ตอนที่ 736 คุ้มกัน
หัวของมันลอยขึ้นมาจากบึงน้ำ มองซูหมิงด้วยแววตายำเกรงและหวาดกลัว มังกรเชมันรู้สึกถึงกลิ่นอายพลังวูบวาบจากตัวเขา มันไม่เคยเจอกลิ่นอายพลังที่แกร่งเช่นนี้มาก่อน
ซูหมิงลูบหัวมังกรเบาๆ ตอนที่ยืนขึ้น มังกรเชมันเหมือนรู้สึกถึงเจตนาของเขา ร่างมันสั่นไหว ระลอกคลื่นของบึงน้ำจึงเพิ่มมากขึ้น
มังกรค่อยๆ อ้าปาก ชั่วขณะที่ตัวบิดเบี้ยวก็มีก้อนโลหิตขนาดเท่ากำปั้นก้อนหนึ่งลอยมาจากปากมัน ภายในก้อนโลหิตแผ่กระจายกลิ่นอายพลังเผ่าเชมันบริสุทธิ์ ก้อนโลหิตนี้ค่อยๆ ลอยมาหยุดตรงหน้าซูหมิง
หลังจากพ่นก้อนโลหิตออกมาแล้ว มังกรเชมันมีสีหน้าห่อเหี่ยวเล็กน้อย มันก้มหัวไปทางซูหมิงด้วยความยำเกรง แล้วค่อยๆ ลดระดับลงกลับไปในบึงน้ำ
ซูหมิงรับก้อนโลหิตมา มองมันแวบหนึ่งแล้วเก็บเข้าไปในถุงเก็บวัตถุ ก่อนหมุนตัวเดินออกไปนอกป่าทึบ ไม่เอ่ยอะไรกับปรมาจารย์หลีหลงอีก
เขามอบโอกาสให้อีกฝ่ายแล้ว แต่อีกฝ่ายเลือกปฏิเสธ
ถามดวงชะตา สิ่งที่ต้องการไม่ใช่คำตอบ แต่เป็นการแสวงหาดวงชะตา
ทว่าปรมาจารย์หลีหลงไม่แสวงหา แต่ใช้คำพูดเฉยชากับคำว่าฝึกฝนจนใกล้สิ้นอายุขัย หากซูหมิงมีเพียงความทรงจำชาตินี้จริงๆ และฝึกฝนมาเพียงหลายร้อยปี บางทีอาจไม่เข้าใจความหมายคำพูดนี้ในทันที แต่ประสบการณ์เขามากมายนัก วัฏจักรหลายสิบรอบเท่ากับชีวิตคนหลายสิบครั้ง
ปรมาจารย์หลีหลงเทียบไม่ติดเลย สิ่งที่ความหมายแฝงในคำพูดสะท้อนออกมาคือการเหยียดหยามจากในใจตัวเอง ไม่ใช่ว่าเขาเหยียดหยามขั้นพลังซูหมิง แต่เหยียดหยามอายุขัยของเขาเอง
ในความรู้สึกของปรมาจารย์หลีหลง ซูหมิงเป็นเทพหมานตัวจริง แต่อายุน้อยเกินไป ทำให้ไม่ยอมก้มหน้าให้อีกฝ่ายชี้แนะตนโดยแท้จริง หากซูหมิงเป็นชายชราที่มีชื่อเสียงมานานปี ปรมาจารย์หลีหลงอาจมีคำตอบต่างออกไปโดยสิ้นเชิง
ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ซูหมิงย่อมไม่กล่าวให้มากความอีก ตอนที่หมุนตัวกลับ ร่างเขาค่อยๆ เดินจากไปไกล ปรมาจารย์หลีหลงด้านหลังมองเขาเดินไกลออกไปด้วยสีหน้าซับซ้อนเล็กน้อย
เขาก็รู้ว่าตนปฏิเสธโอกาสครั้งนี้ไปแล้ว โอกาสนี้อาจทำให้เขาทะลวงขั้นพลังได้ ทว่าบางที…ไม่แน่ว่าจะมีโอกาสหรือไม่ ถึงอย่างไรเทพหมานคนนี้ก็อายุยังน้อยจึงยอมรับได้ยาก
สภาพจิตใจเขาในตอนนี้ ความจริงแล้วคนจำนวนมากต่างเป็นเหมือนกัน มักจะคิดว่าคนที่อายุน้อยกว่าตนไม่น่าเชื่อถือ ต่อให้มีขั้นพลังแกร่งกว่าก็ยากจะเปลี่ยนความคิด
