ตอนที่ 809 ร่างกายเป็นจ้าว
แดนรกร้างต้นกำเนิดจิตมีลักษณะเป็นน้ำเต้า
ตำแหน่งตรงปากน้ำเต้าคือฐานทัพใหญ่ของขุมอำนาจสี่มหาโลกแท้จริง ที่นั่นหนาแน่น เงียบสงัดตลอดปี นอกจากผู้รักษาการณ์ที่จะผลัดเปลี่ยนกันทุกหลายร้อยปีแล้ว ต่อให้เป็นรักษาการณ์สี่มหาโลกแท้จริง ปกติหากไม่เรียกก็ห้ามมีใครเข้าไปเด็ดขาด
ผู้ฝ่าฝืนจะต้องรับโทษหนัก ถูกเนรเทศไปอยู่แดนรกร้างคนบาป
ภายในฐานใหญ่มีน้ำวนยักษ์อยู่ มันจะหมุนโคจรตลอดเวลา ทว่ากลับเงียบเชียบ มองจากไกลๆ น้ำวนจะส่องสว่างพร่างพราวเหมือนแม่น้ำสีเงินทะเลดารา แต่หากมองใกล้ๆ จะเห็นว่าแม่น้ำสีเงินทะเลดารารวมขึ้นจากดวงดาว
ดาวนับไม่ถ้วนรวมเป็นน้ำวนใหญ่ ไม่ว่าใครเห็นจะต้องเกิดความตื่นตกใจ
ยามนี้นอกน้ำวนมีสายรุ้งยาวบินเข้ามาสายหนึ่ง พอเข้ามาใกล้แล้วสายรุ้งก็กลายเป็นร่างเงาคน เขาเป็นชายหนุ่มคนหนึ่ง ตรงระหว่างคิ้วมีตราสัญลักษณ์ดอกท้อ กำลังยืนประสานมือคารวะค้างอยู่นอกน้ำวนด้วยสีหน้าเคารพ
เทียบกับความใหญ่ของน้ำวนแล้ว ตัวเขาประดุจมดปลวก ไม่เตะตาแม้แต่น้อย
เวลาค่อยๆ ผ่านไป ไม่นานก็หลายชั่วยาม ชายหนุ่มยังคงคารวะอยู่อย่างนั้น ไม่ขยับและไม่กล่าว ยังคงรออย่างเงียบๆ ทันใดนั้นน้ำวนหมุนโคจรเร็วขึ้นเล็กน้อย จากนั้นก็มีดาวแท้จริงดวงหนึ่งหลุดจากวงโคจรน้ำวนพุ่งออกมาข้างนอก แล้วตรงไปหาชายหนุ่มพร้อมด้วยพลังทำลายล้างฟ้าดิน
มันมาหยุดอยู่ตรงหน้าเขา เสียงเย็นชาเรียบๆ แว่วมาจากดาว
“มา” เสียงนี้กล่าวเพียงคำเดียว แต่กลับแฝงไว้ด้วยความน่าเกรงขามอย่างยิ่ง ราวกับว่าเพียงเขาเอ่ย ในโลกนี้ก็ไม่มีใครขัดขืนได้
ชายหนุ่มที่หว่างคิ้วมีตราสัญลักษณ์ดอกท้อเงยหน้าขึ้นจากการคารวะ แปลงเป็นสายรุ้งยาวตรงไปยังดาวแท้จริง ครู่ต่อมาเขาขึ้นมาบนดาว ตรงหน้าเป็นทะเลทรายกว้างใหญ่
จะเห็นรางๆ อยู่ไกลๆ ว่ามีวิหารใหญ่สีเหลืองดินสูงตระหง่านอยู่หลังหนึ่ง ตั้งอยู่กลางทะเลทรายเพียงลำพัง ด้านนอกยังมีพายุหมุน ม้วนทรายขึ้นเป็นพายุคลั่ง
ขณะเดียวกัน ตรงหน้าวิหารใหญ่ในทะเลทรายยังมีร่างคนเกือบร้อยอยู่
