ตอนที่ 737 รอยยิ้มแห่งความสุข
การคุ้มกันครั้งนี้สำหรับซูหมิงแล้วเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่ง สำคัญเสียยิ่งกว่าชีวิต เพราะ…หากมีคนรบกวนจะทำให้การปลุกครั้งนี้ล้มเหลว ไม่เพียงแค่ศิษย์พี่ใหญ่จะไม่ตื่นแล้วเท่านั้น ยังมีโอกาสสูงมากที่จะไม่ตื่นขึ้นมาอีก จิตสำนึกจะหายไปแล้วกลายเป็นรูปปั้นหินไร้หัวอย่างแท้จริง
ขณะเดียวกันหู่จื่อที่ปกป้องจิตสำนึกศิษย์พี่ใหญ่ หลังจากจิตสำนึกศิษย์พี่ใหญ่หายไป เขาจะไม่ตื่นขึ้นอีก เหมือนคนไร้วิญญาณ ต่อให้กายเนื้อยังไม่เป็นไร แต่ก็สูญเสียดวงวิญญาณไปแล้ว
และยังมีศิษย์พี่รอง เขาคือคนสำคัญในการปลุกครั้งนี้ ใช้อภินิหารกระตุ้นใช้วิชาแห่งภูตผีสวรรค์เพื่อปลุกศิษย์พี่ใหญ่ ทว่าหากถูกรบกวนจนล้มเหลว เช่นนั้นภูตผีสวรรค์จะย้อนกลับมาทำร้าย จากนี้ไป…เขาจะกลายเป็นหนึ่งในภูตสวรรค์ที่ไม่มีจิตสำนึกของตัวเอง หรือเรียกอีกอย่างว่าดวงวิญญาณฟ้าดิน ต้องวนเวียนไม่รู้จบสิ้น
หู่จื่อรู้ว่าหากถูกรบกวนจะเป็นอย่างไร ทว่าเพื่อศิษย์พี่ใหญ่แล้วเขาเลยไม่สนใจ นอกจากนี้เขายังเชื่อใจศิษย์น้องเล็กซูหมิง ไม่ว่าอย่างไรก็ตามจะต้องไม่มีใครมารบกวนอย่างแน่นอน เว้นแต่…ศิษย์น้องเล็กจะตาย
ทว่าหากมีอันตรายถึงชีวิตศิษย์น้องเล็กจริงๆ ต่อให้พวกเขาไม่ทำการปลุกศิษย์พี่ใหญ่ก็ต้องเผชิญหน้ากับความตายเหมือนกัน
ศิษย์พี่รองก็รู้ผลแบบนี้เช่นกัน หากไม่ใช่ว่าพวกเขาคือคนยอดเขาลำดับเก้า เขาจะไม่เสี่ยงแบบนี้แน่ แต่เพราะเป็นศิษย์พี่ใหญ่ แม้ต้องจ่ายในราคาสูงกว่านี้อีกเขาก็ยอม
พวกเขาเอาชีวิตมอบให้ซูหมิง สำหรับซูหมิงแล้ว ศิษย์พี่ใหญ่ ศิษย์พี่รองและหู่จื่อคือคนที่สำคัญอย่างยิ่งในชีวิต เขา…จะไม่ยอมให้ใครมารบกวนเป็นอันขาด
แสงจันทร์ส่องบนแผ่นดิน ซูหมิงนั่งขัดสมาธิอยู่บนยอดเขา สายตามองศิษย์พี่รองกำลังหลับตาทำสมาธิแผ่กระจายวิญญาณเข้าผสานรวมกับฟ้าดิน มองหู่จื่อนอนหลับกับรูปปั้นศิษย์พี่ใหญ่ไร้หัว เขายังจำคำพูดของศิษย์พี่รองก่อนเริ่มพิธีปลุกได้ว่า
‘การปลุกครั้งนี้อย่างเร็วสามเดือน อย่างช้าครึ่งปี….ทว่ามีโลหิตต้นกำเนิดเชมันที่ศิษย์น้องเล็กเอามาให้อยู่ หากทุกอย่างราบรื่น ข้ามีความมั่นใจเกือบสิบส่วนว่าศิษย์พี่ใหญ่…..จะตื่นขึ้น!’
