Skip to content

หนึ่งกระบี่นิจนิรันดร์ 381


บทที่ 381 ตกลงพี่สาว! (ปลาย)

……

บนเส้นทางราบเรียบ เยี่ยฉวนและทั่วปาเซียนเหยาขี่ม้าเพลิงโลกันตร์ซึ่งควบตะบึงอย่างสุดฝีเท้า……

……

พลันคนที่นั่งอยู่ข้างหน้าส่งเสียงถามขึ้นว่า “นี่ผู้ฝึกกระบี่ ข้าลืมชื่อของเจ้าไปเสียแล้ว! เจ้าชื่ออะไร?” ……

..

“ข้าชื่อเยี่ยฉวน!”

“เจ้าบรรลุเป็นจ้าวกระบี่แล้วใช่ไหม?”

“ถูก!”

“แต่ทำไมพลังของเจ้ายังอ่อนด้อยอย่างนี้?”

เยี่ยฉวนนิ่งงัน “……”

“ข้าพูดอะไรผิดหรือนี่?”

“เปล่า……อันที่จริงไม่ใช่ว่าพลังของข้าอ่อนด้อยหรอก แต่เป็นเพราะพลังของเจ้าแข็งแกร่งมากต่างหาก ดังนั้นไม่ว่าอัจฉริยะหรือยอดคน เมื่อมาอยู่ต่อหน้าเจ้าพวกเขาจะกลายเป็นอ่อนด้อยไปหมด!”

“นี่ผู้ฝึกกระบี่ ถึงพลังของเจ้าจะอ่อนด้อยไปสักหน่อย แต่เป็นคนซื่อสัตย์จริงใจ ข้าชักชอบเจ้าแล้วสิ!”

ชายหนุ่มนิ่งอั้น “……”

ยามนี้ปลอดการติดตามของคนจากฉางมู่และดินแดนอันธการ ดังนั้นการเดินทางจึงค่อนข้างสะดวกราบรื่นกระทั่งเข้าใกล้เมืองหลวงขึ้นทุกที

.

ภายในวังหลวงแห่งอาณาจักรต้าอวิ๋น

ท่ามกลางสวนพฤกษชาติงดงาม สตรีสวมชุดสีดำกำลังเดินจูงมือเด็กชายตัวน้อยผู้สวมผ้าคลุมมังกร คนทั้งสองเดินทอดน่องไปบนถนนโรยกรวด

พลันเด็กชายชะงักฝีเท้าหยุดเดิน พลางเอียงคอมองดูสตรีคนเดินเคียงข้าง “ท่านพี่ ท่านราชครูบอกกับข้าว่าข้าโตแล้ว! ถึงเวลาที่จะใช้อำนาจของตัวเองสักที!”

สตรีหันหน้ามามองเด็กชายตรงๆ “พระองค์ตอบว่าอย่างไร เพคะ?”

หากอีกฝ่ายไม่มีคำตอบ

หญิงสาวชุดดำแย้มยิ้มมุมปากพลางว่า “ทรงกังวลเรื่องการกุมอำนาจ ใช่ไหมเพคะ?”

เด็กชายตัวน้อยก้มหน้างุด

สตรียกมือขึ้นลูบผมบนศีรษะของเด็กชาย “อีกไม่นานหรอกเพคะ อำนาจทุกอย่างจะกลับมาอยู่ในมือของพระองค์! ข้าจะไม่แย่งชิงบัลลังก์กับพระองค์แน่!”

เมื่อพูดจบ หญิงสาวเหม่อมองไปยังที่หนึ่งที่มีกรงนกขมิ้นตัวน้อยแขวนอยู่!

สายตาทอดมองไปยังกรงนก พลันริมฝีปากบิดยิ้มเล็กน้อย “ถ้าไม่ถูกขังอยู่ในกรง เจ้านกน้อยก็จะได้บินอย่างอิสระเสรีไปในท้องฟ้ากว้างใหญ่อันไร้พรมแดน”

จากนั้นสตรีหันไปทางใครสักคนที่ยืนแอบอยู่ไม่ไกลนัก “แจ้งคำสั่งออกไป ราชครูใช้วาจาก้าวล่วงทำตัวไม่เหมาะสมให้จับตัวไปประหาร ตระกูลลี่สมคบกับคนภายนอกซ่องสุมกำลังและวางแผนก่อการกบฏ ต้องโทษประหารทั้งตระกูล ตระกูลกู่วางแผนการอย่างลับๆ เพื่อต่อต้านราชวงศ์มีโทษประหารทั้งตระกูล ตระกูลชิงคิดก่อการกบฏจับมาประหารทั้งตระกูล ตระกูลเทียนคิดกบฏประหารให้หมดทั้งตระกูล……”

นางยังพูดถึงตระกูลขุนนางใหญ่อีกกว่ายี่สิบตระกูลแทบไม่หายพักหายใจ ซึ่งตระกูลที่กล่าวมาทั้งหมดล้วนเป็นตระกูลร่ำรวยและทรงอิทธิพลในอาณาจักรต้าอวิ๋นทั้งสิ้น!