ร่างคนเหล่านั้นคือผู้ฝึกฌาน มีบุรุษมีสตรี มีคนชราและผู้เยาว์ พวกเขาหมอบอยู่บนพื้นทะเลทราย กำลังคลานเดินหน้าอย่างช้าๆ พวกเขาสวมอาภรณ์ขาดวิ่น มีรอยขาดหลายจุด ทว่าสีหน้ากลับแฝงไว้ด้วยความฮึกเหิมและประหลาด กำลังคลานไปยังวิหารใหญ่อย่างช้าๆ
ชายหนุ่มที่หว่างคิ้วมีตราสัญลักษณ์ดอกท้อมองวิหารอยู่ไกลๆ ก่อนย่อตัวลงอย่างเงียบเชียบ จนกระทั่งหมอบอยู่บนพื้นแล้วก็คลานไปเหมือนกับร่างเหล่านั้น
โดยรอบเงียบสงัด นอกจากสายลมครืนๆ แล้วก็ไม่มีเสียงอื่น คนที่คลานบนพื้นเหล่านั้นเต็มไปด้วยความรู้สึกแปลกประหลาด ผู้ฝึกฌานที่คลานอยู่หน้าสุดเหมือนเข้าใกล้วิหารใหญ่แล้ว แต่กลับยังคงเดินหน้าต่อไปราวกับมองไม่เห็น
คล้ายกับว่าในสายตาทุกคน วิหารใหญ่อยู่ใกล้ไกลต่างกัน
ชายหนุ่มที่ระหว่างคิ้วมีตราดอกท้อคลานต่อไปไม่หยุด อาภรณ์ขาดวิ่นแล้ว มีวี่แววจะว่าลุกไหม้ เส้นผมแห้งกร้าน แต่นัยน์ตากลับฉายแววยึดมั่น ในที่สุดก็ใช้เวลาหนึ่งชั่วยามคลานมาถึงหน้าวิหารใหญ่ในสายตาเขาด้วยสภาพย่ำแย่ทั้งตัว
เขาสูดลมหายใจเข้าลึก หลังยืนขึ้นแล้วก็เดินเข้าไปในวิหารใหญ่
ภายในวิหารโล่งมาก มีเพียงโต๊ะตัวหนึ่ง ด้านบนวางตะเกียงน้ำมันหนึ่งอัน เพลิงตรงไส้ตะเกียงสั่นไหวเล็กน้อย ภายในแสงเพลิงจะเห็นว่ามีใบหน้าเผยรอยยิ้มพิลึกนับไม่ถ้วนสับเปลี่ยนกัน ไม่มีใบหน้าซ้ำ ราวกับว่าไม่รู้กี่ปีมานี้ตั้งแต่โบราณกาลมา ใบหน้าในแสงเพลิงไม่เคยเหมือนกันเลย
เสียงเปลวเพลิงเผาไหม้ดังเปาะแปะ กึกก้องในวิหารใหญ่ ด้านบนโต๊ะนอกจากมีตะเกียงน้ำมันแล้ว ยังวางแผ่นไม้ไผ่ม้วนหนึ่ง แผ่นนี้เปิดออกครึ่งหนึ่ง แผ่กลิ่นอายโบราณออกมาภายใต้แสงไฟ
“เต้าเหริน ผู้รักษาการณ์ระดับเก้าแห่งโลกแท้จริงหยินศักดิ์สิทธิ์ ขอเข้าพบท่านแม่ทัพใหญ่หั่วจู๋” ชายหนุ่มนั่งคุกเข่าลงข้างหนึ่ง เอามือข้างหนึ่งกดบนหินสีดำบนพื้น แล้วก้มหน้าเอ่ยด้วยความเคารพ
“พูดมาเถอะ” เสียงแก่ชราเย็นเยียบแว่วมาจากเปลวเพลิงในตะเกียงน้ำมัน ตอนนี้ใบหน้าในนั้นไม่เปลี่ยนไปอีก มันหยุดนิ่งอยู่ที่ใบหน้าสตรียิ้มทีเล่นทีจริง
“อันดับแรกเราพบคนนี้อยู่ที่ดาวแดงเพลิง…” ชายหนุ่มไม่กล้าเงยหน้า แต่เล่าเรื่องทุกอย่างเกี่ยวกับโม่ซูที่เขารู้ด้วยเสียงเบา ไม่กล้าซ่อนเอาไว้แม้แต่น้อย
