ตอนที่ 969 วิญญาณหลัก
ณ ใจกลางวงแหวนชั้นในของทะเลดาราต้นกำเนิดจิต โดยรอบเงียบสงบมาก มองจากไกลๆ ที่นี่เป็นพื้นที่กว้างโล่ง ทว่าแสงสว่างพร่างพราวกลางอวกาศส่องสว่างไปรอบๆ ทำให้ที่นี่อยู่ท่ามกลางความงดงามเป็นหนึ่ง
ที่นี่มีผู้ฝึกฌานมาน้อย บางทีอาจกล่าวได้ว่าไม่รู้กี่ปีมานี้ ผู้ฝึกฌานที่มาถึงที่นี่มีน้อยอย่างยิ่ง ต่อให้เป็นซูหมิงกับสวี่ฮุ่ย หากไม่มีแผนที่ของเผ่าลำดับเก้าก็คงยากจะมาถึง
ส่วนพวกเสวียนซางสี่คน พวกเขาต้องลำบากอย่างมากกว่าจะมาถึง เป็นที่รู้กันว่าพวกเขาเตรียมตัวมาหลายพันปีแล้ว แต่แม้จะเป็นอย่างนั้น พวกเขาเจ็ดคนในตอนแรกสุดก็เหลือมาสี่คนในตอนนี้
“ตามเศษแผนที่ในมือข้าแล้ว เดินทางอีกหนึ่งเดือนก็จะถึงพื้นที่ของเผ่าธุลีแผดเผา ดังนั้นเราต้องเตรียมตัวกันที่นี่สักเล็กน้อย” เสวียนซางมองซูหมิง
“สมบัติล้ำค่าของตระกูลเสวียนสามารถรับคนไว้ข้างในได้หลายคน อีกทั้งภายนอกยังเปลี่ยนแปลงได้ตามใจชอบ ประกอบกับมีการแปลงกายของกระเรียนท่านนี้ อย่างน้อยในด้านกลิ่นอายพลังกับรูปลักษณ์ภายนอกจะไม่เผยพิรุธใดๆ”
เสวียนซางกล่าวพลางยกมือขวากัดนิ้วไปทีหนึ่ง ทันใดนั้นก็มีโลหิตซึมออกมา จากนั้นจึงทำสัญลักษณ์มือ ผ่านไปครู่หนึ่งก็ผลักมือไปข้างหน้า โลหิตตรงปลายนิ้วเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว พริบตาเดียวก็กลายเป็นสีทอง
โลหิตสีทองหยดหนึ่งลอยออกมาอยู่ตรงหน้าทุกคนแล้วเปล่งแสงสีทอง มิหนำซ้ำมันยังพองบวมกลายเป็นขนาดกำปั้น
“สหายทุกท่าน แล้วก็ผู้อาวุโสอีกสองท่าน เซ่นไหว้โลหิตของพวกท่าน ให้สมบัติตระกูลเสวียนจดจำกลิ่นอายพลังของพวกท่าน แบบนี้ก็จะบรรจุพวกท่านไว้ข้างในได้ เรื่องนี้ไม่มีอันตรายใดๆ ถึงแซ่เสวียนจะไม่กล้าพูดอย่างตรงไปตรงมา แต่ข้าก็ไม่ใช่คนต่ำทรามแน่นอน ขอให้ทุกท่านวางใจได้” เสวียนซางกล่าวเสียงต่ำ
ผู้ฝึกฌานนามเหนียนอิ๋นกัดปลายนิ้วเป็นคนแรก เขาสะบัดโลหิตให้ตรงไปหาโลหิตสีทอง เมื่อสัมผัสในทันทีแล้วก็หลอมรวมกันในพริบตา ลูกโลหิตสีทองพองบวมขึ้นอีกครั้งราวกับเดือดพล่าน ครั้งนี้มันพองจนมีขนาดเท่าศีรษะคน ภายในยังคงเป็นสีทอง แต่ก็เห็นได้ชัดว่าในตัวเหนียนอิ๋นมีแสงทองเพิ่มมารางๆ เหมือนกับมีการเชื่อมต่อบางอย่างกับลูกโลหิต ส่วนเสวียนซางก็เช่นกัน
