Skip to content

สู่วิถีอสุรา 957

ตอนที่ 957 ข้าจะสู้!

‘นี่ก็คือขั้นกุมชะตาเกิดดับ…..ขั้นพลังใหญ่นี้จะต้องมีการแบ่งอย่างละเอียดแน่ อย่างเช่นระหว่างควบคุมดวงชะตาได้กับควบคุมไม่ได้…ถึงจะถูกเรียกว่าผู้กุมชะตา เกิดดับเหมือนกัน แต่ก็เป็นสองขั้นพลังต่างกัน!’

‘เห็นได้ชัดว่าคนนั้นที่ข้าเจอตอนอยู่ขุมอำนาจผู้รักษาการณ์สี่มหาโลกแท้จริง ฝ่ามือของเขาสามารถปกคลุมฟ้ากระจ่างดาว ล่าสังหารข้าไปจนถึงแดนประหลาด มีพละกำลังแก่กล้าเหนือจินตนาการ

ทว่าเขาใช้วิชาดวงชะตาไม่ได้ ดังนั้นแล้ว ข้าก็เข้าใจแล้วว่าจุดสำคัญของขั้นพลังเขาคือขั้นกุม หรือเรียกได้ว่าขั้นกุมระดับสูง

ทว่าบรรพบุรุษขวางสวรรค์ตอนนี้ ใช้ของวิเศษตรงระหว่างคิ้วบังคับควบคุม ดวงชะตาของโลกภายนอก แต่พลังที่แท้จริงของเขาคือขั้นกุม อีกทั้งยังสู้ท่านนั้นไม่ได้ บรรลุถึงเพียงระดับต้นเท่านั้น’

‘เมื่อคิดคำนวณได้แบบนี้แล้ว ข้าก็เข้าใจแล้วว่าอะไรคือขั้นกุมชะตาเกิดดับ ในนั้นมีขั้นกุม ขั้นนี้คือขีดสุดของพละกำลัง หากทะลวงไปได้ก็จะก้าวสู่ขั้นชะตา ระดับสูงของขั้นนี้คือการควบคุมดวงชะตาของตัวเองได้

ดังนั้นแล้ว จะต้องมีขั้นเกิดกับขั้นดับสูญต่อจากนี้แน่ จนกระทั่งคนที่บรรลุถึงขั้นดับสูญระดับสูงถึงจะเรียกว่า…ผู้กุมชะตาเกิดดับอย่างแท้จริง!’ นัยน์ตาซูหมิงฉายแววเข้าใจ

‘ศึกครั้งนี้ทำให้ข้าได้รู้เรื่องเหล่านี้ ได้เข้าใจวิธีการใช้วิชาสามตัดสังหารอย่างแท้จริง….คุ้มค่าแล้ว!’ ซูหมิงใช้สายตาเย็นชามองบรรพบุรุษขวางสวรรค์ที่ก้าวเท้ายาวเข้ามาด้วยพลังอำนาจที่สามารถชำเลืองตามองฟ้าดิน ก่อนยกมือขวาขึ้นช้าๆ

‘ต่อไป ข้าอยากรู้ว่าสามร่างแยกใหญ่ของข้าหลอมรวมกันแล้วจะมีความต่างกับบรรพบุรุษขวางสวรรค์ผู้บรรลุขั้นกุมระดับต้นเท่าไร!’ ซูหมิงเงยหน้าขึ้นพร้อมกำ หมัดขวา ตัวเขาไม่ถอยแต่บุกเข้าไป กลายเป็นสายรุ้งยาวพุ่งไปหาบรรพบุรุษขวางสวรรค์

ร่างเงาเอ้อชางปรากฏด้านหลัง ระหว่างที่ฟ้ากระจ่างดาวสั่นไหวอย่างรุนแรง พลังมหาศาลระเบิดออกมาจากตัวเขา ส่วนเขาก็เข้าใกล้บรรพบุรุษขวางสวรรค์ขึ้นเรื่อยๆ พริบตาเดียวสองคนจึงปะทะกัน ต่างฝ่ายต่างชกหมัดใส่กัน

ขั้นกุมไม่ใช้อภินิหาร ไม่ใช้วิชา เพียงลงมือแบบง่ายๆ ใช้พละกำลังสูงสุดฟ้าดิน!