“…ผู้น้อยอยากตรวจดูคัมภีร์วัฏจักรเพื่อหาเบื้องหลังของคนนี้ จะได้วางแผนล่อให้เขาออกมาเอง”
เสียงเขาดังกังวานอยู่ในวิหารใหญ่ จนกระทั่งชายหนุ่มกล่าวจบ เสียงก็ยังดังก้องอยู่นานไม่จางหาย
“คนนี้ไม่อยู่ในวัฏจักร” ผ่านไปพักหนึ่ง ใบหน้าสตรีในเปลวเพลิงเอ่ยเสียงเย็นชาเรียบๆ
ชายหนุ่มอึ้งงัน หน้าเปลี่ยนสีโดยพลัน ครู่ต่อมาเขากัดฟันกล่าวเสียงเบาออกไป
“ผู้น้อยมั่นใจได้ว่าตอนนี้เขายังอยู่เขตดาราวงแหวนบูรพา และก็มั่นใจว่าเขาใช้วิธีใดไม่ทราบหลอมรวมกับวงแหวนอาคมผนึกจิตแล้ว น่าเสียดายที่ใช้พลังแห่งวงแหวนอาคมได้ไม่ว่าจะเป็นการเคลื่อนย้ายหรือกำราบ ผู้น้อยอยากขอท่านแม่ทัพใหญ่ปิดผนึกชายแดนวงแหวนบูรพาที่ไปสู่เขตดาราอื่นๆ…แล้วก็….ปิดวงแหวนอาคมผนึกจิต”
“ข้าจะมอบเพลิงเทียนให้เจ้าหนึ่งเสี้ยว จงแผดเผาชีวิตเจ้าเพื่อให้เพลิงเทียนนี้คงแสงสว่างตลอดกาล โชคชะตาจะชี้นำเจ้าไปหาคนคนนี้ ข้าอนุญาตให้เจ้าปิดวงแหวนอาคมผนึกจิตได้หนึ่งครั้ง ระยะเวลาไม่เกินสามเดือน” เสียงเย็นชาราบเรียบกล่าวถึงตรงนี้แล้ว เปลวเพลิงในตะเกียงน้ำมันพลันวูบไหว ขณะเดียวกัน ชายหนุ่มที่ระหว่างคิ้วมีตราสัญลักษณ์ดอกท้อก็ตัวสั่นไหวอย่างรุนแรง
มีเปลวเพลิงลุกบนตัวเขาโดยพลัน ไหลเวียนราวกับสายน้ำ และสุดท้ายก็ไปรวมอยู่บนเส้นผมชายหนุ่ม ทำให้เส้นผมปลิวไสว ดูแล้วคล้ายกับเปลวเพลิงขยับ
ตราสัญลักษณ์ดอกท้อยังหายไปในพริบตา เปลี่ยนเป็นเปลวเพลิงแทน
“ร่างกายคือเทียนไข ชีวิตคือเพลิง เจ้า…ไปได้แล้ว”
ชายหนุ่มถอยหลังไปโดยไม่อาจควบคุม พริบตาเดียวก็กลายเป็นเปลวเพลิงม้วนออกจากวิหารใหญ่ ออกจากทะเลทรายและดาวดวงนี้ไป เขามาโผล่อยู่กลางฟ้ากระจ่างดาว ตรงหน้าเป็นน้ำวนหมุนโคจร ส่วนดาวแท้จริงดวงนั้นก็ค่อยๆ ถอยกลับจนหายเข้าไปในน้ำวน กลายเป็นส่วนหนึ่งของดาวจำนวนมาก
“คนที่ไม่อยู่ในวัฏจักร แต่ถูกส่งมาที่นี่ด้วยวิธีการพิเศษ เหตุใดข้าถึงรู้สึกว่าในเรื่องราวของเจ้ามี…..กลิ่นอายพลังของมันอยู่
สมควรตาย ข้าต้องตกอยู่ในโลกแห่งความทุกข์ชั่วนิรันดร์ ถูกคนเกลียดชังอย่างถึงที่สุด ข้าเกลียดมันจนอยากจะฆ่ามันเป็นร้อยล้านพันล้านครั้ง ให้มันต้องเจอกับเคราะห์ภัยไม่มีจบสิ้น…เจ้า…กระเรียนตัวนั้น!”
