บทที่ 551 สุสานกระบี่! (ต้น)
เยี่ยฉวนพูดจบ ก็หันหลังและเดินอ้าวๆ ผละหนีไปโดยไม่ลังเล……
เห็นดังนั้นผู้ทรงเกียรติลู่จึงโกรธจนหน้าเขียว เหลือบมองไปทางคนของสำนักชางเจี้ยนด้วยสีหน้าบึ้งตึงแววตาเย็นเยียบ แต่มิได้พูดว่าอะไรแล้วหันขวับพร้อมหายวับไปจากท้องฟ้า……
ศิษย์สำนักชางเจี้ยนทุกคนที่อยู่ในลานต่างรู้สึกถึงน้ำหนักซึ่งกดทับลงมากลางใจ
สำนักผู้ตรวจการเขตแดน!
ในโลกชิงฉางกองกำลังแห่งนี้จัดว่าเป็นผู้ทรงอิทธิพลระดับต้น!
ณ วันนี้สำนักชางเจี้ยนและสำนักผู้ตรวจการเขตแดนกำลังเดินหน้าสู่ความขัดแย้งเต็มตัว จะบอกว่าศิษย์ชางเจี้ยนไม่กังวลเอาเสียเลยจึงเป็นไปไม่ได้
ถึงกระนั้นพวกเขาไม่ได้รู้สึกเกรงกลัวสำนักผู้ตรวจการเขตแดนแม้แต่น้อย!
ผู้ฝึกกระบี่!
ผู้ฝึกฝนกระบี่ของสำนักชางเจี้ยนหาใช่ผู้ฝึกกระบี่ที่มีอยู่ดาษดื่นทั่วไป คนเหล่านี้ส่วนใหญ่ไม่รู้จักคำว่าหวาดกลัว!
พลันมีเสียงใครบางคนพูดขึ้นมาว่า “ศิษย์พี่อานเยี่ย ดูเหมือนท่านสำเร็จขั้นราชันย์กระบี่แล้วใช่ไหมขอรับ?”
คำพูดของคนคนนั้นทำให้คนอื่นพากับเงียบเสียงลงทันที
ทุกคนมัวแต่สนใจเรื่องการเปิดเผยตัวของผู้ทรงเกียรติลู่ จนเกือบจะหลงลืมไปว่าครู่ก่อนเยี่ยฉวนได้สำแดงพลังผลักกระบี่แห่งราชันย์กระบี่……
ณ คฤหาสน์บนยอดเขาอวิ่นเจี้ยน
เยี่ยฉวนกำลังยืนเผชิญหน้าอยู่กับชายวัยกลางคนผู้หนึ่ง เขาก็คือเฉินเป่ยฮั่น เจ้าสำนักชางเจี้ยน
เป็นเฉินเป่ยฮั่นที่เอ่ยถามขึ้นมาก่อนว่า “เจ้าต้องการไปจากสำนักชางเจี้ยนแล้วอย่างนั้นหรือ?”
ชายหนุ่มพยักหน้าน้อยๆ “ข้ารู้ดีว่าเรื่องเกิดขึ้นทั้งหมดเกี่ยวข้องกับข้า และเหตุผลที่มาที่นี่ก็เพื่อฝึกฝนเคล็ดการควบคุมกระบี่ ซึ่งทำให้ข้าได้เรียนรู้เกี่ยวกับกระบี่แห่งเต๋าในแง่มุมอื่นด้วย”
คนตรงข้ามจึงถามอีกฝ่ายไปว่า “เจ้าคิดว่าสำนักชางเจี้ยนต้องเข้ามาพัวพันเป็นเพราะเจ้างั้นสิ?”
เยี่ยฉวนนิ่ง ไม่ตอบคำถามในทันที
ความจริงแล้ว ตั้งแต่เกิดเรื่องจนถึงตอนนี้ เขาเริ่มรู้สึกว่าเรื่องทั้งหมดออกจะมีเบื้องหน้าเบื้องหลังอยู่บ้าง
อีกทั้งสัญชาตญาณได้บอกกับตนว่าสำนักชางเจี้ยนมีแผนการอะไรบางอย่าง
คนเจ้าสำนักเมื่อเห็นอีกฝ่ายนิ่งเงียบ จึงยิ้มบางและพูดต่อว่า “จำไว้ว่าเวลานี้เจ้าคืออานเยี่ย ไม่ใช่เยี่ยฉวน และเวลานี้เจ้าคือศิษย์สำนักชางเจี้ยน ไม่ใช่อาจารย์ใหญ่แห่งสถานศึกษาฉางหลาน”
จากนั้นเขายกมือวางลงบนบ่าของชายหนุ่มตรงหน้า “ไปที่สุสานกระบี่ แล้วเจ้าจะแปลกใจ”
พูดจบก็หันหลังเดินกลับออกไปทันทีโดยไม่รอฟังคำตอบ
สุสานกระบี่?