โครม!

ระหว่างเกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหว ซูหมิงกระอักโลหิตหนึ่งกอง ร่างซวนเซถอยไปต่อเนื่อง ต้นไม้ใหญ่เอ้อชางยังสั่นไหวถี่ขึ้น เขาถอยหลังไปจนหลายร้อยจั้ง ทว่ายังไม่ทันหยุด นัยน์ตาบรรพบุรุษขวางสวรรค์ก็เป็นประกายจิตสังหาร ก่อนเดินมาอีกครั้งพลางแค่นเสียงหึเย็นชา

เขามีสีหน้าเหมือนสงบนิ่ง แต่ในใจกลับเต็มไปด้วยความตื่นตะลึง หนึ่งหมัดเมื่อครู่นี้ แม้ว่าจะใช้กำลังเพียงห้าส่วน ทว่ามันก็มากพอจะสังหารผู้ฝึกฌานระดับภัยพิบัติตะวันทุกคน

กระทั่งยังสามารถทำลายอภินิหารของภัยพิบัติตะวัน และสังหารด้วยหมัดเดียวโดยไม่ต้องใส่ใจแม้แต่น้อย

ทว่าตอนที่ชกโดนซูหมิง กลับทำให้อีกฝ่ายแค่กระอักเลือดและพอจะกระเทือนถึงอวัยวะภายในจนแหลก รวมถึงแค่ถอยไปเท่านั้นเอง สำหรับบรรพบุรุษขวางสวรรค์แล้ว เขายอมรับไม่ได้ แต่ในเวลาเดียวจิตสังหารในใจก็มากขึ้นเรื่อยๆ ไม่ว่าใครก็คงไม่ยอมให้เผ่าของตัวเองมีศัตรูตัวฉกาจแบบนี้รอดชีวิตไปได้

ดังนั้นแล้วขณะเดียวกับที่ก้าวเดิน บรรพบุรุษขวางสวรรค์ยกมือขวาขึ้น ครั้งนี้เขาใช้กำลังสิบส่วน อยากจะยุติการต่อสู้ด้วยหมัดเดียว ด้วยความเร็วของเขายังไม่ทันที่ ซูหมิงจะได้หยุดยืนอย่างมั่นคงเขาก็เข้ามาใกล้แล้ว ตอนที่ชกหมัดไป จักรวาลเกิดเสียงดังสนั่น มีพลังสุดจะบรรยายปะทุออกมาจากในหมัดเขา

ฟ้ากระจ่างดาวสั่นสะเทือน กระทั่งดาวแท้จริงทั้งหมดในฟ้ากระจ่างดาวผืนนี้ยังสั่นสะท้าน ต่อให้เป็นผู้ฝึกฌานสี่คนนั้นที่ห่างจากตรงนี้ไปค่อนข้างไกล เวลานี้ขณะ ห้อเหยียดอยู่ยังตัวสั่น ต่างพากันหันหน้าไปมองด้วยความกลัว

หากมองจากจุดสูงสุดของฟ้ากระจ่างดาวลงมา จะเห็นว่าฟ้ากระจ่างดาวแห่งนี้กลายเป็นกำปั้นยักษ์ มันพุ่งตรงไปหาซูหมิงพร้อมด้วยเสียงโครมคราม

ทุกอย่างเหมือนช้า ทว่าความจริงตอนที่บรรพบุรุษขวางสวรรค์ชกหมัดมา หมัดบนฟ้ากระจ่างดาวก็ไปอยู่ตรงหน้าซูหมิงแล้ว

ซูหมิงหรี่ตาลง ภยันตรายมรณะอบอวลไปทั่วร่างในทันใด ตอนนี้สิ่งที่ฉลาดที่สุดคือดำเนินแผนการนี้ต่อไป ใช้มันหลีกภัยพิบัติสังหาร

ทว่าซูหมิงกลับไม่ทำ นัยน์ตาเขาเผยความมุ่งมั่นในการต่อสู้ สติปัญญาถูกอารมณ์ชั่ววูบเข้ามาแทนที่อย่างพบเห็นได้ยาก อารมณ์ชั่ววูบนี้ไม่ใช่ความบุ่มบ่าม แต่เป็นความมุ่งมั่นในการต่อสู้อันแรงกล้าจนควบคุมตัวเองไม่ได้

เขาอยากสู้ ถึงจะเป็นผู้กุมชะตาเกิดดับเขาก็จะสู้!

