บทที่ 857 : นครอานุภาพ? สำนักกระบี่?
เขาไม่ได้มาจากโลกสี่มิติ!
เยี่ยฉวนนิ่งเงียบอยู่เป็นนาน
แรกเริ่มเดิมที ภายในจิตใต้สำนึกสันนิษฐานว่าทุกคนในหอคอยล้วนมาจากโลกสี่มิติ ตอนนี้ดูเหมือนจะเข้าใจผิดมาตลอด
ถ้าคนที่ถูกขังอยู่ในชั้นที่หกไม่ได้มาจากโลกสี่มิติ……ซึ่งเป็นไปได้ว่าคนผู้นั้นอาจมาจากโลกห้ามิติ
โลกห้ามิติ……งั้นหรือ?
เยี่ยฉวนสั่นศีรษะ ริมฝีปากปรากฏรอยยิ้มขื่น
เพิ่งสะสางคนชั้นที่ห้าได้เปลาะหนึ่ง แต่กลับเริ่มมีเค้าลางคนที่ชั้นหกขึ้นมาอีก…
ปัญหามากมายไม่รู้จักจบจักสิ้น!
ขณะนั้นเว่ยหยางเทียนตรงมาหาเยี่ยฉวน “เรียบร้อยไหม?”
ชายหนุ่มพยักหน้า “สำหรับตอนนี้……ขอรับ!”
สตรีได้ฟังคำตอบแล้วจึงพยักหน้า “ไปพักกันก่อน!” เยี่ยฉวนรับคำหันกลับออกไป
สงครามยุติลง
คนของสำนักแมวดำรวมทั้งดินแดนจักรวาลดาวเว่ยหยางพากันกลับออกจากพื้นที่
ไม่มีการโห่ร้องหรือชื่นชมยินดี
เพราะผู้คนของทั้งสองฝ่ายต่างล้มตายไปเป็นจำนวนมาก!
แม้ว่าครั้งนี้ชัยชนะจะเป็นของดินแดนจักรวาลดาวเว่ยหยาง……หากแต่มีชัยภายใต้ความย่อยยับ!
โม่เยี่ยทะยานลงไปด้านล่าง ก่อนจะเดินไปหยุดยังสถานที่แห่งหนึ่ง ที่นั่นเป็นที่ที่จั่วชิงระเบิดชีพสละตัวเอง สายตาตกต้องแน่นิ่งอยู่บนพื้นดินโม่เยี่ยยืนมองเช่นนั้นอยู่นาน
พลันต่อมาชายชราหลังโก่งเดินตามมายืนข้างโม่เยี่ย คนที่เพิ่งมาถึงใช้มือตบลงบนบ่าของอีกฝ่ายเบาๆ เป็นเชิงให้กำลังใจ “เขาเป็นคนที่ยอดเยี่ยม!”
โม่เยี่ยเงยมองเข้าไปในจักรวาลดาราก่อนจะเอ่ยเสียงแผ่ว “อาจารย์ขอรับ สำนักแมวดำไม่ควรนิ่งนอนใจกับความสงบสุขเพียงชั่วครู่ชั่วยาม!”
ชายชราหลังโก่งหันไปทางผู้พูดอย่างสนใจ “เจ้าจะทำอะไร?”
สายตาของโม่เยี่ยมองเข้าไปในจักรวาลดาราส่วนที่ลึกล้ำ “ข้าอยากแข็งแกร่งยิ่งกว่านี้! เพื่อแก้แค้น!” คนตรงข้ามนิ่งเงียบ
โม่เยี่ยกล่าวว่า “ข้าอ่อนแอสิ้นดี! อยากแข็งแกร่งกว่าเดิม แข็งแกร่งยิ่งกว่าผู้นำสูงสุดแห่งจักรวาลดวงดาว ขอเพียงมีพลังแข็งแกร่ง สำนักแมวดำจะไม่ถูกข่มเหง คนของเราไม่ต้องมาตายอย่างน่าสลดเช่นนี้!”
หลังจากนั้นเขาหมุนตัวเดินออกจากสถานที่ไป
ชายชราหลังโก่งคงนิ่งเงียบอยู่เช่นนั้น
อีกด้านหนึ่ง
เยี่ยฉวนมาถึงยังกำแพงเมือง ทันใดนั้นทะยานขึ้นไปบนขอบกำแพงพลันจ้านจุนปรากฏกายขึ้นเบื้องหน้า จากนั้นคว้าตัวเยี่ยฉวนก่อนจะออกวิ่งไปทันที
ไม่นานต่อมาจ้านจุนพาเยี่ยฉวนมาถึงหอศิลา
ภายในหอศิลา ร่างของชายหัวโล้นนอนเหยียดยาวอยู่บนพื้น ปราศจากลมหายใจ!
