่นไหว
นางคือไป๋หลิง
ไป๋หลิงเป็นที่สนใจของผู้คนจำนวนมาก ทำให้ใบหน้างามของนางแดงเล็กน้อย ทว่านางไม่ได้ก้มหน้าลง แต่กวาดสายตามองไปในกลุ่มคนอย่างรวดเร็ว เมื่อพบกับกลุ่มคนเผ่าเขาทมิฬแล้ว ใบหน้าเผยความปีติยินดี ทว่าเมื่อมองอย่างถี่ถ้วนแล้ว ความยินดีกลับจางหายไป นางไม่พบซูหมิง
ไป๋หลิงก้มหน้าลง เดินตามหลังยายเฒ่าจ้าวหมานเผ่ามังกรทมิฬเข้าไปในลาน นางในยามนี้ไม่ได้สังเกตเห็นเลยว่า มีเด็กหนุ่มธรรมดาในฝูงชนคนหนึ่งกำลังมองนางอย่างสุขุม
และนางก็ไม่ได้สังเกตเห็นสักนิด ชายหนุ่มเสื้อคลุมดำลึกลับแห่งเผ่าภูผาดำกำลังมองนางด้วยแววตาเฝ้าปรารถนาและละโมบ
อูเซินมองไป๋หลิงแวบหนึ่ง ก่อนหลับตาเหมือนเดิม แม้ว่าไป๋หลิงจะงดงาม ทว่าเขาอูเซินหาได้สนใจไม่ ความร้อนใจของเขาในยามนี้ไม่อาจทำให้เขาหันเหไปสนใจเรื่องอื่นได้
ซูหมิงมองใบหน้างดงามหยาดเยิ้ม ยืนนิ่งเงียบอยู่ที่เดิม เขาพลันรู้สึกได้ว่าตนกับไป๋หลิงช่างอยู่ห่างไกลกันนัก…..
“ไป๋หลิง!” น้ำเสียงขบขันดังขึ้นใกล้กับซูหมิง แม้จะไม่ดังมากนัก ทว่ากลับแผ่ขยายออกไปจนถึงไป๋หลิง
“พี่ใหญ่เฉินชง” ไป๋หลิงเงยหน้าขึ้น เห็นเฉินชงอยู่ท่ามกลางผู้คน ใบหน้าเผยรอยยิ้มเล็กน้อย เพียงแต่ภายใต้รอยยิ้มนั้นกลับแฝงไว้ด้วยความเศร้า
เฉินชงหัวเราะเสียงดัง ผู้คนข้างหน้าเขาต่างหลีกทางให้ ซูหมิงยังคงยืนนิ่งมองเฉินชงเดินไปหาไป๋หลิง
มองไปมองมา เขาหลับตาลง ไม่รู้ว่าตอนนี้ควรจะรู้สึกอย่างไร เขารู้สึกเพียงแค่สงบนิ่งนัก
ซูหมิงที่หลับตาอยู่ราวกับมองข้ามทุกสิ่งโดยรอบ กระทั่งแขนของเขาถูกใครบางคนจับเอาไว้ ก่อนเขย่าอย่างรุนแรง
“เยี่ยวั่ง! เป็นเยี่ยวั่ง!”
“เจ้ารีบดูเร็ว นั่นคือเยี่ยวั่ง ผู้แข็งแกร่งอันดับหนึ่งในรุ่นเยาว์แห่งเผ่าร่องลม! เยี่ยวั่ง!”
“เยี่ยวั่งคนที่ได้อันดับหนึ่งทั้งหมดสามด่านติดต่อกันสองสมัย! เขาคนนี้มีพรสวรรค์สูงส่ง เป็นหมายเลขหนึ่งในแดนแปดทิศโดยรอบ ได้ยินว่าเขาเป็นคนที่มีโอกาสทะลวงสู่ขั้นชำระล้างในกลุ่มพวกเรารุ่นเยาว์มากที่สุด อีกทั้งยังเป็นคนที่เผ่าร่องลมทุ่มทุกอย่างเพื่อบ่มเพาะเขา! จ้าวหมานแห่งเผ่าร่องลมในอนาคต!”
ซูหมิงลืมตาขึ้นเห็นบุรุษคนหนึ่งเดินเข้ามาในลานอยู่ไกลๆ
เขาสวมเสื้อคลุมแดงทั้งตัว ไม่มีความเคร่งขรึมเฉกเช่นอูเซิน และไม่ได้เป็นดั่งดาวล้อมเดือนเหมือนกับเฉินชง แต่เขาเดินมาทีละก้าวเพียงลำพัง