ซูหมิงแผ่กระจายดวงวิญญาณให้วนเวียนทั้งยอดเขาลำดับเก้า และรู้สึกถึงผนึกอาคมจำนวนมากที่วางไว้นอกยอดเขาในสองวันมานี้ ที่นี่ยังมีวงแหวนอาคมที่หู่จื่อเป็นคนวางตอนเริ่มพิธีอย่างแท้จริงอยู่ด้วย
พูดได้ว่าในระยะหมื่นลี้รอบยอดเขาลำดับเก้าเต็มไปด้วนผนึกอาคม สิ่งเหล่านี้คือการคุ้มกันชั้นแรกรอบนอก
และยังมีหินผาบนยอดเขา ตรงนี้ก็มีผนึกเช่นกัน ซูหมิงเป็นคนวางเอาไว้เอง เขานั่งขัดสมาธิอยู่บนหินภูเขา สูดลมหายใจเข้าลึก คอยคุ้มกันอย่างเงียบๆ รอคอยศิษย์พี่ใหญ่ตื่นขึ้น
เขาใฝ่ฝันถึงความสุขหลังศิษย์พี่ใหญ่ตื่นขึ้นแล้วศิษย์พี่ศิษย์น้องทุกคนอยู่ด้วยกัน ไปแดนพันธมิตรตะวันตกและแดนทวีปเหนือด้วยกัน ไปดูว่าแดนพันธมิตรตะวันตกมีภูเขาทมิฬจริงๆ หรือไม่ ดูว่ามีเหลยเฉินจริงๆ หรือไม่
ไปโลกเซียนด้วยกัน ออกตามหาอาจารย์ และใช้โลหิตชะล้างนภาเซียน
นึกไปนึกมาซูหมิงก็ยิ้มอย่างมีความสุขเหมือนกับเด็กน้อยคนหนึ่ง รอยยิ้มนี้เห็นไม่บ่อยจากตัวเขา และก็มีเพียงยอดเขาลำดับเก้าเท่านั้นที่รอยยิ้มจะชัดเจนแบบนี้ ไม่มีความคิด ไม่มีแผนการ มีเพียงความอบอุ่นของครอบครัว
ยอดเขาลำดับเก้าเหมือนกับบ้าน
ซูหมิงมองศิษย์พี่รอง ศิษย์พี่ใหญ่และหู่จื่อด้วยรอยยิ้ม ขณะเดียวกันนัยน์ตาก็มีความแน่วแน่
ไม่ว่าใคร ไม่ว่าขุมอำนาจใดจะต้องข้ามศพเขาไปก่อน มิเช่นนั้นเขาจะไม่มีทางยอมให้พิธีการปลุกครั้งนี้ถูกรบกวนอย่างแน่นอน
เวลาผ่านไปทีละวัน ยอดเขาลำดับเก้าเต็มไปด้วยวงแหวนอาคม ต่อให้เป็นพวกอวี่เซวียนก็ยังต้องอยู่ข้างนอก หากมีเค้ารางว่าจะมีคนบุกมา ก็จะต้องเจอกับการลงมืออันเฉียบขาดของซูหมิง
ไม่ว่าใครก็ห้ามเข้ามาในยอดเขานี้แม้เพียงครึ่งก้าว
บรรยากาศอึดอัดค่อยๆ โอบล้อมทั้งในและนอกยอดเขาลำดับเก้า ทว่าในความอึดอัดมีความเข้าใจอยู่มาก คนยอดเขาลำดับเก้าทั้งหมดล้วนปฏิบัติตามคำสั่งเขา ไม่มีใครเข้ามาในยอดเขา