เยี่ยฉวนมองภาพตรงหน้าด้วยความงุนงง
ยามนั้นนัยน์ตาทั้งสองของจ้านจุนแดงช้ำ “ราวครึ่งชั่วยามก่อนเขาได้รับบาดเจ็บสาหัส ข้าเป็นคนพากลับมาหอศิลา… ไม่ยอมให้บอกเจ้าว่าเกิดอะไรขึ้น…”
เยี่ยฉวนเดินเข้าไปใกล้ชายหัวโล้น สายตามองไปที่ร่างซึ่งไม่ไหวติงอีกต่อไปเบื้องหน้า มือทั้งสองข้างกำแน่น นิ่งเงียบไปเป็นเนิ่นนาน
เขารู้จักชายหัวโล้นไม่นานนักทว่าภายในใจ ความรู้สึกของเยี่ยฉวนนับถืออีกฝ่ายเสมือนพี่น้องคนหนึ่ง!
ผู้คุมกฎ!
เยี่ยฉวนถอนหายใจลึก “พี่ชายหลับให้สบายเถอะ ความตายของท่านจะไม่สูญเปล่าแน่……จะไม่มีใครต้องตายเปล่า!”
แก้แค้น!
เยี่ยฉวนตั้งมั่นไว้ในจิตใจแล้วอย่างเด็ดขาด!
ยิ่งไปกว่านั้นเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้นในเวลานี้ทำให้ชายหนุ่มรู้ว่าตราบใดที่ในร่างยังมีหอคอย จะต้องมีคนอีกมากมายนับไม่ถ้วนนำความเดือดร้อนมาให้!
ถึงอย่างไรก็ต้องเผชิญปัญหาความเดือดร้อน แทนที่เขาจะเลือกนั่งรอคอยให้ความตายมาเยือน เมื่อนั้นไม่สู้เป็นฝ่ายเริ่มต้นลงมือก่อนดีกว่า!
ครู่หนึ่งต่อมาหลังจากที่เยี่ยฉวนและจ้านจุนจัดการฝังศพชายหัวโล้นเสร็จสิ้น ชายหนุ่มหันหลังเดินจากไปทันที
ทันใดนั้นเสียงจ้านจุนดังมาจากด้านหลัง “เขาต้องตายเพราะข้า… เขาพยายามช่วยชีวิตข้า!”
เยี่ยฉวนชะงักฝีเท้า
จ้านจุน ชายหนุ่มท่าทีองอาจกล้าหาญ มีหัวใจแกร่งดั่งเพชร เวลานั้นเปล่งเสียงร่ำไห้เป็นเด็กน้อย “เจ้าโง่! งี่เง่าอะไรอย่างนี้!”
เยี่ยฉวนพึมพำเสียงแผ่ว “บอกลาเขาให้ข้าด้วย!”
หลังจากนั้นร่างได้วาบหายออกไปในระยะไกล
เบื้องหลัง ที่หน้าหลุมฝังศพของชายหัวโล้น จ้านจุ้นนั่งคุกเข่าอยู่ที่เดิมเป็นเวลานาน
เยี่ยฉวนไม่ได้ย้อนกลับไปที่หอศิลาแต่อย่างใด เขาเดินเข้าไปในป่าลึกไม่นานต่อมาเมื่อ ได้มาถึงยังสถานที่ที่หนึ่ง ชายหนุ่มทรุดฮวบลงไปกองอยู่กับพื้นทันที
อ่อนแรง!
กระบี่เจิ้นหุนถูกทำลายเสียแล้ว ย่อมหมายความว่าชายหนุ่มไร้ซึ่งจุดตันเถียนภายใน ตอนนี้ไม่สามารถฝึกฝนการบ่มเพาะพลังได้อีกแล้ว
ด้วยกระบี่เสมือนจุดตันเถียนเทียบได้กับฐานราก
อย่างไรก็ตาม ไม่ได้หมายความว่าเขาจะกลายเป็นคนอ่อนแอไปโดยปริยาย ท้ายที่สุดแล้วขั้นพลังและทักษะวิชาจะยังคงอยู่
ในป่าลึกเยี่ยฉวนนั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้นดิน ฝ่ามือสองทั้งสองข้างยื่นออกไปเบื้องหน้า ตรงกลางฝ่ามือมีเศษซากของกระบี่เจิ้นหุนที่แตกหัก
ขณะมองเศษกระบี่เจิ้นหุนบนฝ่ามือ เสียงเรียกของชายหนุ่มรำพึงออกมาอย่างแผ่วเบา “อาหุน……”
ไร้เสียงตอบรับจากอีกฝ่ายอย่างสิ้นเชิง……
เยี่ยฉวนใช้สองมือกำเศษกระบี่เอาไว้ จากนั้นไม่นานพลังปณิธานกระบี่ปรากฏขึ้นรอบตัวตรงเข้าหุ้มห่อกระบี่เจิ้นหุนที่แตกเสียหายเอาไว้
คืนสภาพเดิม!