หลังจากซูหมิงเดินไกลออกไป สายตาปรมาจารย์หลีหลงยังคงมองตาม ยามเขาเดินห่างไปร้อยจั้งและร่างถูกป่าไม้บดบังไปเกือบครึ่ง ปรมาจารย์หลีหลงพลันหรี่ตาลง
เขารู้สึกรางๆ ว่าแผ่นหลังนี้คุ้นเคยเล็กน้อย เหมือนเคยเจอที่ใดมาก่อน ทว่าความทรงจำนี้แก่ชรามากแล้ว จึงยากจะนึกออกว่าเคยเจอร่างคล้ายๆ แบบนี้เมื่อไร
“ท่านเทพหมาน เราเคยเจอกันมาก่อนหรือไม่?” หลีหลงถามออกไปด้วยความลังเล
“ไม่เคย” ซูหมิงกล่าวตอบแล้วหายวับไปในป่าทึบ
พวกเขาเคยเจอกัน เพียงแต่ซูหมิงในตอนนั้นไม่ใช่เขาในตอนนี้ แต่เป็นชายชราผู้ผ่านโลกมาอย่างโชกโชนซึ่งไม่เหมือนกับปัจจุบัน
ซูหมิงเดินออกจากป่าทึบและไม่หันกลับไปมองอีก เขาเดินมาที่นอกเกาะทะเลตะวันออก ตอนจะก้าวออกจากเกาะนี้ ก็เอ่ยเสียงเรียบๆ กับอวี่เซวียนที่กำลังดูดถุงเก็บวัตถุกับผลึกเชมันรวมถึงของวิเศษอย่างตื่นเต้นบนฟ้า
“เล่นพอรึยัง ข้าไปก่อนล่ะ” ซูหมิงกล่าวจบก็จากเกาะทะเลตะวันออกไป เมื่อเดินออกจากวงแหวนอาคมแล้ว ร่างก็ขยับวูบไหวพุ่งตรงไปยังเกาะสำนักเหมันต์สวรรค์
ตอนนี้ได้ของมาครบแล้ว เขาต้องไปช่วยศิษย์พี่รองทำให้ศิษย์พี่ใหญ่ฟื้นคืนมา!
ขณะเดียวกับที่ซูหมิงจากไป อวี่เซวียนร้องโห่แล้วตบๆ สุนัขที่ขยายร่างจนมีขนาดหลายพันจั้งและมีสีหน้ากลัดกลุ้ม สุนัขตัวนั้นอึดอัดใจยิ่งนัก ตนเป็นมังกรยมโลกผู้สูงศักดิ์แท้ๆ ทว่านายหญิงน้อยกลับให้แปลงเป็นสุนัข และที่เกินไปที่สุดคือ แม้จะขยายเป็นขนาดหลายพันจั้ง ก็ยังไม่ให้เปลี่ยนเป็นมังกรยมโลก ให้คงร่างสุนัขเอาไว้
ขณะจากไป มันหันไปมองคนสำนักทะเลตะวันออกหลายพันคนด้านหลังที่เข้ามาล้อมโจมตีด้วยความเหี้ยมโหด ทว่าตอนนี้สลายตัวไปเพราะเสียงคำรามของมัน มันแค่นเสียงหึทีหนึ่งก่อนกลายเป็นสายรุ้งยาวบินจากไป
บนพื้นดินยังมีร่างเงาดำกำลังวุ่นทำอะไรบางอย่างด้วยความตื่นเต้น ครั้นเห็นสุนัขสีเหลืองบนฟ้าจากไปแล้ว กระเรียนขนร่วงก็มีสีหน้าอาลัยอาวรณ์ รีบบินจากไปอย่างเร็วรี่เช่นกัน
แดนรกร้างบูรพากับแดนอรุณใต้บนแผ่นดินหมานค่อนข้างเงียบสงบ เผ่าหมานนับไม่ถ้วนกำลังรวมพลกัน ในระหว่างที่กำลังจะเดินทางไปยังแดนพันธมิตรตะวันตกกับแดนทวีปเหนือ ก็เป็นช่วงเดียวกับที่ซูหมิงออกจากเกาะทะเลตะวันออก อวี่เซวียน สุนัขเหลือง และกระเรียนขนร่วงก็จากไปด้วยความเร็วสูงพร้อมกัน
ไกลออกไปด้านหลังผืนฟ้าเผ่าหมาน นอกน้ำวนมรณะหยินที่มีปากทางเข้าเศษเสี้ยวโลกจำนวนมาก รอบๆ ดาราแท้จริงเก้าดวง ตอนนี้มีเรือยาวมากกว่าหลายพันลำ!