เมื่อได้ยินเช่นนั้น เด็กชายน้อยถึงกับตาเบิกกว้างด้วยความตกตะลึง

“พ่ะย่ะค่ะ!”

เสียงขานรับแผ่วเบาดังออกมาจากมุมมืด

เด็กชายหันมองหญิงสาวในแววตาเต็มไปด้วยคำถาม ทว่าสตรีกลับพูดยิ้มๆ ประหนึ่งเห็นเป็นเรื่องธรรมดา “อย่าทรงแปลกใจเลยเพคะ พวกนั้นเปรียบไปก็เหมือนเนื้อร้ายซึ่งควรจะตัดทิ้งเสียตั้งนานแล้ว เอ๊ะยังมีเนื้อร้ายอีกสองก้อนที่ยังเหลืออยู่นี่นะ แต่อีกไม่ช้าเราก็จะกำจัดออกไปเหมือนกัน”

จากนั้นนางจึงปล่อยมือเด็กชาย และเดินไกลออกไป

เด็กชายน้อยมิได้เดินตาม หากเขายังยืนอยู่ที่เดิมท่าที่ก้มศีรษะจนไม่อาจล่วงรู้ว่าเขากำลังคิดอะไร

สตรีเดินต่อไปอย่างช้าๆ กระทั่งฝีเท้าหยุดดชะงักตรงเบื้องหน้าสระน้ำกว้างในเขตพระราชฐาน คนที่กำลังยืนอยู่อีกชายฟากฝั่งคือมู่ซ่วนชิง

เขาค้อมกายแสดงคารวะต่อสตรี “แม่นางเหลียน!”

หญิงสาวเห็นท่าคนเข้าจึงเหยียดมุมปาก “ล้มเหลวสินะ อาจารย์ใหญ่มู่?”

มู่ซ่วนชิงใบหน้าหมองคล้ำ เขานิ่งไปชั่วครู่ก่อนจะค้อมตัวคารวะพลางเอ่ยว่า “โปรดส่งคนไปช่วยเราด้วยขอรับ แม่นางเหลียน”

“ส่งคนไปช่วย?!”

สตรีเหยียดมุมปากพลางส่ายศีรษะ “เพื่อช่วยสถานศึกษาฉางมู่ อาณาจักรต้าอวิ๋นต้องสูญเสียพลม้าเพลิงโลกันตร์ไปถึง 150 คน นอกจากนี้ข้าต้องโน้มน้าวแทบตายกว่าพวกทรงอำนาจตระกูลใหญ่ในเมืองจะยอมเชื่อ พูดตามตรงนะอาจารย์ใหญ่มู่ ข้าคิดว่าช่วยเจ้ามามากพอแล้ว!”

มู่ซ่วนชิงชำเลืองมองสตรีตรงหน้า ประกายตาลึกล้ำอย่างประหลาดฉายวาบ “แม่นางเหลียน ข้าไม่ได้โง่พอที่จะไม่รู้ว่า ท่านทำเป็นช่วยสถานศึกษาฉางมู่ แต่ความจริงแล้วท่านจะช่วยอาณาจักรต้าอวิ๋นต่างหาก ใช่ไหม?”

พลม้าเพลิงโลกันตร์ถูกสังหารตายกว่าสี่สิบ แต่อาณาจักรต้าอวิ๋นยังไร้การตอบสนอง เพียงเท่านี้มู่ซ่วนชิงก็มองออกแล้วว่าแม่นางเหลียนผู้นี้มีลับลมคมในที่ไม่ได้บอกกับเขา

สิ่งที่นางทำมีจุดมุ่งหมายเพื่อตัดกำลัง!

นางใช้พลังของเยี่ยฉวนเพื่อบั่นทอนกลุ่มอิทธิพลในอาณาจักรต้าอวิ๋น!