ถึงชีวิตอาจจะดับสูญไป ทว่าเมื่อเผชิญหน้ากับหมัดของบรรพบุรุษขวางสวรรค์ เขาก็มีความมุ่งมั่นในการต่อสู้โดยใช้หมัดต่อต้านเช่นกัน ความเด่นชัดของความุ่งมั่นในการต่อสู้นี้ทำให้เขาตาแดงก่ำ ทำให้เขาเงยหน้าคำรามขึ้นฟ้า ระหว่างนั้นก็เกิดอารมณ์ชั่ววูบว่าต่อให้ต้องตายก็จะเผชิญหน้าด้วยตัวเองเพื่อจะได้รู้ว่าผู้กุมชะตาเกิดดับแกร่งเพียงใด

‘ข้าหนีตอนเจอกับผู้กุมชะตาเกิดดับตอนนั้นมาแล้วครั้งหนึ่ง…..ครั้งนี้ข้าจะไม่หนี ข้าจะสู้!’ ซูหมิงกำหมัดขวา ขณะที่ความมุ่งมั่นในการต่อสู้ในร่างกายทะยานขึ้น มันก็ไปกระตุ้นจิตใจแน่วแน่ที่ไม่ยอมศิโรราบในนิสัยของเขา

แม้ความตายจะน่ากลัว แต่เขาคิดว่าการหนีน่ากลัวกว่า เขาจะสู้ จะชกหมัดออกไปโดยไม่ใคร่ครวญถึงผลตามมาใดๆ ไม่ขบคิดว่าตนจะตายหรือไม่ ทุกอย่างของทุกอย่างรวมอยู่ในหมัดนี้ เขารู้สึกอย่างเด่นชัดว่าหากตนชกหมัดออกไป หากครั้งนี้เขาไม่ตาย เช่นนั้นสภาพจิตใจเขาจะยกระดับขึ้นอีกครั้ง แม้แต่จิตวิญญาณยังยกระดับขึ้นด้วย

มันเหมือนกับการทำลายผนึกบางอย่าง ทะลวงผ่านขีดจำกัดบางอย่าง นั่นคือ…..การเปลี่ยนแปลงของขอบเขตชีวิต

“ข้าจะสู้!” ซูหมิงยกมือขวาขึ้น ใบหน้าเหี้ยมโหด ดวงตาแดงก่ำ

“ข้าจะสู้!” เขากำหมัดขวาแล้วโบกไปข้างหน้า เงามายาเอ้อชางข้างหลังสมจริงขึ้นมาอย่างชัดเจน เหมือนกับว่ามือขวาเขามีน้ำวนไร้รูปโผล่ขึ้นมา มันเหนี่ยวนำ ร่างมายาเอ้อชางใหญ่ยักษ์ข้างหลัง ตอนนี้เองมันถูกหมัดขวาสูบเข้ามา

“ข้าจะสู้!” ซูหมิงเงยหน้าตะโกนเสียงลากยาว

วินาทีที่ชกหมัดขวาไป ร่างกายเขาหายไปทันควัน ถูกต้นไม้ยักษ์กลางฟ้ากระจ่างดาวต้นหนึ่งแทนที่ นั่นคือต้นไม้ยักษ์ที่ใหญ่อย่างไร้ใครเปรียบ ยามนี้ต้นไม้บิดเบี้ยว กิ่งไม้ทั้งหมดพันรอบเข้าด้วยกันรวมเป็นหมัดยักษ์ข้างหนึ่ง ก่อนเข้าปะทะกับกำปั้นจากบนฟ้ากระจ่างดาวของหมัดบรรพบุรุษขวางสวรรค์

ครืน! เสียงดังสนั่นสะเทือนแก้วหูไม่อาจบรรยายดังก้องอยู่ในฟ้ากระจ่างดาว ดังกังวานอยู่บนดาวแท้จริงร้อยกว่าดวง ดังกังวานในทะเลดาราต้นกำเนิดจิตในพื้นที่นี้ และยังทำให้ผู้ฝึกฌานสี่คนที่อยู่ไกลออกไปตัวสั่นสะท้าน โลหิตไหลจากทวารทั้งเจ็ด ถูกกระเทือนจนอวัยวะภายในบาดเจ็บรุนแรง

ต้นไม้เอ้อชางแตกออกเป็นเสี่ยงๆ…..