บนเรือทุกๆ ลำล้วนมีผู้ฝึกฌานสวมเสื้อคลุมดำหลายคนยืนอยู่ บนอาภรณ์ผู้ฝึกฌานทุกคนมีภาพสัญลักษณ์ดวงดารา ภาพนี้สมจริงอย่างยิ่ง ทำให้เวลาที่พวกเขายืนอยู่บนเรือกลางฟ้ากระจ่างดาว จะเหมือนกับไม่ได้สวมอาภรณ์ ราวกับว่าผสานรวมกับผืนฟ้า
นอกจากเรือหลายพันจั้งแล้ว รอบๆ ยังมีชาวเผ่าเซียนเกือบแสนคน ทุกคนมีสีหน้าเคารพและต่างเงียบงัน
บนเรือลำตรงหน้าสุดมีชายหนุ่มยืนอยู่คนหนึ่ง เขามีเส้นผมดำแกว่งไกว มีใบหน้าหล่อเหลายิ่ง แต่ริมฝีปากบาง สีหน้าโอหัง
อาภรณ์ของเขาต่างกับทุกคน ดาวบนอาภรณ์ของคนอื่นจะนิ่งไม่ขยับ มีเพียงดาวบนอาภรณ์ของเขาเท่านั้นที่กำลังโคจรอย่างช้าๆ ดูไปแล้วพิลึกอย่างยิ่ง เหมือนกับว่าเสื้อคลุมคือหนึ่งโลกซึ่งมีการโคจรของตัวเอง
รอบกายชายหนุ่มมีคนเจ็ดแปดคนล้อมอยู่ราวกับดาวล้อมเดือน เจ็ดแปดคนนี้ล้วนเป็นชายชราซึ่งมีขั้นพลังระดับเจ้าปกครองโลก
“เผ่าเซียนเล็กจ้อย ข้ามาถึงแล้ว ไม่อยากเชื่อว่าสามราชันกับห้าจักรพรรดิจะยังไม่มาคารวะอีก” ชายหนุ่มกล่าวเสียงเบา
“นายน้อย สามราชันกับห้าจักรพรรดิ พวกเขา…”
“ไม่ต้องพูดแล้ว ฐานะข้าเต้าหยวนในสำนักคงยังไม่พอ หึ หากพี่ชายข้ามา เกรงว่าพวกเขาคงรีบมาประจบสอพลอนานแล้ว” ชายหนุ่มสะบัดมือ สีหน้ามืดทะมึนลงทันที
“นายน้อย…..เอ่อ…” เผ่าเซียนเจ็ดแปดคนรอบตัวชายหนุ่มยิ้มเจื่อน สายตาที่มองเขาเต็มไปด้วยความยำเกรง
“ที่นี่คือแดนมรณะหยินที่เผ่าเซียนของพวกเจ้าดูแลมาหลายรุ่นอย่างนั้นรึ?” ชายหนุ่มมองน้ำวนมรณะหยินกลางฟ้ากระจ่างดาว
“ที่นี่คือแดนมรณะหยิน” ข้างกายชายหนุ่ม ชายชราเผ่าเซียนคนหนึ่งกล่าวขึ้นด้วยความเคารพ
“ได้ยินว่าภายในแดนมรณะหยินมีพลังที่ทำลายล้างทั้งโลกแท้จริงดาราสัจธรรมได้อยู่…” นัยน์ตาชายหนุ่มเป็นประกายวาววับ ก่อนเดินออกจากเรือยาวมายืนอยู่กลางฟ้ากระจ่างดาว มองน้ำวนมรณะหยินที่อยู่ไม่ไกลด้วยความตื่นเต้น
“ในเมื่อมีพลังนี้อยู่ ภายภาคหน้าหากข้าเป็นเจ้าสำนักดาราสัจธรรม จะต้องทุ่มส่งคนมาสืบหาอย่างเต็มที่สักหหน่อย” ชายหนุ่มขยับกายวูบไหว หมายจะเข้าไปดูใกล้ๆ
