ตอนที่ 527 ไม่สนเหตุผล
อวิ๋นไหลยิ้มเพื่อไม่ให้เกิดการเข้าใจผิดกัน ถอยไปข้างหลังเล็กน้อยออกห่างจากฟางชางหลัน ความจริงแล้วที่มาครั้งนี้ ในใจเขาก็เตรียมตัวเอาไว้แล้ว
ถึงอย่างไรเขาก็รู้สึกถึงกลิ่นอายพลังวูบผ่านเกาะบึงใต้ก่อนหน้านี้ จากนั้นก็เกิดเหตุการณ์พิลึกบนยอดเขาของฟางชางหลัน พอนึกโยงกันแล้วย่อมมองเหตุผลออก
อีกอย่างเมื่อมาถึงยอดเขานี้แล้วก็เห็นเศษระลอกคลื่นที่วางเอาไว้ที่นี่ ในใจจึงเกิดความยำเกรงผู้ลึบลับที่มาเยือนเกาะบึงใต้อย่างกะทันหันผู้นี้
อวิ๋นไหลมีนิสัยระวังตัวตลอด ย่อมไม่ลงมือง่ายๆ โดยเฉพาะเมื่อเผชิญหน้ากับศัตรูที่อ่านไม่ออกอย่างเช่นซูหมิงในตอนนี้
ต่อให้เขารู้สึกว่าฟางชางหลันสำคัญยิ่ง ทว่านางมีนิสัยเฉียบขาดเกินไป อีกทั้งวิชายังพิลึก แม้มีขั้นพลังไม่สูงก็ไม่ยอมสยบให้ง่ายๆ ฉะนั้นจึงใช้อุบายโอนอ่อน แต่ยามนี้เมื่อเทียบกับการล่วงเกินคนตรงหน้าแล้ว เขาจึงเลือกผ่อนผันไปก่อนด้วยนิสัยขี้ระวัง
ในความคิดเขา ด้วยขั้นพลังของตนและตอนนี้ยังวางท่าทีอ่อนน้อมให้ อีกฝ่ายไม่น่าจะลงมือ ดังนั้นก็จะมีเวลาให้เขาได้อธิบายกับอีกฝ่าย วันหน้ายังอีกยาวนาน
การละทิ้งอย่างแน่วแน่เช่นนี้เป็นจุดสำคัญที่ทำให้เขากลายเป็นผู้ปกครองหลังภัยพิบัติ ทั้งยังมีชีวิตมาจนถึงตอนนี้ หากเป็นการต่อสู้ที่ไม่มั่นใจ เขาจะพยายามไม่สู้
เพียงแต่ว่าเขาเจอกับซูหมิง…
ซูหมิงมีสีหน้าเย็นชา แทบจะเป็นช่วงที่อวิ๋นไหลอมยิ้มกล่าว เขาเดินหน้าหนึ่งก้าว พริบตาเดียวก็มาปรากฏอยู่ตรงหน้าอีกฝ่ายปานลูกธนูออกจากคันศร
ด้วยความเร็วของเขาจึงเข้าใกล้ในชั่วพริบตา อวิ๋นไหลหน้าเปลี่ยนสี พลันถอยไปหลายก้าวแล้วยกมือขวาสะบัดแขนเสื้อ มวลอากาศรอบๆ ตัวเขาบิดเบี้ยว ยืดยาวตรงไปหา ก่อนปะทะเข้ากับนิ้วของซูหมิง
เสียงระเบิดดังสนั่น ซูหมิงมีสีหน้าสงบนิ่ง แสงทองขยับวูบวาบทั้งตัว ภายใต้เสียงกึกๆ ร่างเขาไม่ถอยแม้แต่น้อย แต่ฝืนต้านระลอกคลื่นสะท้อนกลับพร้อมเดินหน้าต่อไป
ส่วนอวิ๋นไหล ร่างเขาสั่นสะท้าน รู้สึกมีแรงผลักโถมเข้าใส่ตัว ท่ามกลางเสียงโครมคราม ร่างเขาถอยไปอย่างต่อเนื่องสิบกว่าจั้ง ใบหน้าซีดขาว พลันเงยหน้าจ้องซูหมิงที่กำลังเดินเข้ามา
“เจ้าข่มรังแกผู้อื่น แซ่อวิ๋นหลีกทางให้แล้ว มอบสตรีคนนี้ให้เจ้า! ข้ากับเจ้าไม่มีความแค้นต่อกัน เหตุใดต้องทำเช่นนี้!”
