ตอนที่ 52 เปิดเขาร่องลม
เสื้อสีแดงราวกับเปลวเพลิง!
บนตัวของบุรุษคนนี้ราวกับมีเปลวเพลิงไร้ลักษณ์ ผู้คนที่จ้องมองทุกคนราวกับถูกแผดเผาดวงตา ต้องก้มหน้าลงเมื่ออยู่ต่อหน้าเขา
ใบหน้าของเขาดูธรรมดา ไม่หล่อเหลา รูปร่างก็ไม่ได้ดูแข็งแรงกำยำขนาดนั้น ทว่าขณะที่เขาเดินมากลับเกิดความรู้สึกที่ยากจะกล่าวเป็นคำพูดได้อยู่ในใจของทุกคนที่มอง
เส้นผมสีดำประบ่า เดินเข้ามาอย่างเชื่องช้า
เขาไม่ได้ดูเคร่งขรึมดั่งเช่นอูเซิน ทว่าด้วยสีหน้าเรียบเฉยของเขา กลับซ่อนความน่ากลัวยิ่งกว่าอูเซินเอาไว้ เขาไม่ได้เป็นดาวล้อมเดือนเฉกเช่นเฉินชง เขาอยู่เพียงลำพัง ทว่ากลับแฝงไว้ด้วยพลังที่ราวกับทลายได้ทุกสิ่ง
และเขาก็ไม่ได้ทำตัวลึกลับเหมือนกับชายหนุ่มแห่งเผ่าภูผาดำ ทว่าการมาของเขา ความแข็งแกร่งของเขา ชื่อเสียงของเขา กลับดูลึกลับยิ่งกว่าชายหนุ่มแห่งเผ่าภูผาดำหลายขุมนัก
เขาเป็นคนลึกลับ เพราะเขาคือเยี่ยวั่ง คนที่มีพรสวรรค์มากที่สุดในรุ่นเยาว์แห่งเผ่าร่องลม เขาเป็นคนที่มีท่าทางทะนงองอาจมากที่สุดในแดนแปดทิศใกล้เคียง อีกทั้งยังถูกขนานนามว่าเป็นนักรบขั้นชำระล้างในอนาคต!
เยี่ยวั่งเดินมาอย่างสงบนิ่งประดุจราชา ไม่ต้องไปสนทนากับผู้ใด ทว่ากลับมีคนจำนวนมากเลิกสนใจอูเซิน มองข้ามเฉินชง แล้วก้มหัวหลีกทางให้แก่เขา ไม่มีเสียงสนทนาใดๆ ทั้งสิ้น กระทั่งเขาเดินมาถึงใจกลางลานแล้วนั่งขัดสมาธิลง ทว่าโดยรอบก็ยังคงเงียบสงัด
ผ่านไปครู่ใหญ่ถึงเริ่มมีเสียงสนทนากันเล็กน้อย ราวกับค่อยๆ ตื่นขึ้นก็มิปาน
“เฮ้ย ได้เห็นเยี่ยวั่งแล้ว การมาครั้งนี้ของพวกเราถือว่าไม่เสียเปล่า” ชายหนุ่มใบหน้าซื่อๆ ข้างซูหมิงกล่าวเสียงเบา นัยน์ตาฉายแววชื่นชมและพอใจ
ซูหมิงเงียบอยู่สักครู่ใหญ่ ก่อนพยักหน้าเบาๆ
หลังจากเยี่ยวั่งมาถึงแล้ว ยังมีคนทยอยกันเข้ามาเรื่อยๆ จนกระทั่งผ่านไปครึ่งชั่วยาม ทุกคนก็มากันครบ ทันใดนั้นท้องฟ้าพลันมืดครึ้ม ชั้นก้อนเมฆก่อตัว ส่งเสียงฟ้าร้องดังสนั่นลั่นทั้งแปดทิศ ทำให้ผู้คนส่วนใหญ่ต่างตื่นตะลึง พอแหงนหน้าขึ้นไปมองก็พบว่าก้อนเมฆบนท้องฟ้ารวมตัวขึ้นจากโดยรอบอย่างรวดเร็ว ก่อนหลอมรวมเข้าด้วยกันเป็นเมฆรูปร่างคนสูงใหญ่!
บริเวณศีรษะของเมฆรูปคนมีบุรุษเสื้อคลุมม่วงนั่งอยู่ ชายคนนี้คือจิงหนานจ้าวหมานเผ่าร่องลม!
เขาไม่ได้มองลงมาเบื้องล่าง แต่มองไปยังเขาสูงใหญ่ที่อยู่ไม่ไกล มองเขาใหญ่ยักษ์สูงเสียบเมฆที่เห็นเพียงแค่ครึ่งหนึ่ง!