กลายเป็นเศษต้นไม้นับไม่ถ้วนกระจายออก ขณะระเบิดออกนั้นก็เผยเป็นร่างกายซูหมิงภายใน บนตัวเขาปรากฏร่างมายาซ้อนทับ ร่างแยกขั้นพลังถูกบีบออกมาก่อนเป็นคนแรก ก่อนกระเด็นถอยออกไป

ต่อมาก็เป็นร่างแยกกลืนนภา มันก็หลุดออกจากสภาวะซ้อนทับกับตัวซูหมิงเช่นกัน ร่างกระเด็นไปไกลหมื่นจั้ง

จากการโจมตีอย่างสุดกำลังปะทะกับบรรพบุรุษขวางสวรรค์ ทำให้สามร่างแยกใหญ่ที่หลอมรวมกันถูกบีบให้แยกออก สามร่างแยกนี้ยังกระอักโลหิตกองใหญ่พร้อมกันด้วย ใบหน้าซีดขาวและร่างซวนเซ

ทว่า…..เขายังไม่สิ้นชีพ!

เพราะแรงปะทะส่วนใหญ่ถูกร่างแยกเอ้อชางรับเอาไว้ อีกทั้งเพราะระดับชีวิตของเอ้อชางคือถูกบรรยายอยู่ในเพลงกลอนนั้น มันจึงมีชีวิตนิรันดร์ อาการบาดเจ็บสาหัสแบบนี้ยังไม่มากพอจะสังหารมัน

บรรพบุรุษขวางสวรรค์สีหน้าทะมึน เขายืนอยู่ที่เดิม ไม่ได้โคลงเคลงแม้แต่น้อย ทว่ามีเพียงเขาที่รู้ว่านิ้วก้อยมือขวาตนชาไปหนึ่งลมหายใจหลังจากปะทะกับหมัดของซูหมิงเมื่อครู่

อย่ามองแค่ว่าเพียงลมหายใจเดียว เพราะในความรู้ความเข้าใจเขามันคือเรื่องเป็นไปไม่ได้ เขาคือยอดฝีมือขั้นกุม ขั้นกุมคือตัวแทนพละกำลังที่แกร่งที่สุดในฟ้าดิน เป็นปราการที่ไม่มีทางถูกผู้ฝึกฌานที่มีขั้นพลังด้อยกว่าเขาทำให้สั่นคลอน

ทว่า…..อาการชาหนึ่งลมหายใจเมื่อครู่นี้กลับเกิดขึ้นจริงๆ มันเหมือนกับว่าบนปราการหนาแน่นมีรอยร้าวเส้นหนึ่ง นี่ทำให้จิตสังหารยามที่บรรพบุรุษขวางสวรรค์มองซูหมิงเข้มข้นขึ้น

“วันนี้เจ้าต้องตาย!” จิตสังหารในแววตาบรรพบุรุษขวางสวรรค์ขยับวูบวาบ จากนั้นเขาเดินหน้าอีกหนึ่งก้าว ครั้งนี้เขาใช้พลังเกินกว่าสิบส่วน นี่เป็นครั้งแรกที่เขาระเบิดพลังที่แกร่งที่สุดหลังจากทะลวงสู่ผู้กุมชะตาเกิดดับ

เมื่อเขาเดินหน้า ฟ้ากระจ่างดาวก็เกิดเสียงดังกึกๆ และแตกออก นี่คือสัญญาว่ามันรับเขาไม่ไหวแล้ว