ในวิหารใหญ่ หลังชายหนุ่มถูกม้วนออกไปแล้ว น้ำเสียงก็ไม่ใช่เย็นชาราบเรียบและโชกโชนประสบการณ์อีก แต่เป็นเสียงตะโกนต่ำสุมด้วยความแค้นและคลุ้มคลั่ง
ท่ามกลางเสียงตะโกนดังกังวาน ตะเกียงน้ำมันบนโต๊ะในวิหารใหญ่เกิดเสียงเผาไหม้อย่างรุนแรง ภายในปรากฏใบหน้านับไม่ถ้วน ทำให้เปลวเพลิงในตะเกียงลุกลามไปทั่ววิหารใหญ่และยังกระจายออกไป เสี้ยววินาทีเดียวก็ปกคลุมทั้งดาวแท้จริง จึงดูเหมือนว่าดาวดวงนี้กำลังลุกโชติช่วง
……….
“ฮัดเช้ย!” ภายในเขตดาราวงแหวนบูรพา บนหินผุพังก้อนหนึ่งที่กำลังลอยไปข้างหน้า กระเรียนขนร่วงนอนหมอบอย่างเกียจคร้าน ดวงตาเปล่งประกาย ภายในกรงเล็บถือหินผลึกและมีสีหน้าชื่นอกชื่นใจ ตอนนี้มันจามติดกันสามครั้งแล้ว
“ย่ากระเรียนมันเถอะ จะต้องมีคนบ่นท่านกระเรียนผู้นี้อยู่แน่นอน เฮ้อ เป็นเพียงกระเรียนตัวหนึ่ง เป็นเพียงนกตัวหนึ่ง ข้าต้องจัดการแบบเงียบๆ แล้ว จะให้ใครคิดถึงบ่อยๆ ไม่ได้…ฮัดเช้ย!” กระเรียนขนร่วงยังบ่นไม่เสร็จก็จามอีกครั้ง ครั้งนี้มันโกรธแล้ว
มันยืนขึ้น ดวงตาฉายแววดุร้าย มองไปรอบๆ ไม่หยุด
“ย่ากระเรียนเจ้าเถอะ ใครกำลังบ่นข้าผู้นี้กัน ข้าจะลงโทษเจ้าให้ตาย!” ช่วงที่กระเรียนขนร่วงมีสีหน้าโกรธ ชื่อหั่วโหวที่อยู่ไม่ไกลมองมาแวบหนึ่งโดยจิตใต้สำนึก ก่อนรีบก้มหน้าลงไม่สนใจอีก ยิ่งเขารู้สึกว่าอีกฝ่ายคือท่านผู้นั้นในตำนานมากเท่าไร ก็ยิ่งไม่กล้าเกี่ยวข้องกับอีกฝ่ายมากเท่านั้น เขาจำได้ว่ามีตำนานเกี่ยวกับท่านผู้นั้นอยู่คือ คนที่เกี่ยวข้องกับเขาล้วนไม่มีจุดจบที่ดี
หินผุพังลากผ่านกลางฟ้ากระจ่างดาว ภายใต้การคุ้มกันของชื่อหั่วโหว ขณะที่กระเรียนขนร่วงกำลังโกรธอยู่นี้ เปลวเพลิงทั่วร่างซูหมิงปะทุถึงขีดสุด เปลวเพลิงเผาเลือดเนื้อทุกส่วนทั่วร่าง ไม่ว่าจะในหรือนอกร่างกายล้วนถูกเผา