“เขาลูกนี้เป็นสมบัติล้ำค่าของเผ่าร่องลม ไม่มีเขาลูกไหนเทียบเคียงได้!”
“มันตกทอดมาจากท่านบรรพบุรุษหมาน เป็นรากฐานเผ่าร่องลมของพวกเรา หากไม่มีเขาลูกนี้ บางทีอาจจะไม่มีเผ่าร่องลม! เขาลูกนี้ที่พวกเจ้าเห็นยังไม่ใช่ของจริง นั่นเป็นเพียงแค่ยอดเขา…..ยอดเขาของเผ่าร่องลมที่แท้จริง!”
“บนนั้นปิดผนึกสัตว์ประหลาดเอาไว้ตนหนึ่ง มันจำศีลมาตั้งแต่สมัยบรรพกาล ไม่เคยตื่นขึ้น….บางทีมันอาจจะไม่ตื่นขึ้นอีกเลยก็ได้…เขาลูกนี้มีอำนาจดั่งแรงต้าน ปกคลุมทั้งนอกและในเขาลูกนี้ ยิ่งขึ้นสูงแรงต้านจะยิ่งมาก!
มันมีทางขึ้นอยู่ เป็นทางขั้นบันไดทั้งหมดสองร้อยสิบแปดเส้นทางที่จะพาสู่ยอดเขา และตรงนี้ก็คือด่านแรก!”
“กฎเหมือนกับครั้งก่อนไม่ผิดเพี้ยน ไม่จำกัดเวลา ผู้เข้าร่วมแข่งขันในด่านแรกทุกคนถือตราแล้วสามารถเลือกเส้นทางขึ้นเขาได้ตามใจชอบ และใช้จำนวนของขั้นบันไดในท้ายที่สุดเป็นตัวจัดอันดับ
ในพวกเจ้าคงจะมีคนเพิ่งเคยมาเป็นครั้งแรก ข้าจะบอกพวกเจ้าให้เพื่อความยุติธรรม ยามกลางคืน แรงต้านบนเขาจะรุนแรงที่สุด! ตอนนี้ข้าจะเปิดผนึกเขาลูกนี้ พวกเจ้าเตรียมพร้อมได้!” จิงหนานที่นั่งอยู่บนเมฆรูปคนกล่าวพลางชูมือขวา ก่อนโบกไปทางเขาใหญ่ยักษ์
ทันใดนั้น เมฆรูปคนสูงใหญ่แหงนหน้าคำรามขึ้นฟ้า สาวเท้าก้าวยาวไปทางยอดเขาอย่างรวดเร็ว แขนใหญ่ยักษ์ทั้งสองข้างพลันชูขึ้นไปทางเขาลูกใหญ่คลับคล้ายกับฉีกอากาศ เกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหว ก่อนพบว่ามีรอยแยกปรากฏขึ้นกลางฟ้าดิน แยกออกเป็นสองข้าง เหมือนกับว่าบริเวณด้านนอกยอดเขามีม่านมายาตั้งอยู่ และยามนี้มันถูกฉีกออกเป็นสองส่วน เผยให้เห็นด้านในที่แท้จริง
มันยังคงเป็นยอดเขาสูงใหญ่ ทว่าไม่ได้เหมือนกับที่ซูหมิงเห็นก่อนหน้านี้ ด้านบนเต็มไปด้วยหมอกดำลอยละล่อง ทั้งยังอัดแน่นไปด้วยความมืดครึ้ม เผยให้เห็นถึงความน่ากลัวที่ผู้คนต้องหัวใจสั่นระรัว
ในขณะเดียวกัน ยังมีแรงต้านที่ยากจะอธิบายแผ่ขยายมาจากรอยแยกที่ถูกเปิด ประดุจดั่งพายุคลั่งซัดสาด ทำให้เส้นผมยาวของผู้คนจำนวนมากปลิวไสว อีกทั้งยังมีบางส่วนใบหน้าซีดขาว ถอยหลังไปหลายก้าว เหมือนกับว่าสิ่งที่อยู่ในรอยแยกไม่ใช่ภูเขา แต่เป็นสัตว์ประหลาดตัวใหญ่ยักษ์
ช่วงที่รอยแยกเปิดออก ด้านข้างเมฆคนยักษ์บนท้องฟ้าพลันมีเงารางปรากฏขึ้น ก่อนรวมตัวอย่างรวดเร็วกลายเป็นคนแปดคน!