พริบตาเดียวก็ผ่านไปเจ็ดวัน ครั้นยามรุ่งอรุณของวันที่แปดมาถึง บนแผ่นดินส่วนหนึ่งของแดนรกร้างบูรพามีชนเผ่าขนาดเล็กอยู่แห่งหนึ่ง เผ่านี้ไม่ใหญ่ มีราวๆ หลายร้อยคน
ยามเช้าตรู่ในอดีต ชนเผ่านี้จะมีควันไฟจากการหุงอาหาร เสียงเด็กน้อยเล่นกันจะมาพร้อมกับความสุข ในตอนแรกชาวเผ่าหมานเหล่านี้ บุรุษจะออกไปล่าสัตว์ สตรีจะดูแลคนชรา และใช้ชีวิตอย่างมีความสุขภายใต้ความสงบที่ไม่มีเผ่าเซียน
ทว่าวันนี้ยามเช้าตรู่ของชนเผ่ากลับไม่มีควันไฟ ไม่มีเสียงเล่นกันอย่างมีความสุข มีเพียง…เสียงร้องโอดครวญเบาบาง
เสียงร้องโอดครวญนั้นเพียงพอจะให้คนฟังใจสั่นไหว นั่นคือเสียงร้องด้วยความตกใจในความสิ้นหวังของสตรี
ภานในชนเผ่ายามนี้มีคราบโลหิตแห้งเต็มไปหมด มีศพนอนเกลื่อนกลาด มีทั้งชายชรา บุรุษ สตรี และเด็กนอนกระจัดกระจายกันอยู่บนพื้น
จากโลหิตแห้งนั้นจะเห็นได้ว่าพวกเขาตายมาเกินหลายชั่วยามแล้ว ภายในสีหน้าสิ้นหวังมีความสับสน สภาพการตายช่างน่าอนาถอย่างยิ่ง
มองไม่เห็นถึงการต่อต้าน เหมือนกับถูกสังหารอยู่ฝ่ายเดียว
กระทั่งมีเด็กคนหนึ่งเพิ่งอายุเพียงสี่ห้าขวบถูกตอกร่างกับต้นไม้ใหญ่ ร่างกายเล็กและอ่อนแอเย็นเยียบมานานแล้ว ทว่าความเจ็บปวดจากใบหน้าเล็กสีเขียวพอจะจินตนาการได้ถึงความเจ็บปวดก่อนตาย
ภายในชนเผ่ามีบุรุษเย็นชาอยู่ห้าคนยืนอยู่นอกกระโจมหลังหนึ่ง พวกเขาล้วนสวมเสื้อคลุมดำทั้งตัว บนอาภรณ์เต็มไปด้วยแสงดารา และมีท่าทีเหมือนไม่เห็นศพหลายร้อยคนในชนเผ่า
ภายในกระโจมเป็นจุดที่มีเสียงสตรีร้องดังออกมา เสียงแบบนี้ดังมาจากสตรีต่างคนกันตลอดทั้งคืน
ยามรุ่งอรุณผ่านไป ท้องฟ้าแจ่มใสคล้ายไม่อยากเห็นภาพอันโหดร้ายบนผืนปฐพี จึงค่อยๆ เกิดเมฆดำและมีฝนตกลง ตอนที่ฝนตกลงมาก็ถูกม่านจากกระโจมสะบัดลอยขึ้น
มีชายหนุ่มคนหนึ่งจัดระเบียบอาภรณ์พลางเดินออกมา บนอาภรณ์เขามีดาราเช่นกัน อีกทั้งดวงดารายังหมุนโคจรอย่างช้าๆ เขาจึงเหมือนแยกออกจากโลกใบนี้
บุคคลนี้ก็คือนายน้อยที่กลุ่มเซียนเหล่านั้นเอ่ย เต้าหยวนผู้มีฐานะสูงส่งอย่างยิ่งในสำนักดาราสัจธรรม!