รอยยิ้มบางบนริมฝีปากของเหลียนว่านลี่เลือนหายไปทีละน้อย “อาจารย์ใหญ่มู่ อาณาจักรต้าอวิ๋นเสียพลม้าเพลิงโลกันตร์ไปถึง 150 ม้า แต่เจ้ายังมีหน้ามาพูดกับข้าแบบนี้ ข้ารู้สึกผิดหวังยิ่งนัก”

อีกฝ่ายหน้าตาเหยเกด้วยความว้าวุ่นใจ ครู่ใหญ่เขาจึงพยายามกล้ำกลืนฝืนยิ้ม “ใช่ จริงสิ เป็นความผิดของข้าเอง ที่มาครั้งนี้เพื่อขอให้ท่านได้โปรดช่วยเราอีกสักครั้ง แม่นางเหลียนโปรดสั่งปิดประตูเมืองรวมทั้งส่งกองทหารลาดตระเวนบริเวณภายนอกและตั้งค่ายกล เชื่อว่าเยี่ยฉวนจะไม่มีทางเข้ามาภายในเมืองได้แน่ขอรับ”

“เหตุใดข้าต้องเชื่อเจ้า?”

จากนั้นเหลียนว่านลี่เดินเข้ามาหยุดลงเบื้องหน้าอาจารย์ใหญ่มู่ ขณะจ้องมองชายวัยกลางคนตรงหน้าเต็มตา “เยี่ยฉวนสำเร็จขั้นจ้าวกระบี่ทั้งที่อายุไม่เท่าไร ในแผ่นดินชิงหาคนเช่นนี้ได้ยากนัก! ในฐานะคนของแผ่นดินชิงข้ากลับรู้สึกภาคภูมิใจในตัวเขาด้วยซ้ำ ถ้าแม้นไม่ได้เป็นสหายของเขา เราก็ไม่จำเป็นจะต้องถึงกับเข่นฆ่าเขาเลยนี่นา!”

เสียงพูดนั้นหยุดไปเพียงนิดเดียว ขณะคนพูดส่ายหน้าและถอนใจเบาๆ “อาจารย์ใหญ่มู่เพื่อเห็นแก่ตัวเจ้าเอง จะว่าไปเขาเป็นคนที่มาช่วยทำลายความอยุติธรรมด้วยซ้ำ เจ้าเองน่าจะหัดทำเรื่องดีๆ อย่างเขาบ้าง!”

คนกล่าวจบก็หันหลังเดินจากไปทางเดิม

ณ จุดเดิมมู่ซ่วนชิงใบหน้าบิดเบี้ยวเหยเกน่าเกลียดอย่างไม่อาจหาสิ่งใดมาเปรียบปราน ราวกับถูกบังคับให้กินอาจมกระนั้น!

“นางบอกให้ข้าหัดทำเรื่องดีๆ อย่างนั้นหรือ?”

“ตัวเจ้าเองเล่าเหลียนว่านลี่ เคยทำเรื่องดีๆ อะไรบ้าง? ใครๆ ก็รู้กันทั้งนั้นว่าเป็นเจ้าที่สังหารคนหน้าตาเฉยไม่ใช่หรือ? เจ้าเองที่ออกคำสั่งสังหารหมู่เชื้อพระวงศ์แห่งราชสำนักอาณาจักรต้าอวิ๋น!”

“เจ้ายังมีหน้ามาบอกให้ข้าทำเรื่องดีๆ!”

มู่ซ่วนชิงโมโหเดือดจนแทบกระอักเป็นโลหิต บัดนี้เขาได้รู้แล้วว่าสตรีเบื้องหน้าเล่นไม่ซื่อกับสถานศึกษาฉางมู่ ดินแดนอันธการ และตระกูลขุนนางผู้ทรงอิทธิพล!

พวกเขาทำผิดพลาดใหญ่หลวง!

ทันใดนั้นเหลียนว่านลี่ซึ่งเดินไปไม่ไกลนักจึงชะงักหยุดกระทันหัน และหันมาส่งยิ้มให้อย่างกว้างขวาง “อาจารย์ใหญ่มู่ ขอเตือนด้วยความหวังดี เยี่ยฉวนใกล้จะมาถึงในอีกไม่ช้านี้แล้ว!”