ซูหมิงยิ้ม เขาเช็ดคราบโลหิตตรงมุมปากออก หลังจากสามร่างแยกกลับมารวมกันอีกครั้งในพริบตาเดียวแล้ว ครั้งนี้เขาไม่เลือกต่อสู้อีก แต่ถอยหนีไปในทันที

การหนีของเขาอยู่ในสายตาบรรพบุรุษขวางสวรรค์แล้วกลายเป็นการยิ้มเยาะในใจ ในทะเลดาราต้นกำเนิดจิตแห่งนี้ คนที่เขาอยากสังหารไม่มีทางหนีรอด

ทว่าการกระทำต่อไปของซูหมิงกลับทำให้เขาหรี่ตาลง

ซูหมิงยกมือขวาขึ้นแล้วโบกไปข้างหน้า

“วิญญาณแห่งดินทราย คำขอแรกของข้าคือให้เจ้าสังหารคนนี้ หากสังหารไม่ได้ ก็ให้พันธนาการหนึ่งเดือน!”

สิ้นเสียง บรรพบุรุษขวางสวรรค์พลันหน้าเปลี่ยนสีอย่างรุนแรง เขารู้สึกถึงพลังงานมหาศาลหลั่งทะลักเข้ามาอย่างรวดเร็วจากในฟ้ากระจ่างดาวรอบๆ เขาคุ้นกับพลังชนิดนี้เล็กน้อย ทำให้เขานึกถึงอะไรหลายอย่างมาก

มิหนำซ้ำมันยังทำให้เขาเดินหน้าหนึ่งก้าวด้วยใบหน้าเปลี่ยนสี ก่อนหายวับไปโดยพลัน แล้วมาปรากฏตัวอยู่ข้างหลังซูหมิง จากนั้นก็ยกมือขวาขึ้นหมายจะลงมือสังหาร

แต่แทบเป็นทันทีที่เขากำหมัดจะชกใส่ด้านหลังซูหมิงที่ไม่มีทางหลบหลีกแล้วนั้น กลับปรากฏทรายละเอียดขึ้นหนึ่งชั้นตรงระหว่างหมัดเขากับตัวซูหมิง

เสียงโครมดังขึ้น หมัดของบรรพบุรุษขวางสวรรค์ชกใส่ทรายละเอียด ภายใต้เสียงโครมดังก้องอย่างต่อเนื่อง ทรายละเอียดข้างหลังซูหมิงก็กลายเป็นฝ่ามือดินทรายยักษ์ข้างหนึ่ง

ฟ้ากระจ่างดาวสั่นไหว ใบหน้ายักษ์ปรากฏขึ้น

ใบหน้านี้…..ก็คือวิญญาณบรรพชนดินทรายตอนที่ซูหมิงเจอในเผ่าดินทราย และทำสัญญากันว่าให้ใส่นามของเขาลงในเพลงกลอนในภายภาคหน้าโดยใช้การลงมือสังหารเป็นการแลก!

“คำขอแรก…..นี่คือขั้นกุมตอนกลาง หากข้าอยู่ในสภาพสมบูรณ์คงสังหารเขาได้ แต่ว่าตอนนี้…ข้าทำได้เพียงพันธนาการเขา เวลาหนึ่งเดือน…..ย่อมได้!” เสียงอื้ออึงดังก้องในฟ้ากระจ่างดาว ใบหน้ายักษ์อยู่กลางฟ้ากระจ่างดาว ร่างกายใหญ่ยักษ์ไร้พรมแดนสร้างความตื่นตกใจสุดจะบรรยาย มากพอจะทำให้ผู้พบเห็นทุกคนจิตใจสั่นสะท้าน

“วิญญาณบรรพชนดินทรายแห่งเผ่าดินทราย จะ….เจ้า…..เจ้าคือคนที่บรรลุถึงขั้นชะตาระดับสูงในตอนนั้น ไม่อยากเชื่อว่าเจ้ายังไม่ตาย! ข้ารู้แล้ว เจ้าบรรลุถึงครึ่งก้าวขั้นเกิด ดังนั้นจึงได้รับครึ่งก้าวชีวิตนิรันดร์!” บรรพบุรุษขวางสวรรค์หน้าเปลี่ยนสีอย่างรุนแรง

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version