เขาเชื่อว่าทั้งผู้ใช้กระบี่และจักรพรรดิซิงไม่โกหกอย่างแน่นอน!
ถึงกระนั้นผ่านไปร่วมหนึ่งชั่วยาม พลังปณิธานกระบี่ยังไม่สามารถคืนสภาพให้กระบี่เจิ้นหุนได้……
พลังปณิธานใช้ไม่ได้อย่างนั้นหรือ?
หัวคิ้วชายหนุ่มขมวดแน่นกดจนเป็นร่องลึก
หลังจากนั้นชั่วครู่จึงเริ่มใหม่อีกครั้ง ในครั้งนี้ไม่รีบเร่งทว่าค่อยเป็นค่อยไป
พลังปณิธานกระบี่!
เยี่ยฉวนสัมผัสได้ถึงพลังปณิธานกระบี่ที่ถูกเศษกระบี่เจิ้นหุนดูดซับพลังในขณะนั้น เขาจึงทำต่อไปเรื่อยๆ กระทั่งผ่านไปเกือบหนึ่งชั่วยามและท้ายที่สุดลมหายใจแผ่วเบาชนิดหนึ่งปรากฏมาให้ได้สัมผัส!
ความรู้สึกสัมผัสลมหายใจแผ่วเบาที่ว่านั่น ทำให้เยี่ยฉวนเกือบทะลึ่งพรวดด้วยความตื่นเต้น! ทว่าพยายามยับยั้งชั่งใจ เฝ้าสัมผัสลมหายใจไปพร้อมกับพลังปณิธานกระบี่ต่อไป ขณะต่อมาชายหนุ่มเริ่มใช้พลังปณิธานต่างเกลียวเชือกผูกโยงเศษแตกหักเหล่านั้นเข้าด้วยกันทีละชิ้นๆ
วิธีเดียวที่พอจะหาทางออกได้!
ต่อมาอีกครึ่งชั่วยาม พลังปณิธานกระบี่ของเยี่ยฉวนผูกโยงเศษเสี้ยวของกระบี่เจิ้นหุนเข้าด้วยกันจนสำเร็จเสร็จสิ้น!
ชายหนุ่มมองดูกระบี่เจิ้นหุนเบื้องหน้าด้วยสีหน้าวิตกทุกข์ร้อน “เจ้าหุน?”
ไร้การตอบสนอง……
เยี่ยฉวนผิดหวังเป็นอย่างยิ่ง ล้มเหลวงั้นหรือ?
ขณะนั้นเองเสียงเบาหวิวดังมาจากข้างหน้า “นายท่าน……”
คนรีบเรียกเสียงเร็ว “เจ้าหุน!”
เสียงของเจ้าหุนถามว่า “นานท่านใช้พลังปณิธานกระบี่คืนสภาพให้ข้า……งั้นหรือ?”
เยี่ยฉวนพยักหน้า “ใช่แล้ว! ตอนนี้รู้สึกอย่างไรบ้าง?”
เสียงตอบแผ่วเบา “อ่อนแรงมากทีเดียว……คงต้องใช้เวลาฟื้นพลังสักพัก”
คนรีบผงกศีรษะรับทราบทันที “ได้สิ ตามสบาย!”
เจ้าหุนพูดอีกว่า “นายท่าน……พลังปณิธานกระบี่ของนายท่านใช้กับข้าได้ผลดี ต่อไปนี้ส่งพลังปณิธานกระบี่มาให้ทุกวันจะได้ไหม?”
เยี่ยฉวนตอบรับด้วยความเต็มใจ “ได้อยู่แล้ว!”
อีกฝ่ายส่งเสียงตอบ “ขอบใจท่านมาก! ข้าต้องไปพักแล้ว”
บัดนี้ ในที่สุดความวิตกกังวลภายในใจของเยี่ยฉวนมลายหายวับไป
เคราะห์ยังดีที่เจ้าหุนไม่เป็นอะไร!