“ข้าจะฆ่าใคร ไม่มีเหตุผล” ซูหมิงกล่าวนิ่งๆ ในสายตาเขาอวิ๋นไหลต้องตาย ต่อให้ไม่ใช่เพื่อฟางชางหลัน เพียงแค่คำพูดของจื่อเยียน ซูหมิงก็คิดว่าต้องสังหารคนผู้นี้
หากจะให้บอกเหตุผลจริงๆ ก็คงทำเพื่อศิษย์พี่รอง เขาเชื่อว่าหากเป็นศิษย์พี่รองคงทำเช่นนี้เหมือนกัน
ร่างเขาขยับวูบไหว ยกมือขวาปล่อยหมัดเข้าใส่ หมัดนี้ชกใส่มวลอากาศ เกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหวโดยพลัน อวิ๋นไหลร้องคำรามเสียงต่ำก่อนยกสองมือขึ้นทำสัญลักษณ์มือ ตรงหน้าพลันปรากฏหมอกแดงขึ้น
หมอกนี้หมุนตลบก่อขึ้นเป็นเงามายาจำนวนมาก ทุกเงามายาเป็นสตรี พวกนางกระโจนเข้าใส่ซูหมิงจากรอบทิศพร้อมกับเสียงเล็กแหลม
เมื่อสัมผัสกับหมัดของซูหมิงแล้ว ทั้งเกาะบึงใต้สั่นสะเทือนอย่างรุนแรง ร่างเงาล้วนสลายไป อวิ๋นไหลหน้าเปลี่ยนสีอย่างต่อเนื่อง จากนั้นห้อเหยียดถอยไป
ซูหมิงเดินออกมาจากหมอกแดงที่สลาย สายตามองอวิ๋นไหลที่ถอยออกไปไกล ก่อนยกมือขวาคว้าอากาศ การคว้าครั้งนี้ทำให้ใต้ผืนฟ้ามายาปรากฏน้ำวนยักษ์ในทันใด น้ำวนหมุนโคจรพร้อมกับตรงมายังมือขวาซูหมิง ชั่วพริบตาเดียวก็ถูกกำเอาไว้ในมือขวาแล้วสะบัดขึ้นท้องฟ้า
วินาทีที่สะบัดมือ เหมือนกับน้ำวนวายุในมือซูหมิงระเบิดกลายเป็นพายุคลั่งถาโถมโดยรอบ ชั่วพริบตาเดียวก็ไล่ตามอวิ๋นไหลไป ทันทีที่เคลื่อนผ่าน ทั้งตัวอวิ๋นไหลมีแสงวูบวาบไหลออกสู่โดยรอบ หลังจากฝืนต้านเอาไว้มุมปากเขาก็มีโลหิตไหล จังหวะก้าวหยุดชะงักเล็กน้อย
ขณะเดียวกับที่หยุดชะงัก ซูหมิงเดินมาพร้อมกับใบหน้าไร้อารมณ์ ร่างเขาหายวับไปแล้วมาปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าอวิ๋นไหล นัยน์ตาอวิ๋นไหลฉายแววตื่นกลัว ตอนที่เขาลงมือเมื่อครู่ก็พลันรู้สึกถึงพลังแก่กล้าจากตัวซูหมิงซึ่งไม่อาจต่อต้านได้เลย กระทั่งหนึ่งนิ้วกับหนึ่งหมัดเมื่อครู่นี้ยังทำให้เกิดความรู้สึกราวกับเผชิญหน้ากับภัยบัติในตอนนั้น
โดยเฉพาะในความคิดเขา อีกฝ่ายไม่สนเหตุผลเลยสักนิด เห็นอยู่ว่าตนยอมอ่อนข้อให้แล้วกลับยังลงมือ นี่จึงทำให้อวิ๋นไหลโกรธ ทว่าไม่มีทางเลือก
‘บัดซบ ขั้นพลังมันสูงขนาดนี้ ทั้งยังป่าเถื่อนไม่คุยเหตุผล นี่…’ ครั้นเห็นซูหมิงเข้ามาใกล้ ภยันตรายถึงตายปกคลุมกายและใจอวิ๋นไหล ชั่วขณะที่ถอยไปอย่างเร่งรีบก็เอ่ยขึ้นอีกครั้ง
“เจ้าฟังข้าพูดก่อน! แม้ข้าจะปกป้องฟางชางหลันมาปลายปี แต่ข้าไม่เคยแตะต้องนางเลย!”