เยี่ยฉวนยังยืนอยู่ที่เดิมสีหน้าครุ่นคิด และในที่สุดก็ตัดสินใจได้ว่าไปดูเสียหน่อยไม่น่าเสียหาย
ชั่วครู่หนึ่งเขาเดินมาถึงยังสุสานกระบี่แห่งสำนักชางเจี้ยน
หุบเขาอันเป็นที่ตั้งของสุสานกระบี่นั้นแยกออกไปอีกทีหนึ่ง ความจริงแล้วสถานที่นี้ตั้งอยู่ที่จุดกึ่งกลางหุบเขา ตรงประตูทางเข้ามีชายชรานอนหลับสนิทเฝ้าอยู่คนหนึ่ง ในมือกุมกระบี่มีเสียงกรนดังมาให้ได้ยิน
เยี่ยฉวนทำท่าคารวะอีกฝ่ายพลางเอ่ยเสียงดัง “ข้าทำตามคำแนะนำของท่านเจ้าสำนัก ให้มาเห็นเรื่องแปลกใจขอรับ!”
คนตรงข้ามยังหลับสนิทไม่หือไม่อือ
ชายหนุ่มหัวเราะออกมาเบาๆ พร้อมก้าวตรงเข้าไป
ปณิธานกระบี่!
เมื่อเดินเข้าไปภายในสุสาน เยี่ยฉวนรับรู้ได้ทันทีถึงพลังปณิธานกระบี่ ซึ่งมิได้มีเพียงพลังปณิธานทว่ามีมากมายนับไม่ถ้วน!
ไม่มีจุดสิ้นสุด ดุจมหาสมุทรกว้างใหญ่ไร้ขอบเขต!
ชายหนุ่มมีสีหน้าครุ่นคิด ขณะเท้ายังคงก้าวไปข้างหน้าเรื่อยๆ ไม่นานต่อมาเขาเดินมาหยุดในบริเวณซึ่งเต็มไปด้วยกระบี่ตรึงแน่นอยู่กับพื้นดิน กลายเป็นว่าพลังปณิธานกระบี่มากมายถูกปลดปล่อยมาจากกระบี่เหล่านี้เอง!
บานตะไท!
เหลือคณานับ!
ยิ่งไปกว่านั้นระดับชั้นของกระบี่แต่ละเล่มหาใช่ระดับกระจอกงอกง่อยเลยไม่ ในจำนวนเหล่านั้น ขนาดกระบี่ขั้นสวรรค์ยังมีให้เห็นทั่วทุกที่!
รากฐาน!
ที่นี่เป็นหนึ่งกองกำลังเก่าแก่อีกแห่งแล้ว ที่เยี่ยฉวนได้เห็นถึงความมั่นคงแห่งรากฐาน!
แม้ในความรู้สึกของตนเองว่าร่ำรวยแล้วประมาณหนึ่ง หากเมื่อเทียบกับกองกำลังเก่าแก่ เขาก็ไม่ต่างอะไรกับยาจกเข็ญใจคนหนึ่ง
สองเท้าของเยี่ยฉวนยังพาเดินต่อไปเรื่อยๆ จนกระทั่งเดินลึกเข้าไปด้านในของสุสาน และได้พบว่าในนั้นมีกระบี่สวรรค์ชั้นยอดจำนวนหนึ่งเลยทีเดียว
ชายหนุ่มเข้าใจแล้วว่าขั้นกระบี่ยิ่งสูง พลังปณิธานกระบี่ยิ่งแรงกล้าขึ้นเป็นลำดับ อีกทั้งพลังปณิธานที่เห็นเป็นเพียงเศษเสี้ยวของพลังปณิธานกระบี่ของบรรดาปรมาจารย์กระบี่ที่ทิ้งไว้เท่านั้น
เยี่ยฉวนมองดูด้วยความรู้สึกสะท้อนในอารมณ์
ถ้าวันหนึ่งเขาตายลง ต่อไปจะเหลือเพียงพลังปณิธานกระบี่ทิ้งไว้ให้ชนรุ่นหลังแบบนี้……
พลันเจ้าตัวสะบัดศีรษะอย่างแรงขจัดความคิดในแง่ลบออกไปจากจิตใจทันที เขาเดินต่อไปข้างหน้าขณะก้าวไปได้เพียงสองก้าว ทันใดนั้นฝีเท้าชะงักหยุดสีหน้าระคนสงสัย “ข้ากำลังมองหาอะไรกันแน่?”