จากนั้นคนพูดหันขวับเดินลอยชายจากไป พร้อมกับเสียงฮัมเป็นท่วงทำนองสั้นๆ ที่ฟังไม่ชัดเจน

อีกฝ่ายได้แต่มองตามหลังเหลียนว่านลี่ด้วยแววตาเย็นชา ทว่าเขาพูดอะไรไม่ออกด้วยไม่ว่าจะพูดอย่างไรออกไป ก็มีแต่ความละอายแก่ใจ! จึงได้แต่หันหลังให้และกลับออกจากสถานที่ไปอย่างเงียบเชียบ

ณ สถานศึกษาฉางมู่

ขณะกำลังยืนหันหน้าไปทางศาลเจ้าฮ่าวหรัน มู่ซ่วนชิงแหงนมองกระบี่ด้านบนซึ่งปักคาอยู่เหนือศีรษะ เขายืนนิ่งอยู่ที่เดิมเป็นเวลาเนิ่นนานนับได้กว่าครึ่งชั่วยามแล้ว

“เซียนกระบี่!”

คนเปล่งเสียงหัวเราะให้กับตัวเอง “พลังของเซียนกระบี่ บีบหัวใจคนฉางมู่จนอึดอัดราวจะขาดใจ!”

เมื่อเขาหันหลังกลับจึงพบว่า มีศิษย์และบรรดาคณาจารย์และผู้อาวุโสของสถานศึกษาฉางมู่กำลังยืนรวมกลุ่มกันอยู่ด้านหลัง

ทุกคนมองมาที่มู่ซ่วนชิง จากนั้นศิษย์คนหนึ่งก้าวเท้าออกมาข้างหน้า “อาจารย์ใหญ่ขอรับ ถ้าเยี่ยฉวนมาที่สถานศึกษาฉางมู่ของเรา ข้าจะออกไปต่อสู้กับเขาเป็นคนแรก ข้าจะแสดงให้คนทั้งโลกได้รู้ว่าศิษย์และคนของฉางมู่เก่งกาจกล้าหาญ ขอรับ!”

“พวกเราจะสู้ด้วยขอรับ!”

เวลานั้นเสียงโห่ร้องของศิษย์ฉางมู่ตะโกนดังกึกก้องเป็นเสียงเดียว

แววตาเครียดขรึมของมู่ซ่วนชิงปรากฏบ่งชัดว่าเบาใจเล็กน้อย “อย่างไรเสียศิษย์ฉางมู่ก็ยังคงกล้าหาญและมุ่งมั่น ไม่เปลี่ยนแปลง”

ในขณะนั้นเอง จ้าวทมิฬโผล่ขึ้นเบื้องหน้ามู่ซ่วนชิง “เยี่ยฉวนกำลังจะเข้าเมืองมาแล้ว”

“เขามาแล้ว!”

ฉับพลันทั่วทั้งบริเวณกลับมีแต่ความเงียบงัน!

ภายนอกเมืองหลวงอาณาจักรต้าอวิ๋น เยี่ยฉวนและทั่วปาเซียวเหยากำลังนั่งอยู่บนหลังม้าเพลิงโลกันตร์ซึ่งวิ่งเหยาะๆ ตรงไปทางประตูเมืองที่อยู่ไม่ไกลนัก

“เซียวเหยา เจ้าฝึกอย่างไรจึงแข็งแกร่งเช่นนี้? สอนข้าได้ไหม?”

“สอนให้ไม่ได้หรอก เกิดมาข้าก็เป็นแบบนี้แล้ว!”

“เฮ้อ ข้าอยากแข็งแกร่งเหมือนเจ้าบ้างก็เท่านั้น โชคร้ายจริงเห็นทีชั่วชีวิตของข้าคงไม่อาจประสบความสำเร็จก็เป็นได้”

“ที่จริง……เจ้าก็ไม่แย่ เพียงพบกันแวบเดียวเจ้าสามารถมองพลังของข้าได้อย่างทะลุปรุโปร่ง ย่อมแสดงว่าเจ้าเองไม่ธรรมดาเอามากๆ คนหนึ่งทีเดียว”

“เจ้าพูดถูกเซียวเหยา ต่อไปเจ้าเรียกข้าว่าพี่ชายก็ได้ จะว่าอย่างไร? ข้าจะได้คอยดูแลไม่ให้ใครมากลั่นแกล้งเจ้าได้!”

“ไม่ได้ ไม่เด็ดขาด! เจ้าซิต้องเรียกข้าว่าพี่สาว และข้าจะเป็นคนคอยปกป้องและคอยช่วยเหลือ เวลาที่มีคนพยายามกลั่นแกล้งเจ้ายังไงล่ะ!”

“ตกลงพี่สาว!”

ทั่วปาเซียวเหยาอมยิ้ม “……”

ACAC

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version