“ส่วนจื่อเยียน ตอนอยู่ในช่วงความวุ่นวายของภัยพิบัติ หากไม่มีข้านางคงตายไปนานแล้ว นี่คือข้อแลกเปลี่ยน ข้าไม่ผิด!”
คำพูดของอวิ๋นไหลไม่ทำให้ซูหมิงหยุด เขาเดินเข้ามาใกล้ด้วยสีหน้าสงบนิ่งอีกครั้ง ยกมือขวาสะบัดใส่ พลันมีสายฟ้าวูบผ่านทันใด ตรงหน้าซูหมิงปรากฏลูกกลมสายฟ้าสิบกว่าลูก ขณะสายฟ้าไหลเวียนในลูกกลม สายฟ้าเหล่านั้นก็รวมเข้าด้วยกันแล้วตรงเข้าใส่อวิ๋นไหล
“เจ้าไร้เหตุผลเช่นนี้ คิดหรือว่าข้ากลัวเจ้าจริงๆ!” อวิ๋นไหลเห็นซูหมิงไม่สนใจราวไม่ได้ยิน ดวงตาสองข้างก็หรี่ลง เขาคำรามต่ำพร้อมกับกางแขนสองข้าง ด้านหลังพลันปรากฏเทวรูปหมาน เทวรูปนี้มีเก้าแขน มีสามดวงตาตรงระหว่างคิ้ว เมื่อปรากฏตัวแล้วก็ขยายใหญ่ขึ้น ตัวเทวรูปขยับแสงอ่อนจางวูบวาบ มือทั้งเก้ายกขึ้นพร้อมกันก่อนกดฝ่ามือไปทางซูหมิง
ในเวลาเดียวกัน อวิ๋นไหลกัดปลายลิ้นพ่นโลหิตมาหนึ่งคำ โลหิตนั้นพลันระเบิดกลายเป็นหมอกโลหิตกลุ่มใหญ่
อวิ๋นไหลยื่นมือขวาเข้าไปในหมอกแล้วคว้าลง ดาบยาวสีโลหิตหนึ่งเล่มพลันปรากฏ เมื่อดึงมันออกมาแล้วเขาก็ยกขึ้นก่อนนั่งขัดสมาธิลง ปากพึมพำคาถา ดาบยาวสีโลหิตส่งเสียงวิงๆ พลังชั่วร้ายพุ่งขึ้นฟ้าและกระจายออก รอบดาบมีวิญญาณสตรีวนเวียน จากนั้นจึงฟันเข้าใส่ซูหมิง
ซูหมิงมีสีหน้าเช่นปกติ ตอนที่เทวรูปหมานปรากฏ เขาคว้ามือขวาไปทางเทวรูปหมานนั้น มันเหมือนการคว้าธรรมดา ทว่าเทวรูปกลับส่งเสียงดังสนั่นทั้งตัวและเกิดรอยร้าวหลายเส้น รอยร้าวนั้นกระจายไปอย่างรวดเร็ว จากนั้นซูหมิงก็กำหมัด
เทวรูปหมานระเบิดในทันใด กลิ่นอายพลังสีแดงกระจายออกเป็นเส้นๆ แล้วตรงมายังมือขวาซูหมิง การคว้าและจับนี้คือหนึ่งในวิชาสองขั้วต่างกันที่เขาเรียนรู้ในโลกอมตะ
ซูหมิงในตอนนี้ มือขวามีควันแดงโอบล้อม ควันแดงเหล่านี้เหมือนหมอก ล้วนมาจากเทวรูปหมานที่ระเบิดของอวิ๋นไหล ตรงหน้าเขามีหมอกแดงกลุ่มใหญ่ม้วนตลบเช่นกัน ภายในมีดาบยาวสีโลหิตหนึ่งเล่มกำลังตรงเข้ามา
“เก้าแปรสิบเปลี่ยน เสียงรวมเป็นหนึ่ง!”