เขาถือพัดในมือด้วยสีหน้าโอหัง เดินออกมาพร้อมกับเปิดม่านกระโจม เดิมทีจากข้างนอกจะมองไม่เห็นข้างใน ทว่าสายลมกลางสายฝนกลับเปิดม่านกระโจมขึ้น ทำให้เห็นภาพอนาถภายใน
ข้างในเป็นศพหญิงสาวมากกว่าสิบคน พวกนางล้วนเปลือยกาย ตาเบิกกว้าง ความสิ้นหวังและกลิ่นอายมรณะในแววตามากพอจะทำให้หัวใจคนปริแตก
“เผ่าหมานไม่เห็นจะน่าสนใจ แม้แต่ผู้แข็งแกร่งที่พอจะใช้ได้ยังไม่มี สตรีก็หยาบคาย ไม่มีใครเข้าตาสักคน ฝืนอยู่มาตั้งหลายวันช่างน่าเบื่อยิ่งนัก” ชายหนุ่มผู้ถือพัดอยู่ในมือส่ายศีรษะด้วยสีหน้าปลงอนิจจัง ก่อนเดินออกไปข้างนอก
เขามาถึงแดนหมานหลายวันแล้ว แดนพันธมิตรตะวันตกกับแดนทวีปเหนือเป็นต้นก็ไปมาแล้ว มีมากกว่าหลายร้อยชนเผ่าที่ถูกองครักษ์เขาสังหาร มีหญิงสาวจำนวนมากถูกเขาข่มเหงและสังหาร ทว่ากลับไม่มีใครหรือสิ่งใดที่เขาสนใจเลย
“ทว่าที่นี่ก็เป็นคนแดนมรณะหยิน เฮอะๆ ข้าเต้าหยวนเล่นกับสตรีแดนมรณะหยินมากขนาดนี้ กลับสำนักไปแล้วจะต้องไปโอ้อวดเสียหน่อยแล้ว” ชายหนุ่มเหยียบโลหิตบนพื้น เหยียบย่ำศพเหล่านั้น ด้านหลังเขามีคนเสื้อคลุมดำใบหน้าไร้อารมณ์ห้าคนติดตามอยู่ ประหนึ่งว่าต่อให้ฟ้าดินถล่มทลายตรงหน้าก็จะไม่เกิดคลื่นอารมณ์ ทั้งยังมีกลิ่นอายชั่วร้ายเข้มข้นขยับวูบวาบจากตัวพวกเขา นี่คือห้าคนที่เย็นชาไร้อารมณ์และสังหารคนมานับไม่ถ้วน
ในตัวพวกเขามีระลอกคลื่นน่าสะพรึงผนึกอยู่ในร่างกาย ฉะนั้นจึงอ่านขั้นพลังไม่ออก ทว่าเต้าหยวนก็เรียกให้พวกเขาลงมายังเผ่าหมานในน้ำวนมรณะหยินด้วยกัน จะเห็นได้ชัดว่าไม่ใช่ผู้อ่อนแอ
“ใกล้จะได้เวลาแล้ว ไปดูแดนอรุณใต้เสียหน่อยดีกว่า ทาสเต๋าสิบเก้า ค้นวิญญาณเป็นอย่างไรบ้าง?” หลังจากชายหนุ่มเดินออกจากชนเผ่ามรณะแห่งนี้ ก็กล่าวขึ้นเรียบๆ
“คุณชาย ยังหาที่อยู่ของเทพหมานแห่งเผ่าหมานไม่พบ มิหนำซ้ำที่นี่ยังจำกัดจิตสัมผัส….แต่ตลอดทางมานี้ หากเผ่าหมานมีเทพหมานจริงๆ จะต้องอยู่แดนอรุณใต้อย่างแน่นอน”
“เช่นนั้นก็ไปแดนอรุณใต้ จากนั้นพวกเราค่อยออกไป ที่นี่ไม่เห็นจะมีอะไรน่าสนใจ” ชายหนุ่มหุบพัดในมือ ก่อนเดินอากาศขึ้นไป ทาสเต๋าห้าคนติดตามอยู่ด้านหลัง มุ่งหน้าไปยังแดนอรุณใต้