สือไห่ก็เป็นหนึ่งในแปดคนนั้น พวกเขาทุกคนล้วนมีขั้นพลังที่น่าตะลึง ทั้งแปดคนล้วนกัดปลายลิ้นพ่นโลหิตมาหนึ่งกอง โลหิตเหล่านั้นหลอมรวมเข้าด้วยกันเป็นลวดลายสลับซับซ้อน ขยับแสงสีแดงวูบวาบ พุ่งตรงเข้าไปยังรอยแยก ราวกับผนึกอยู่ในเขาหมอก
เขาลูกใหญ่ที่ถูกหมอกปกคลุมพลันเกิดเสียงดังสนั่น หมอกพากันลอยตลบขึ้นไปด้านบน เผยให้เห็นตีนเขาและขั้นบันไดเก่าแก่
“ตราของพวกเจ้า เมื่อขึ้นเขาไปแล้วหากอยู่ห่างตัวแม้แต่น้อยก็จะหายไปทันที และพวกเจ้าจะถูกตัดสิทธิ์ก่อนถูกส่งตัวกลับมา อีกอย่างหากพวกเจ้าทนไม่ไหวก็สามารถขอหยุดได้ด้วยวิธีนี้ ในเวลาเดียวกัน ตรานี้จะเป็นตัวบันทึกจำนวนขั้นบันไดของพวกเจ้า ตอนนี้ยังไม่เข้าไปกันอีกรึ!” สือไห่ในกลุ่มคนทั้งแปดตะโกนลงไปยังกลุ่มคนเบื้องล่าง
เงาคนพลันลุกขึ้น กลายเป็นดั่งสายรุ้งทะยานเข้าไปในรอยแยก เขาคนนี้ก็คือเยี่ยวั่งผู้สวมเสื้อแดง! ด้านหลังของเขาเป็นอูเซินและเฉินชงตามลำดับ จากนั้นผู้เข้าร่วมงานประลองในด่านแรกจำนวนมากจึงค่อยๆ ทยอยกันเข้าไป
เป่ยหลิง เหลยเฉิน อูลา และยังมีซือคง กระทั่งไป๋หลิงก็ยังอยู่ในนั้น หลังจากเข้าไปในรอยแยกแล้วต่างคนต่างหาทางขึ้นบันไดที่ยังไม่มีคนขึ้น ก่อนหายเข้าไปในนั้น เพียงแต่เมื่อบันไดมีคนขึ้นไปแล้ว จะมีหมอกปกคลุมอบอวลตรงเส้นทางขั้นบันไดทันที
ซูหมิงไม่ได้ทำตัวแปลกแยก แต่เลือกไปกับกลุ่มคนจำนวนมาก เมื่อเข้าไปในรอยแยกแล้ว เขาพลันสัมผัสได้ถึงความต่างจากข้างนอกได้อย่างชัดเจน ด้านในนี้มีแรงต้านทานอยู่ ความรู้สึกเหมือนกับมีมือสองข้างกดลงบนตัวของเขา ทำให้รู้สึกอึดอัดยิ่งนัก
เบื้องหน้ามีเส้นทางขั้นบันไดจำนวนมาก ซึ่งล้วนถูกหมอกปกคลุม เห็นได้ชัดว่ามีคนเข้าไปแล้ว ซูหมิงไม่รีบร้อน จึงห้อเหยียดไกลออกไป ยามนี้คนแบบเขามีไม่น้อย ส่วนใหญ่กำลังตามหาทางขึ้นกันอยู่
ฉะนั้นตรงตีนเขาจึงดูวุ่นวาย มีขั้นบันไดบางแห่งมองดูแล้วสั้นกว่าตรงอื่น เส้นทางเช่นนี้มักจะถูกแย่งชิงไปอย่างรวดเร็ว ใครขึ้นได้ก่อนก็ถือว่าเป็นของคนนั้น
ซูหมิงยังไม่ได้ขึ้นไป เพียงแต่ห้อเหยียดมาตรงจุดที่ค่อนข้างห่างไกล ตรงนี้มีเส้นทางจำนวนมาก เขายืนขบคิด ขณะกำลังจะก้าวขึ้นพลันเหลือบไปเห็นด้านขวา รูม่านตาทั้งสองข้างหดเล็กลง
พบว่าเป็นชายหนุ่มลึกลับสวมเสื้อหนังสัตว์สีดำจากเผ่าภูผาดำ ยามนี้ยังคงปิดบังใบหน้าครึ่งหนึ่ง เดินมาอย่างเย็นชา ไม่มองซูหมิงแม้แต่หางตา ก่อนเดินขึ้นบันไดไป
ซูหมิงมองเงาหลังของเขาถูกหมอกปกคลุมหายไปในเส้นทางเล็ก ก่อนละสายตาแล้วเดินไปยังทางขั้นบันไดธรรมดาสายหนึ่ง ในช่วงที่ก้าวขึ้นไปก้าวแรก เขารู้สึกราวกับทั้งยอดเขาสั่นสะเทือน ในขณะเดียวกัน ตราหินตรงหน้าอกพลันขับธารอุ่น ทว่ามันไม่ได้หลั่งไหลเข้าไปในตัวของซูหมิง แต่ถึงกระนั้นก็ยังคงปล่อยไออุ่นตลอดเวลา