ซูหมิงกล่าวนิ่งๆ จิตแรกของเขาพลันลอยขึ้นมาปกคลุมรอบตัวจนกลายเป็นร่างจิตแรก จิตแรกจ้องดาบยาวเล่มนั้นด้วยนัยน์ตาเปล่งประกาย
เห็นได้ว่าในดวงตามันค่อยๆ ปรากฏเงาของดาบที่กำลังตรงเข้ามา ในเวลาเดียวกัน หมอกแดงตรงมือขวาซูหมิงหมุนตลบแล้วกลายเป็นดาบยาวสีแดง!
นี่คือวิชาเผ่าเซียนของซูหมิง วิชาเก้าแปรเปลี่ยนจากอภินิหารเก้าแปรสิบเปลี่ยนเสียงรวมเป็นหนึ่งของหงหลัว
วินาทีที่ใช้วิชานี้ ดาบยาวสีแดงจากหมอกรอบมือขวาอยู่ในมือเขา เขายกดาบขึ้นแล้วฟันใส่อีกดาบแดงที่กำลังฟันลงมาเช่นกัน
เสียงโครมครามดังสนั่น ดาบยาวสองเล่มสลายไป ทว่าเศษจากดาบยังไม่ทันหาย ซูหมิงกลับพ่นลมหายใจออกมา ลมหายใจนี้กลายเป็นพายุคลั่ง ม้วนเศษดาบโลหิตตรงเข้าใส่อวิ๋นไหล
“จงเจ๋อ! หากข้าตาย เกาะบึงใต้จะกลับไปอยู่ผิวทะเลอีกครั้ง เจ้ายังไม่ลงมืออีกรึ!”
อวิ๋นไหลมีสีหน้าหวาดกลัว ความแกร่งของซูหมิงเกินกว่าการคาดเดาของเขา อีกทั้งยังมีวิชาน่าสะพรึง ยามนี้เห็นเศษดาบโลหิตตรงเข้ามาจึงทะยานถอยพร้อมกับร้องตะโกนเสียงดัง
แทบจะเป็นช่วงที่เขาร้องตะโกนก็มีเสียงถอนหายใจดังก้องฟ้าดิน
ข้างๆ อวิ๋นไหลที่กำลังถอยปรากฏร่างจงเจ๋อก้าวเดินออกมาจากมวลอากาศ ทันใดนั้นก็มองซูหมิงด้วยความซับซ้อน ด้านหลังเขา อวิ๋นไหลห้อเหยียดถอยไปแล้ว ในใจร้องตะโกนอย่างบ้าคลั่งและมุ่งหน้าตรงไปยังถ้ำของตน เขายังมีกระบวนท่าสังหารอีกหนึ่งท่า แต่ต้องกลับถ้ำก่อนเพื่อยืมใช้ของเซ่นไหว้ที่นั่นสำหรับใช้วิชา
ชั่วขณะที่จงเจ๋อกำลังสับสนก็เผชิญหน้ากับพายุเศษเสี้ยวดาบ เขายกมือขวาทำสัญลักษณ์มือแล้วกดไปข้างหน้า ก่อนใช้ร่างตนสัมผัสกับพายุเศษดาบ เสียงระเบิดดังกึกก้อง
เห็นเพียงว่าด้านหลังจงเจ๋อปรากฏคนอีกคนหนึ่ง บุคคลนี้ชราเล็กน้อย หน้าตาคือร่างจริงของจงเจ๋อ จากนั้นก็ปรากฏอีกร่างเงาหนึ่ง มันคือจงเจ๋อเช่นกัน เพียงแค่ดูชรามากกว่าเท่านั้น
ร่างที่ชรายิ่งขึ้นแบบนี้ปรากฏทั้งหมดแปดคน เรียงเป็นหนึ่งแถว หลังจากต้านทานพายุทีละชั้นแล้วก็ผสานรวมเข้าด้วยกันแล้วกลับมาเป็นร่างจงเจ๋ออีกครั้ง