ตอนห้อเหยียดอยู่บนฟ้า ชายหนุ่มหาววอด บ้างก็มองแผ่นดิน สีหน้าเต็มไปด้วยความเหยียดหยาม ในสายตาเขาทุกคนที่นี่ล้วนเหมือนพวกยังไม่พัฒนา สวมผ้าหนังสัตว์ สวมผ้าเนื้อหยาบ ต่อให้ดีกว่านี้อีกเล็กน้อย ก็ยังห่างไกลกับสำนักดาราสัจธรรมของพวกเขา
“ดึกดำบรรพ์ แต่กลับไม่ป่าเถื่อน น่าเบื่อสิ้นดี” ชายหนุ่มละสายตากลับอย่างไม่แยแส
ห้าคนด้านหลังเงียบงัน ติดตามไปอย่างเงียบๆ สำหรับพวกเขาแล้วที่นี่จะดึกดำบรรพ์หรือไม่นั้นไม่สำคัญ ภารกิจของพวกเขาคือปกป้องคุณชาย และสังหารทุกคนที่คุณชายอยากสังหาร
นอกจากนี้ในสายตาพวกเขา เผ่าหมาน…อ่อนแอจริงๆ ต่อให้มีเผ่าหมานบางส่วนพอจะแกร่งอยู่บ้าง อย่างมากสุดก็อยู่เพียงระหว่างก้าวที่หนึ่งกับก้าวที่สอง การจะบดขยี้นั้นง่ายเหมือนกับมดปลวก
มีแค่บางสถานที่ที่ต้องให้ความสนใจ อย่างเช่นหอคอยรกร้างบูรพา พระราชวังต้าอวี๋ตรงจุดมาเยือนของเซียน สถานที่เหล่านี้ห้าคนหลีกเลี่ยงไปเองโดยไม่ได้บอกชายหนุ่ม
ไม่นานชายหนุ่มก็หมดความสนใจไม่มองพื้นดินอีก ก่อนออกจากแดนรกร้างบูรพามาปรากฏตัวอยู่บนทะเลมรณะ
“คุณชาย แดนอรุณใต้แตกเป็นเสี่ยงๆ กลายเป็นหมู่เกาะจำนวนมาก….บนเกาะพวกนี้มีชาวเผ่าหมานอาศัยอยู่เล็กน้อย และที่นี่มีอยู่สามเกาะที่ใหญ่ที่สุดและน่าจะมีคนมากที่สุด” ในห้าคนเสื้อคลุมดำมีคนหนึ่งถือเข็มทิศในมือ บนเข็มทิศมีภาพภูมิประเทศของทั้งเผ่าหมานอยู่
“เช่นนั้นก็ไปสามเกาะที่ใหญ่ที่สุดเลย” ชายหนุ่มหาววอด ยกมือขวาสะบัดไปทีหนึ่ง ตรงหน้าปรากฏเรือยาวสีดำทึบขนาดสิบจั้งลำหนึ่ง เขาเดินขึ้นไปบนเรือยาว เมื่อห้าคนด้านหลังตามขึ้นแล้ว เรือยาวก็ห้อเหยียดไปข้างหน้า
พริบตาเดียวมันก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย
ไม่นาน ช่วงที่ชายหนุ่มผู้เบื่อหน่ายบนเรือยาวหยิบพัดออกมาแล้วกวาดสายตามองแผ่นดิน เขาพลันเบิกตากว้าง
“หยุด!” เขากล่าวขึ้นโดยพลัน เรือยาวหยุดกลางอากาศในทันที หากมองตามสายตาชายหนุ่มไป จะเห็นว่าบนทะเลมรณะมีอยู่เกาะหนึ่ง….นั่นคือเกาะบึงใต้ที่ฟางชางหลันอาศัยอยู่