พลันเขาหมุนตัวหันกลับกะทันหัน ไม่ห่างออกไปอันหลานซิ่วยืนมองมาเงียบๆ
เยี่ยฉวนรีบเดินเข้าไปหา อันหลานซิ่วจึงถามทันที “ทุกอย่างเรียบร้อยดีไหม?”
คนถูกถามยิ้มตอบ “แน่นอน……เรียบร้อยดี!”
หญิงสาวจึงถามต่อไปว่า “เจ้าคิดจะทำอย่างไรต่อไป?”
เสียงตอบเคร่งขรึมจริงจัง “ข้าจะไปจากที่นี่!”
คนตรงหน้ามองชายหนุ่มตรงๆ ขณะที่ฝ่ายนั้นยังพูดต่อไปว่า “ถ้าไม่ไปจะมีคนอีกมากมาที่นี่ ยิ่งกว่านั้นผู้นำสูงสุดแห่งจักรวาลดวงดาวคงไม่ยอมให้เป็นเช่นนี้ ข้าไม่อยากดึงใครเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย”
เขาไม่ลืมว่าผู้นำสูงสุดแห่งจักรวาลดวงดาวยังมีชีวิตอยู่!
แม้ว่าคนผู้นั้นจะพ่ายแพ้อย่างสิ้นเชิง ทว่าสัญชาตญาณบางอย่างบอกว่าฝ่ายตรงข้ามคงไม่ปล่อยให้เป็นเช่นนี้ตลอดไปอย่างแน่นอน
ถึงแม้ผู้นำสูงสุดแห่งจักรวาลดวงดาวจะรามือ ตัวเขานั่นเองที่จะไม่ยอมปล่อยให้เป็นแบบนี้!
เขาเป็นคนที่ผูกใจเจ็บ จึงต้องแก้แค้น!
อันหลานซิ่วหันไปมองจักรวาลดาราที่อยู่ไกลโพ้น “เจ้าพูดถูก พวกเราต้องไปจากที่นี่ ออกไปเผชิญโลกกว้าง!”
เยี่ยฉวนชะงักงัน “เจ้าจะออกไปด้วยงั้นหรือ?”
สายตาของอันหลานซิ่วเบนมองอีกฝ่าย “ข้าทำไม่ได้……งั้นหรือ?”
ชายหนุ่มจึงตอบยิ้มๆ “ไปได้สิ! ถ้างั้นเราไปด้วยกันเถอะ!”
อันหลานซิ่วพยักหน้าเล็กน้อย หากไม่พูดอะไรอีก
ในขณะนั้น ไม่ไกลเท่าใดมีชายสวมผ้าคลุมสีดำกำลังมุ่งหน้าตรงมาทางเขาสองคน
ชายคนนี้เป็นคนเดียวกันกับคนที่มาช่วยเยี่ยฉวนก่อนหน้านั่นเอง
เยี่ยฉวนมองชายสวมผ้าคลุมดำซึ่งถอดหน้ากากสีดำสนิทที่สวมทับใบหน้าออก ชายหนุ่มเห็นคนที่มาถึงกับตกตะลึงไปทันที “ท่านนี่เอง!”
ที่แท้คนที่อยู่ตรงหน้าเยี่ยฉวนคือหลินฉงอวิ๋น!
หลินฉงอวิ๋นรีบสาวเท้าเดินตรงมายังเยี่ยฉวนพร้อมกับยิ้มเป็นเชิงทักทาย “น้องชายเป็นอย่างไรกันบ้าง!”
เยี่ยฉวนค้อมตัวต่ำคารวะขอบคุณ “ขอบคุณที่ก่อนหน้านี้มาช่วยข้าไว้!”
คนที่เพิ่งเข้ามายิ้มรับ “น้องชาย ด้วยความยินดี”
ว่าแล้วคนตรงข้ามสีหน้าลังเลเล็กน้อยก่อนจะถามออกมาว่า “เจ้าตัดสินใจจะไปจากที่นี่แล้วใช่ไหม?”
ชายหนุ่มผงกศีรษะยอมรับ
หลินฉงอวิ๋นจึงบอกว่า “ข้ามีที่แนะนำให้เจ้า!”
อีกฝ่ายถามทันที “ที่ไหนขอรับ?”
คนตอบด้วยน้ำเสียงจริงจัง “นครอานุภาพ!”
ฟังคำตอบทำให้เยี่ยฉวนถึงกับขมวดคิ้ว “นครอานุภาพ?”