ดูเหมือนฉุกคิดได้บางอย่าง ชายหนุ่มเหลียวมองบริเวณโดยรอบ ที่นี่มีกระบี่มากมายก่ายกอง ถ้าเขากลืนกระบี่……อย่างน้อยอาจทำให้บรรลุขั้นพลังควบยุทธ์สะท้านภพได้เป็นแน่!
กลืนกระบี่!
พอมาคิดอีกทีเยี่ยฉวนออกท่าทางลังเลเล็กน้อย เจ้าสำนักไม่ได้บอกว่าให้เขาสูบกลืนกระบี่พวกนี้ คงไม่เป็นการสมควรหากเขาจะทำเช่นนั้น
แต่ปัญหาอยู่ที่ว่า เจ้าสำนักมิได้หวงห้ามมิให้เยี่ยฉวนกระทำเช่นนั้น!
เมื่อคิดได้ดังนี้ชายหนุ่มค่อยรู้สึกโล่งใจขึ้นมาเปลาะหนึ่ง จากนั้นจึงดึงกระบี่เล่มที่ใกล้ตัวขึ้นมาและกดเข้าสู่ร่างกายตรงบริเวณหน้าอกทันที
ตูม!
ในขณะนั้นเองลมหายใจหนักหน่วงพลุ่งออกจากร่าง ไม่เพียงเท่านั้นพลังปณิธานกระบี่ชั่วร้ายแผ่ซ่านกระจายสู่ภายนอกอย่างรวดเร็ว!
กระบี่เล่มเดียวจะพอได้อย่างไร?
ดังนั้นเขาจึงดึงกระบี่อีกเล่มขึ้นมาถือ ก่อนจะกระแทกเข้าสู่หน้าอกอีกครั้ง
ชายหนุ่มกลืนกระบี่ต่อไปเช่นนี้เรื่อยๆ ในเวลาชั่วไม่นานเขาสูบกระบี่กลืนแล้วทั้งสิ้นกว่า 30 เล่ม หนึ่งในจำนวนนั้นมีกระบี่สวรรค์ด้วย……
เป็นเรื่องปกติในเมื่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นภายในสุสานหาใช่เรื่องเล็กๆ ไม่นานนักชายชราที่เฝ้าประตูจึงตื่นขึ้นมา คนเฒ่ารีบเข้าไปในสุสานกระบี่ เมื่อเห็นคนที่อยู่ด้านในก็ถึงกับเบิกตาด้วยความตกตะลึง “เฮ้ย! ทำอะไร!”
อีกฝ่ายไม่ตอบ ขณะมือดึงกระบี่กดเข้าหน้าอกของตัวเองตามปกติ ชายชราเมื่อเห็นถนัดตาสีหน้าพลันแปรเปลี่ยนรวดเร็ว ทว่าเขาทำท่าราวกับฉุกใจบางอย่างจึงหยุดเสีย
ถ้าเขาเข้าไปยับยั้งเยี่ยฉวนในตอนนี้ ชายหนุ่มคงต้องได้รับความทุกข์ทรมานจากอาการข้างเคียงเป็นแน่!
ชายชราลังเลอยู่ครู่เดียวจากนั้นร่างจึงค่อยๆ สั่นน้อยๆ เขามุ่งหน้ากลับไปที่ยอดเขาชางเจี้ยนและเข้าพบเจ้าสำนักเฉินเป่ยฮั่นเพื่อรายงานเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
เมื่อได้ฟังเรื่องราว เฉินเป่ยฮั่นนิ่วหน้าเล็กน้อย “เขาแทงกระบี่เข้าร่างกายงั้นหรือ?”
อีกฝ่ายพยักหน้าแทนคำตอบ
เจ้าสำนักจึงหันมาบอกเสียงห้าว “เจ้ามากับข้า ไปดูให้เห็นว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่!”