อวิ๋นโหยวลังเลอยู่ชั่วครู่ก่อนกัดฟันกัดปลายนิ้วเซ่นไหว้โลหิตไป ครู่ต่อมา ลูกกลมสีทองก็ขยายใหญ่ขึ้นอีกหนึ่งเท่า แม้แต่ในตัวอวิ๋นโหยวยังมีแสงสีทองสว่างขึ้นมา
หวาอวี้คือหนึ่งในสี่คนสุดท้ายที่เซ่นไหว้โลหิต โลหิตเขาต่างกับคนอื่น คือสีแดงมีสีฟ้าติดมาเล็กน้อย ดูแล้วเกือบออกเป็นม่วงๆ โลหิตเพิ่งจะหลอมรวมเข้าลูกโลหิตสีทอง ก็ทำให้ลูกโลหิตเดือดพล่านทันที หลังพองบวมจนมีความสูงเท่าคนแล้วถึงหยุดนิ่ง
“ผู้อาวุโสสองท่าน!” เสวียนซางมองซูหมิงกับสวี่ฮุ่ย
“ข้าก่อน” สวี่ฮุ่ยยิ้ม นางมาอยู่ตรงหน้าซูหมิงและสะบัดนิ้วงามออกไป ส่งโลหิตตรงปลายนิ้วหลอมรวมเข้าสู่ลูกสีทอง ขั้นพลังนางคือภัยพิบัติจันทรา ตอนนี้โลหิตเพิ่งสัมผัสกับลูกสีทอง ก็ทำให้มันเดือดพล่านถึงระดับที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
ภาพนี้ทำให้พวกเสวียนซางสี่คนเพ่งมองไป แต่ก็ไม่ได้แปลกใจอะไรนัก เพราะลูกโลหิตจะขยายใหญ่หรือเล็กตามขั้นพลังที่ต่างกัน
ลูกสีทองพองออกอย่างรวดเร็ว เสี้ยวพริบตาเดียวขนาดเท่าคนก่อนหน้านี้กลายเป็นสิบกว่าจั้ง ลอยอยู่ตรงหน้าทุกคน แสงสีทองภายในส่องสว่าง ทำให้ทุกคนนอกจากซูหมิงแล้วเหมือนสวมเสื้อคลุมทองทั้งตัว
“นี่คือการยอมรับ เมื่อหลอมรวมเข้าสู่โลหิตแล้วจะได้รับการปกป้องจากสมบัติล้ำค่าชิ้นนี้ ไม่มีปัญหาอะไร” สวี่ฮุ่ยหลับตาลง ผ่านไปชั่วขณะก็ลืมตามองซูหมิง
ซูหมิงมองลูกโลหิตขนาดสิบกว่าจั้ง เขาเงียบไปพักหนึ่งก่อนกัดปลายนิ้วแล้วสะบัดโลหิตออกไป นี่คือโลหิตของร่างแยกขั้นพลัง ทว่าภายในโลหิตมีกลิ่นอายพลังของร่างแยกกลืนนภากับร่างแยกเอ้อชางอยู่ โลหิตจึงดูเหมือนธรรมดามาก ทว่าทันทีที่ปรากฏ ลูกกลมสิบกว่าจั้งกลับสั่นไหว
การสั่นไหวไม่ใช่เพราะตื่นเต้น ความรู้สึกที่มอบให้กับทุกคนคือมันสั่นเพราะความกลัว เหตุการณ์นี้ทำให้พวกเสวียนซางสี่คนตะลึงงันในทันใด
เมื่อซูหมิงสะบัดโลหิตออกไป มันก็พุ่งตรงไปหาลูกโลหิตสีทองขนาดสิบกว่าจั้ง ลูกโลหิตสีทองถอยไปทันที ทว่าโลหิตของซูหมิงกลับเหมือนถูกดึงดูด ประหนึ่งว่ามันมีจิตวิญญาณของตัวเอง มันพลันเร่งความเร็วขึ้น ขณะที่ทุกคนยังไม่ทันตั้งตัวนั้น มันก็เข้าไปสัมผัสกับลูกโลหิตสีทอง
เสียงร้องโหยหวนดังมาจากเสวียนซาง ต่อมาก็เป็นอวิ๋นโหยว เหนียนอิ๋น หวาอวี้ ต่อให้เป็นสวี่ฮุ่ยก็ยังหน้าขาวซีด มีสีหน้าเจ็บปวด