หลินฉงอวิ๋นผงกศีรษะ “นครอานุภาพเป็นสถานที่แห่งเดียวในจักรวาลแห่งนี้ที่อิทธิพลของผู้นำสูงสุดแห่งจักรวาลดวงดาวไม่อาจเข้าไปยุ่งเกี่ยว พูดตามตรงนะน้องชาย ผู้นำสูงสุดแห่งจักรวาลดวงดาวไม่ล้มเลิกง่ายๆ ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตามสมบัติล้ำค่าที่อยู่กับเจ้าเป็นสิ่งมีค่ามหาศาล ต่อไปเขาจะไม่จู่โจมอย่างเปิดเผยแน่นอน!”
พลันเสียงอันหลานซิ่วถามขึ้นทันที “เมืองนครอานุภาพที่ยอดหญิงคัมภีร์ยุทธ์เป็นผู้บุกเบิก……ใช่ไหม?”
อีกฝ่ายพยักหน้า “ถูกแล้ว สตรีผู้เป็นตำนานคนนั้น”
จากนั้นเขามองไปที่เยี่ยฉวน “ที่นั่นไม่เพียงมีสถานศึกษาที่มีการฝึกฝนยุทธ์ ทว่าเป็นที่ตั้งสำนักกระบี่ด้วย เจ้าเป็นผู้ฝึกกระบี่เหมาะที่จะไปใช้ชีวิตอยู่ที่นั่น”
“สำนักกระบี่?”
ชายหนุ่มถามกลับคนตรงข้ามว่า “สำนักของผู้ฝึกกระบี่งั้นหรือขอรับ? สถานะพลังเป็นอย่างไร?”
หลินฉงอวิ๋นตอบยิ้มๆ “แม้แต่ผู้นำสูงสุดแห่งจักรวาลดวงดาวยังไม่กล้าขัดแย้งสำนักนี้ เจ้าคิดว่าอย่างไรเล่า?”
เยี่ยฉวนหันไปมองอันหลานซิ่ว อีกฝ่ายพยักหน้าเป็นเชิงยืนยันคำกล่าว
ชายหนุ่มบอกกับอีกฝ่ายว่า “ถ้าเช่นนั้นข้าจะไปนครอานุภาพ!”
ทันใดนั้นจ้านจุนโผล่เข้ามาในบริเวณ เดินตรงมาหาเยี่ยฉวนก่อนจะกล่าวกับชายหนุ่มด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “พี่ชาย ท่านเจ้าสำนักให้มาตามเจ้าไปพบ!”
เยี่ยฉวนพยักหน้ากับคนที่มา ก่อนจะหันไปคารวะโดยยกมือสองข้างขึ้นห่อกำปั้นกับหลินฉงอวิ๋น “ผู้อาวุโส ค่อยพบกันใหม่!”
ว่าแล้วเขาพร้อมด้วยจ้านจุนออกจากสถานที่ไป
หลินฉงอวิ๋นกลับออกไปด้วยเช่นกัน ขณะที่เหลือเพียงอันหลานซิ่ว หญิงสาวทำท่าขยับจะกลับออกไป พลันเหลียนว่านลี่ปรากฏตัวขึ้นต่อหน้า
ผู้ที่เข้ามามองอันหลานซิ่ว ถามอีกฝ่ายยิ้มๆ ว่า “เรามาสู้กันสักตั้งเป็นไง?”
อันหลานซิ่วมองสตรีตรงหน้าอย่างพิจารณา “เจ้าชอบเขา……งั้นหรือ?”
เจอคำถามนี้เข้า เหลียนว่านลี่ถึงกับอึกอัก “ชอบเขา? เยี่ยฉวนงั้นหรือ?”
คนตรงข้ามไม่พูดหากพยักหน้า
ขณะที่เหลียนว่านลี่กำลังขยับปากทำท่าจะพูด อันหลานซิ่วชิงเอ่ยขึ้นก่อน “เจ้าชอบเขาจริงด้วย!”
นางโดนท้าทายเข้าเสียแล้ว!
เหลียนว่านลี่เลิกคิ้วพลางลอยหน้าพูดกับอีกฝ่าย “ใช่ ข้าชอบเขา!”
ได้ยินดังนั้น อันหลานซิ่วนิ่งไปเล็กน้อยก่อนจะถามว่า “เพราะอะไร?”
คนถูกถามทำท่าคิดอยู่นาน ในที่สุดจึงหลุดปากออกไปว่า “ชอบที่เขาเจ้าเล่ห์หน้าทะเล้นน่ะซี”
อันหลานซิ่ว “……”