หมอกจำนวนมากปกคลุมโดยรอบ มองไม่เห็นสองข้างทางและด้านหลัง เห็นเพียงขั้นบันไดยาวคดเคี้ยวอยู่กลางหมอกจางเบื้องหน้าเท่านั้น และยังมีท้องฟ้ากว้างใหญ่กับดวงตะวันที่เลือนราง
โดยรอบเงียบสงัด ความเงียบเช่นนี้กระทั่งยังทำให้เกิดความรู้สึกราวกับอยู่คนเดียวบนเขา
ซูหมิงสูดลมหายใจเข้าลึก ไม่ได้ก้าวเดินต่อในทันที แต่เมื่อเริ่มคุ้นชินกับแรงต้านทานได้แล้ว จึงก้าวเดินต่อไปทีละก้าว นัยน์ตาเด็ดเดี่ยวและมั่นคง
เขาในยามนี้ไม่ทราบว่า หลังจากที่พวกเขาเข้ามาในรอยแยกทั้งหมดแล้ว รอยแยกด้านนอกค่อยๆ เชื่อมเข้าหากัน สือไห่และคนทั้งเจ็ดบนท้องฟ้าต่างแยกกันไปนั่งขัดสมาธิอยู่ตรงมุมของลานวงกลม ส่วนจิงหนานสลายเมฆคนยักษ์และลงไปอยู่บนลาน เดินมาอยู่ข้างท่านปู่โม่ซัง คลื่นลมไร้ลักษณ์โอบรอบตัวของพวกเขาทั้งสอง กันไม่ให้ผู้อื่นตรวจสอบได้
บนลานยังคงมีผู้คนหลายร้อยคน พวกเขาต่างมองตาไม่กะพริบไปยังรูปปั้นใหญ่ยักษ์เก้าองค์โดยรอบ ก่อนพบว่าบนรูปปั้นเก้าองค์ดังกล่าว ค่อยๆ ปรากฏอันดับรายชื่อขึ้น
อันดับหนึ่ง เยี่ยวั่ง เก้าสิบเจ็ดขั้น
อันดับสอง อูเซิน ห้าสิบเอ็ดขั้น
อันดับสาม เฉินชง สี่สิบเจ็ดขั้น
อันดับสี่ ปี้ซู่ สี่สิบหกขั้น
…อันดับหนึ่งร้อยสาม โม่ซู หกขั้น
ทุกคนที่เข้าร่วมกันแข่งขันในด่านแรกนี้ ด้วยตราหินของพวกเขาจะทำให้จำนวนขั้นบันไดที่เดินขึ้นไปปรากฏให้ผู้คนด้านนอกได้ประจักษ์อย่างชัดเจน
“อันดับหนึ่งเป็นเยี่ยวั่งจริงๆ เก้าสิบเจ็ดขั้น ห่างจากอันดับสองไปไกลมากขนาดนี้เชียวหรือ…เจ้าดู เปลี่ยนอีกแล้ว หนึ่งร้อยสิบห้าขั้น นี่เพิ่งผ่านไปไม่เท่าไรเอง จะเร็วเกินไปแล้ว!”
“ปี้ซู่นี่คือใครกัน? ไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อนเลย ทั้งยังไม่ใช่คนจากเผ่าร่องลมของพวกเรา ไม่น่าเชื่อว่าจะติดอันดับสูงถึงขนาดนั้น! ข้าได้ยินมาว่างานประลองครั้งก่อน เยี่ยวั่งขึ้นไปได้ไกลสุดถึงแปดร้อยสามขั้น ครั้งนี้ไม่รู้ว่าจะได้เท่าไรยิ่งขึ้นสูงยิ่งยาก ตามตำนานเล่าว่า ยังไม่เคยมีใครขึ้นไปเกินเก้าร้อยสามสิบขั้นเลย!”
จิงหนานและโม่ซังมองไปยังรูปปั้นด้านข้างเช่นเดียวกัน ใบหน้าของจิงหนานเผยรอยยิ้มเล็กน้อย กวาดสายตามองชื่อของโม่ซู
“โม่ซัง เจ้านั่นคือซูหมิงใช่หรือไม่ ทว่าดูจากอันดับแล้ว คงยากจะติดหนึ่งในสี่สิบ เช่นนี้แล้วกัน ข้าจะหย่อนเงื่อนไขลงสักเล็กน้อย ขอแค่เขาติดหนึ่งในหกสิบก็ถือว่าผ่าน”
ท่านปู่โม่ซังไม่กล่าว เพียงแต่มองชื่อของโม่ซูบนรูปปั้นอย่างสุขุม นัยน์ตาแฝงไว้ด้วยการเฝ้ารอคอยอย่างมีหวัง