ในชั่วเวลานี้ พวกเขาล้วนรู้สึกถึงแรงปะทะรุนแรงจากวิญญาณ นี่ก็คือการกระจายอย่างหนึ่งหลังจากลูกโลหิตสีทองได้รับอันตราย
“ผู้อาวุโส ท่านกำลังทำอะไร!” เสวียนซางหน้าขาวซีดพร้อมเอ่ยเสียงแหลมทันที
ซูหมิงยืนขมวดคิ้วอยู่ตรงนั้น เขายังไม่ได้ทำอะไรเลย เพียงแค่ส่งโลหิตออกไปเท่านั้น และก็นึกไม่ถึงด้วยว่าลูกโลหิตสีทองจะเป็นเช่นนี้ ตอนนี้โลหิตเขาหลอมรวมเข้าไปในลูกโลหิตสีทองอย่างสมบูรณ์แบบแล้ว ทว่าภายในกลับเกิดการต่อต้านอย่างรุนแรง
การต่อต้านชนิดนี้คือลูกโลหิตสีทองใช้กำลังมหาศาลผลักโลหิตของเขาออก ทว่าโลหิตเขากลับเหมือนแฝงไว้ด้วยพลังการกลืนกินอย่างรุนแรง ยิ่งต่อต้านก็ยิ่งมุดเข้าสู่ใจกลาง
“ข้าไม่ได้ทำอะไร เป็นสมบัติของเจ้าที่ไม่ยอมรวมกับโลหิตข้า” ซูหมิงกล่าวเรียบๆ เขาสังเกตเห็นเงื่อนงำเล็กน้อย เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับพรสวรรค์เผ่ายมโลก ต่อให้เป็นโลหิตหนึ่งหยดก็แฝงไว้ด้วยพลังการยึดวิญญาณแก่กล้า
นอกจากนี้แล้ว บางทีอาจเกี่ยวกับร่างแยกเอ้อชางอยู่บ้าง ถึงอย่างไรต่อให้เป็น ผู้ยิ่งใหญ่แห่งโลกแท้จริงหยินศักดิ์สิทธิ์ ในระดับการเกิดและดับ เกรงว่าก็ยังไม่อาจเทียบกับเอ้อชาง จึงยิ่งไม่ต้องพูดถึงสมบัติชิ้นหนึ่งที่เขาเป็นคนหลอมขึ้น
เสวียนซางหน้าเปลี่ยนสีติดต่อกันหลายครั้ง ตระกูลเสวียนของเขาใช้สมบัติชิ้นนี้มาหลายครั้ง แต่กลับไม่เคยเกิดเหตุการณ์แบบนี้มาก่อน เขาจึงกัดฟันและสัมผัสผ่านสมบัติล้ำค่าชิ้นนี้ได้ว่าซูหมิงไม่ได้พูดโกหก เป็นสมบัติชิ้นนี้กำลังต่อต้านอย่างรุนแรงจริงๆ
‘บัดซบ…’ เสวียนซางใช้วิชาจิตใจพิเศษควบคุมสมบัติล้ำค่าชิ้นนี้ในฉับพลัน ทำให้มันไม่ต่อต้านและสูบรับไป
สมบัติล้ำค่าก็เป็นของวิเศษเช่นกัน เพียงแต่สมบัติมีจิตวิญญาณของมันและก็มีเจ้านายด้วย ดังนั้นสมบัติของตระกูลเสวียนชิ้นนี้ ภายใต้การควบคุมของคนตระกูลเสวียนและท่ามกลางพลังยึดวิญญาณกับพลังโจมตีอย่างรุนแรงที่แฝงอยู่ในโลหิตของ ซูหมิง พวกมันจึงค่อยๆ หลอมรวมกันในขณะที่ยังต่อต้านกันไม่หยุด
ช่วงที่พวกมันหลอมรวมกันอย่างสมบูรณ์ เกิดเสียงโครมดังสนั่นข้างหูพวกเสวียนซาง สี่คน ดังก้องในใจสวี่ฮุ่ย ลูกโลหิตสีทองพองบวมอย่างรวดเร็ว พริบตาเดียวก็มีขนาดหลายร้อยจั้ง สีของมัน…ยังเปลี่ยนไป จากสีทองกลายเป็น…สีดำ!