ทว่าเพิ่งก้าวออกไปไม่ถึงร้อยจั้งกลับหยุดชะงัก สีหน้าเปลี่ยนไป เพราะนอกน้ำวนมรณะหยินที่เดิมทีมองไปเป็นฟ้ากระจ่างดาวไร้ที่สิ้นสุด กลับมีกลิ่นอายพลังเก้าสิบเก้าสายโผล่มา มิหนำซ้ำด้านหลังกลิ่นอายพลังเก้าสิบเก้าสายยังมีดวงจิตอีกสี่สิบเก้าดวงที่แกร่งยิ่งกว่าวนเวียนอยู่รอบๆ
“เป็นยันต์พยัคฆ์เก้าสิบเก้ากับยันต์มังกรสี่สิบเก้าจริงๆ…” ชายหนุ่มลังเลครู่หนึ่ง จากนั้นหมุนตัวกลับมายังเรือโดยไม่เข้าไปลึกกว่านี้อีก
“เอาละ ข้าเพียงแค่ผ่านทางมาเท่านั้น จะอยู่ที่นี่เพียงเจ็ดวัน หินวิญญาณที่ให้พวกเจ้าไปรวมมาต้องหามาให้ได้ภายในเจ็ดวันด้วย” ชายหนุ่มยืนอยู่บนเรือยาว มองเผ่าเซียนหลายคนข้างๆ ด้วยความเย็นชาแวบหนึ่ง
ผู้ฝึกฌานเผ่าเซียนหลายคนยิ้มเฝื่อน ในนั้นมีชายวัยกลางคนผู้หนึ่งลังเลเล็กน้อย แล้วจึงเดินเข้ามากล่าวเสียงเบา
“นายน้อยช่วยขยายเวลาให้อีกสักสองสามวันด้วยเถอะ หินวิญญาณที่ท่านต้องการมันมากเกินไป พวกข้า…..ต้องใช้เวลาอีกสักเล็กน้อยในการตระเตรียม…”
“เจ็ดวัน มากกว่านั้นไม่ได้แล้ว หากหาหินวิญญาณมาไม่ครบละก็ หึๆ” ชายหนุ่มมีสีหน้าเย็นชาทันที
“นายน้อย…” ในกลุ่มเซียนรอบๆ มีชายชราคนหนึ่งเดินเข้ามากล่าวเสียงเบา “เหมือนว่านายน้อยจะสนใจแดนมรณะหยินมาก ข้ามีวิธีหนึ่งที่ให้นายน้อยเข้าไปในแดนมรณะหยินโดยไม่ต้องยุ่งเกี่ยวกับเงื่อนไขของยันต์กำราบวิญญาณนี้”
“อ้อ?” ชายหนุ่มตาเป็นประกาย สายตามองชายชราคนที่เอ่ยขึ้น
“ไม่เลว หากวิธีที่เจ้าว่าใช้ได้จริงๆ จะยืดเวลาให้พวกเจ้าอีกหลายวัน ทว่าหากใช้ไม่ได้ก็ยังเป็นเจ็ดวันเหมือนเดิม และจะเพิ่มหินวิญญาณอีกเท่าตัว”
“นายน้อยวางใจเถอะ เชิญ!” ชายชรายิ้มน้อยๆ ก่อนรีบกล่าวขึ้น คนที่เหลือลังเลอยู่สักครู่ แต่ก็ไม่ได้บอกไปว่าสามราชันกับห้าจักรพรรดิออกคำสั่งไว้ว่าห้ามไม่ให้เปิดวงแหวนอาคมส่งคนไปเยือนอีก จะต้องรอพวกเขามาก่อนแล้วค่อยเปิดอีกครั้ง