เขากางแขนสองข้าง ใช้พลังของเชมันระดับสูงสุดสร้างเป็นม่านแสงขวางกั้นระหว่างซูหมิงกับอวิ๋นไหลที่กำลังถอยไป
“หากสหายเผ่าหมานอวิ๋นไหลตาย เกาะบึงใต้จะเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวง เกาะนี้มีเผ่าหมานและเชมันหลายพันคน หวังว่า…”
จงเจ๋อยังกล่าวไม่จบก็พลันหรี่ม่านตาลงก่อนถอยไปหลายก้าว กลิ่นอายพลังเชมันระดับสูงสุดทะยานขึ้นอีกครั้ง ในเวลาเดียวกันก็ประสานสัญลักษณ์มือแล้วกดบนตัวหลายจุด นัยน์ตาเปล่งแสงอ่อนวูบวาบ
เหตุที่เขาทำเช่นนี้ก็เพราะซูหมิงเดินเข้ามา รอบตัวมีแสงม่วงวิบวับ แสงม่วงนั้นปานน้ำหลาก หลังจากปกคลุมรอบตัวแล้วก็สร้างขึ้นเป็นเกราะสีม่วง ซูหมิงยกมือขวาขึ้นในเวลาเดียวกัน แสงม่วงยืดยาวแล้วกลายเป็นทวนสีม่วงยาวหลายจั้งด้วยวิธีการน่าตะลึงในสายตาจงเจ๋อ
ความรู้สึกแข็งแกร่ง ความบ้าคลั่ง และการสังหารฉีกออกในใจจงเจ๋อ วินาทีที่นัยน์ตาเขาเหม่อลอย จิตใจก็คล้ายถูกดูดเข้าไปในน้ำวนยมโลก
ครั้นแววตาได้สติกลับมา จงเจ๋อไม่มีวันลืมแสงม่วงนั้นไปชั่วนิรันดร์ เขาเห็นซูหมิงยกมือขวาขว้างทวนยาวออกไป ทวนยาวส่งเสียงอื้ออึง ทะลวงผ่านม่านแสงป้องกันไป ม่านแสงนี้ไม่มีแรงต่อต้านแม้แต่น้อย มันระเบิดกระจายในทันที จากนั้นทวนยาวกลายเป็นร่างเงาสีม่วงยิ่งใหญ่ตรงไปทางอวิ๋นไหล ความเร็วของมันปานฉีกแยกฟ้าดิน พุ่งทะลวงผ่านร่างของอวิ๋นไหลที่กำลังหวาดกลัวถึงขีดสุด
เสียงกรีดร้องดังขึ้น ร่างอวิ๋นไหลระเบิดกระจุย ทวนยาวส่งเสียงดังโครม ตรงไปปักอยู่บนยอดเขาว่างโล่งไกลๆ ยอดเขานั้นสั่นสะเทือนแล้วแหลกสลายเป็นผุยผง…
ซูหมิงยืนอยู่กลางอากาศ แสงม่วงทั้งตัวหายไปอย่างรวดเร็ว เกราะม่วงก็ย่อขนาดลงมุดเข้าไปในร่าง ส่วนทวนยาวที่เพิ่งขว้างออกไป ยามนี้กลายเป็นแสงม่วงกลับมาอยู่ในมือเขา เมื่อทั้งตัวกลับคืนสภาพเดิมถึงประสานมือคารวะจงเจ๋อ
“พลั้งมือไป ต้องขออภัยด้วย”