เวลานี้ร่างกายเขาแห้งเหี่ยวแล้ว ดูเหมือนกับไม้ฟืนแห้งๆ
เวลาผ่านไปอีกครึ่งเดือน ซูหมิงแน่นิ่ง ผิวหนังทั่วร่างปริแตก ทว่าไม่มีเปลวเพลิงแล้ว เจ็ดวันก่อนหน้านี้ทะเลเพลิงนอกร่างกายม้วนเข้าสู่ข้างในหมดแล้ว
กลิ่นอายพลังมรณะในร่างซูหมิงเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ จนถึงวันนี้ รอยปริแตกบนตัวเกิดเสียงดังเปาะแปะ พร้อมกันนั้นชื่อหั่วโหวก็จริงจังขึ้นมาทันที กระทั่งกระเรียนขนร่วงยังมองซูหมิง
ผิวหนังปริแตกเกิดรอยแตกอีกครั้ง ซูหมิงค่อยๆ ลืมตาขึ้น
วินาทีที่ลืมตา ภายในดวงตาเปล่งแสงสีทองอ่อน ทำให้ดวงตาสองข้างแวววาวและน่าเกรงขาม ครั้นซูหมิงลืมตาแล้ว เสียงเปาะแปะบนตัวดังชัดเจนขึ้นอีก แผ่นจากรอยปริแตกร่วงลงพื้น สุดท้ายจึงเผยเป็นผิวหนังสีทองอ่อน จนกระทั่งหลุดลอกออกหมด ร่างกายเขาก็เปล่งแสงสีทองห่อหุ้มร่างเอาไว้ภายใน ดูแล้วให้ความรู้สึกขมุกขมัว
เขาพ่นลมหายใจออกยาว ฟ้ากระจ่างดาวโดยรอบพลันสั่นไหว นอกหินผุพังเกิดทะเลเพลิงขึ้นกลุ่มหนึ่ง ลุกลามออกไปโดยรอบและปกคลุมในระยะห้าพันจั้งในพริบตา
ในห้าพันจั้งนี้มีพลังแห่งโลกระเบิดออกมาทั้งหมด ครั้งนี้ซูหมิงไม่ได้ใช้วงแหวนอาคม แต่ใช้เพียงร่างกายปล่อยพลังแห่งโลก
“พลังแห่งโลก…” ซูหมิงยืนขึ้นจากหินผุพัง เสียงดังสนั่นแว่วมาจากในร่างกาย หลังจากเขากำหมัด เปลวเพลิงในระยะห้าพันจั้งก็ม้วนตลบมาทั้งหมดในพริบตา ทันทีที่เขากำหมัดก็เหมือนกับว่าทะเลเพลิงห้าพันจั้งถูกสูบเข้ามารวมอยู่ในฝ่ามือ
“นี่คือพลังของข้าเอง ร่างกายเป็นจ้าว” ซูหมิงหลับตาลงอยู่นาน ตอนที่ลืมตาขึ้นเขายิ้มมุมปาก เพียงแต่รอยยิ้มขมขื่นเล็กน้อย เขาคิดว่าหากตอนอยู่แดนหมานตนมีพลังแบบนี้ ทุกอย่าง…..คงต่างออกไป