สีดำเหมือนกับสีของฟ้ากระจ่างดาว คล้ายกับว่าหายไปกลางฟ้ากระจ่างดาวได้ เสวียนซางหน้าขาวซีด สีหน้าดูเหลือเชื่อ พวกเขาใช้สมบัติตระกูลเสวียนมาหลายครั้ง แต่มีเพียงครั้งนี้ที่สีมันเปลี่ยนเป็นสีดำ
สีดำแบบนี้ ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดตอนที่เขามองไปถึงพลันเกิดความรู้สึกชั่วร้ายแบบไม่มีที่สิ้นสุด เหมือนกับความรู้สึกตอนที่เจอซูหมิงเป็นครั้งแรกทุกประการ
เทียบกับความตะลึงงันและแปลกใจของคนอื่นแล้ว ในใจเสวียนซางกลับเต้นดังตึกๆ ถึงอย่างไรนี่ก็เป็นของวิเศษตระกูลเสวียน เขาจึงเข้าใจในตัวมันอย่างลึกซึ้งยิ่ง เขารู้ชัดว่าสีของโลหิตนี้เป็นตัวตัดสินว่ามันจะตกเป็นของใครหลังจากบรรจุทุกคนเข้าไป เดิมทีเขามีความมั่นใจมากว่าต่อให้เป็นซูหมิงกับสวี่ฮุ่ยก็ต้องถูกสมบัติล้ำค่าชิ้นนี้ดูดกลืน เข้าไป ถึงจะไม่ถูกตนควบคุม แต่ก็ทำได้เพียงเป็นส่วนหนึ่งที่ส่งพลังให้ คนที่ควบคุมการเปลี่ยนแปลงของสมบัติชิ้นนี้ก็คือตน
ทว่ายามนี้เมื่อโลหิตสีทองกลายเป็นสีดำ แม้เขายังรู้สึกว่าสมบัติยังมีการเชื่อมต่อกับสายเลือดตนอยู่ แต่กลับมีความรู้สึกเหมือนกับว่าทั้งๆ ที่มันเป็นของตน แต่มันกลับฟังคำพูดคนอื่น
ขณะขมขื่น สายตาที่มองซูหมิงก็มีความหวาดกลัวมากกว่าเดิม
ซูหมิงมองลูกโลหิตสีดำพลางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วก็ยิ้ม
“ข้าด้วย!” กระเรียนขนร่วงเห็นคนอื่นทำเช่นนี้กันแล้ว เพื่อไม่ให้ตนถูกทิ้งและเสียโอกาสได้หินผลึกในครั้งนี้ไป มันจึงตะโกนเสียงดังในบัดดล มันเป็นร่างมายา ในจุดนี้นอกจากซูหมิง ณ ที่นี้แล้วก็ไม่มีใครรู้ มันลืมตาค้างครู่หนึ่ง ก่อนปัดปลายนิ้วลงไป ไม่อยากเชื่อว่าจะมีโลหิตไหลออกมา จากนั้นก็หายเข้าไปในลูกโลหิต
ดูเหมือนหลอมรวม ทว่าทุกอย่างเป็นของปลอม
กระเรียนขนร่วงมีการเชื่อมต่อกับวิญญาณซูหมิงอยู่ ดังนั้นถึงจะไม่ได้เซ่นไหว้โลหิตก็มีค่าเท่ากัน
“ข้าเข้าใจหลักการของสมบัติชิ้นนี้คร่าวๆ แล้ว แต่ยังต้องให้สหายเสวียนช่วยด้วย” ซูหมิงมองเสวียนซาง
เสวียนซางยิ้มแห้ง ความรู้สึกถูกคนอื่นชิงอำนาจการควบคุมไปอย่างสง่าผ่าเผยแบบนี้ ถึงเขาจะไม่โกรธ แต่ก็หาทิศทางการขจัดความทุกข์ไม่พบ
“ต่อไป ทุกคนใช้มือสัมผัสลูกโลหิตก็จะถูกดูดเข้าไป จากนั้นลูกโลหิตจะเกิดการแปลงกาย” เสวียนซางเก็บความทุกข์ใจไป ในเมื่อความจริงเป็นเช่นนี้แล้ว ก็คงทำได้เพียงเดินหน้าต่อไป
กล่าวจบเขาก็เดินไปอยู่ข้างลูกโลหิตเป็นคนแรก ก่อนยกมือขวากดลงไป ทันใดนั้นร่างกายเขาหลอมรวมเข้าไปในลูกโลหิต จากนั้นก็ตามด้วยพวกอวิ๋นโหยวสามคน สวี่ฮุ่ยหันไปมองซูหมิงด้วยสีหน้าอ่อนโยน ก่อนหลอมรวมเข้าไปกลางลูกโลหิต
สุดท้ายก็เป็นซูหมิงกับกระเรียนขนร่วง ส่วนมังกรยมโลกซูหมิงเก็บไปแล้ว และยังมีอากาศธาตุตัวนั้น เขาก็ให้มันเข้าไปในมวลอากาศฟ้ากระจ่างดาวเพื่อรอการเรียก
ตอนที่ซูหมิงหลอมรวมเข้าไปในลูกโลหิต เขารู้สึกทันทีว่าร่างกายถูกของเหลวห่อหุ้มเอาไว้ มีการเชื่อมต่อประหลาดผุดขึ้นมาในความคิด เขารู้สึกถึงการคงอยู่ของพวกเสวียนซางสี่คน รู้สึกว่าสวี่ฮุ่ยอยู่ข้างกาย รู้สึกว่าขั้นพลังของทุกคนเหมือนจะหลอมรวมกันตามความคิดตนและกระจายสู่ข้างนอก
กระทั่งการเชื่อมต่อระหว่างพวกเขายังเป็นเพียงกระแสจิต เขาจึงรับรู้ได้ทั้งหมด
หากเปรียบลูกโลหิตสีดำเป็นร่างกายคน เช่นนั้นพวกซูหมิงในตอนนี้ก็คือวิญญาณที่ต่างกันหกดวงในร่างนี้