หลายชั่วยามต่อมา ภายในขอบเขตแผ่นดินนับไม่ถ้วนกลางฟ้ากระจ่างดาวของเผ่าเซียน ตอนนี้เต็มไปด้วยเรือยาวหลายพันลำ ผู้ฝึกฌานเผ่าเซียนหลายคนล้อมอยู่รอบชายหนุ่ม กำลังพาไปบนแท่นบวงสรวงของแผ่นดินตรงใจกลาง และนี่ก็เป็นจุดที่กายหยาบของซูหมิงอยู่
“มันคือพี่ชายของนางสารเลวคนนั้นรึ?” ชายหนุ่มมองกายหยาบซูหมิงแวบหนึ่ง เหมือนเกิดความคิดอะไรบางอย่าง จึงเอ่ยด้วยเสียงเย็นชา
“นายน้อยหลักแหลม เป็นบุคคลผู้นี้เอง วิธีเข้าแดนมรณะหยินคือเหนี่ยวนำวงแหวนอาคมมาเยือนผ่านกายหยาบนี้ ทว่า…จำเป็นต้องเตรียมตัวสองวัน และหลังจากไปเยือนแล้วขั้นพลังจะถูกจำกัด จะส่งคนไปมากเกินไม่ได้”
“ช่วยไม่ได้ ทาสเต๋าสิบเก้า ยี่สิบเอ็ด สามสิบเอ็ด สี่สิบเอ็ด ห้าสิบเอ็ด พวกเจ้าห้าคนเข้ามา” ชายหนุ่มไม่ใส่ใจแม้แต่น้อย ขณะกล่าวอยู่นี้ร่างในเสื้อคลุมดำห้าคนบนเรือรอบๆ ก็หายไป แล้วมาปรากฏตัวอยู่ด้านหลังชายหนุ่ม
“เจ้าเปิดวงแหวนอาคมไป มีห้าคนนี้คุ้มกันอยู่ ต่อให้เป็นสามราชันกับห้าจักรพรรดิก็ทำอะไรไม่ได้” ชายหนุ่มกล่าวอย่างลำพองใจ เขายกมือขวาขึ้น ในมือปรากฏพัดอันหนึ่ง
หลังจากเซียนเปิดวงแหวนอาคมอย่างช้าๆ ณ แผ่นดินหมาน ดวงจันทร์สว่างดาราเบาบาง สายลมทะเลพัดผ่าน ทำให้ผิวทะเลเกิดเป็นคลื่นสีเงินใต้แสงจันทร์ ก่อนชนกับโขดหินพร้อมกับความชื้น เมื่อแตกกระจายอย่างไร้เสียงแล้วก็ถูกสายลมม้วนไกลออกไปยิ่งกว่าเดิม
ซูหมิงกลับมาถึงยอดเขาลำดับเก้าได้สองวันแล้ว ตอนนี้กำลังนั่งขัดสมาธิอยู่บนหน้าผาของยอดเขาลำดับเก้า ในสีหน้าสงบนิ่งมีความตื่นตัวแฝงอยู่ จิตสัมผัสแผ่กระจายไปรอบๆ หากมีสายลมพัดพืชขยับไหวก็จะรู้สึกทันที
ข้างกายเขาเป็นศิษย์พี่รองนั่งขัดสมาธิอยู่ กำลังแผ่กระจายจิตวิญญาณอย่างสุดกำลังเพื่อเหนี่ยวนำพลังแห่งภูตผีสวรรค์ของทั้งเผ่าหมานมาปลุกศิษย์พี่ใหญ่ ส่วนหู่จื่อกำลังนอนกรน ใช้การเข้าฝันปกป้องจิตสำนึกของศิษย์พี่ใหญ่ไว้
ไม่ว่าจะเป็นศิษย์พี่รองหรือหู่จื่อจะถูกรบกวนไม่ได้เลย มิเช่นนั้นแล้ว…ไม่เพียงแต่ศิษย์พี่ใหญ่จะไม่ตื่นขึ้นเท่านั้น แม้แต่ศิษย์พี่รองกับหู่จื่อยังมีอันตรายถึงชีวิต
ภารกิจของซูหมิงคือการคุ้มกัน!