บทที่ 858 : อำลา! (ต้น)
เยี่ยฉวนตามจ้านจุนไปถึงยังหอศิลาอันที่พำนักของเว่ยหยางเทียน ทว่าในหอศิลาที่พำนักมีสตรีสาวน้อยอีกคนอยู่ด้วย……จิตรกรสาว
เว่ยหยางเทียนไม่ได้เอ่ยอะไร เพียงมองดูเยี่ยฉวนเฉยอยู่เช่นนั้น
จิตรกรสาวพูดขึ้นทันทีว่า “เจ้าเคยคิดจะเป็นผู้นำดินแดนจักรวาลดาวเว่ยหยางบ้างไหม?”
ชายหนุ่มได้ยินแล้วชวนให้งงงันเป็นอย่างยิ่ง จากนั้นรีบสั่นศีรษะปฏิเสธ
จิตรกรสาวถามอีกว่า “ทำไม?”
เยี่ยฉวนบิดมุมปากยกยิ้ม “เหตุผลข้อแรก……รักความเป็นอิสระ จึงไม่ชอบถูกบังคับ ส่วนข้อที่สอง……ไม่มีอำนาจพอที่จะทำให้กองกำลังในดินแดนจักรวาลดาวเว่ยหยางยอมรับในตัวข้า”
เว่ยหยางเทียนซึ่งนั่งเงียบมานานพูดขึ้นทันที “บอกเหตุผลที่แท้จริงได้ไหม?”
ชายหนุ่มนิ่งคิดก่อนจะตอบให้ว่า “ข้าจะไปจากที่นี่”
สตรีคนถามนิ่วหน้าจนหัวคิ้วเกือบชิดกัน “เจ้ากลัวว่าจะพลอยติดร่างแหไปกับพวกเรา……งั้นหรือ?”
เยี่ยฉวนรีบบอกว่า “คนพวกนั้นไม่มีวันล้มเลิกแผนการแย่งชิงสมบัติล้ำค่าที่ข้าเก็บเอาไว้ ถ้าขืนอยู่ที่นี่ต่อเห็นทีคงไม่พ้นวิบากกรรมที่ไม่มีวันจบสิ้น อีกอย่าง……อยากออกไปท่องโลกภายนอก ตัวข้าจะได้เข้มแข็งขึ้น”
เว่ยหยางเทียนกับจิตรกรสาวหันไปสบตากันแวบหนึ่ง จากนั้นเว่ยหยางเทียนหันไปพูดกับเยี่ยฉวน “เจ้าตัดสินใจแน่แล้วใช่ไหม?”
ชายหนุ่มพยักหน้าแทนคำตอบ
สตรีคนถามลุกขึ้นยืนเดินตรงไปหาเยี่ยฉวน “ถามได้ไหมว่าจะไปไหน?
เยี่ยฉวนตอบให้ว่า “นครอานุภาพขอรับ”
เว่ยหยางเทียนพยักหน้าเล็กน้อย “อืม……ที่นั่นดีเลยล่ะ เป็นที่ที่เหมาะกับเจ้า จะไปเมื่อไร?”
ชายหนุ่มยิ้ม “อีกสองวันข้าจะออกเดินทาง มีเรื่องจุกจิกเล็กๆ น้อยๆ ที่ยังสะสางไม่เสร็จขอรับ”
อีกฝ่ายจึงเอ่ยเป็นเชิงอนุญาต “งั้นไปเถอะ!”
คนตรงข้ามทำท่าคารวะด้วยการห่อกำปั้น จากนั้นออกจากหอศิลาไปทันที
ภายในหอศิลา เว่ยหยางเทียนเอ่ยกับคนที่อยู่ข้างในด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “ข้าบอกเจ้าแล้วว่าเขาไม่สนใจหรอก”
จิตรกรสาวโต้แย้ง “ทว่าหากไม่มีเราสองคน ดินแดนจักรวาลดาวเว่ยหยางจะทำอย่างไร……”
คู่สนทนาส่ายหน้า “ตราบใดที่ท่านไป่อยู่ในดินแดนจักรวาลดาวเว่ยหยาง เรื่องเลวร้ายจะไม่มีทางกล้ำกราย”
จิตรกรสาวหันไปมองเว่ยหยางเทียนตรงๆ “ท่านจะไปไหน?”
คนถูกถามไม่ได้ตอบทันที ทว่าเดินไปหยุดที่ประตูทางเข้าหอศิลา ทอดตามองไปที่จักรวาลดารา “หลายปีมาแล้วที่ข้าทำหน้าที่ปกป้องดินแดนจักรวาลดาวเว่ยหยาง ไม่เคยได้มีโอกาสออกไปพบไปเห็นอะไรข้างนอกเลย! ตอนนี้จึงปรารถนาออกไปดูไปเห็นอะไรใหม่ๆ กับเขาบ้าง”
อีกฝ่ายยิ้มน้อยๆ “ก็จริง ข้าเชื่อว่า……หากไม่ต้องแบกภาระหน้าที่ ท่านเป็นคนแข็งแกร่งมากคนหนึ่ง!”
เว่ยหยางเทียนหันมามองและถามคนพูด “แล้วเจ้าเล่า?”
จิตรกรสาวเหยียดยิ้ม “ข้าควรร่วมทางไปกับท่านไหม?”
พลันเว่ยหยางเทียนทำท่ารำพึงกับตัวเอง ครู่ต่อมาจึงหันไปเอ่ยกับอีกฝ่าย “แต่……!”
จิตรกรสาวเหมือนจะฉุกคิดบางอย่างออก ขยับเดินเข้าไปใกล้เว่ยหยางเทียนพลางเอ่ยว่า “สำนักแมวดำ……”
อีกฝ่ายพูดต่อให้เสียงแผ่ว “อยู่ร่วมกันโดยสันติสุข”
คนตรงข้ามยิ้มกว้าง “หากทำได้จะดีมาก”
…
หลังจากที่เยี่ยฉวนออกจากหอศิลาแล้ว ชายหนุ่มเข้าไปพบกับตู๋กูเสวียน
เมื่อเยี่ยหลิงปรากฏตัวออกมาจากหอคอยแห่งเรือนจำ คนในครอบครัวทั้งสามจึงได้กลับมาพบกันอีกครั้ง
ชายหนุ่มลงมือทำกับข้าวโดยมีเยี่ยหลิงตามมาช่วยหยิบจับโน่นนี่ แม้เด็กหญิงจะทำให้วุ่นวายไปบ้างแต่สองพี่น้องต่างมีความสุขสนุกสนานเมื่อได้ใช้เวลาร่วมกัน
ตู๋กูเสวียนมองดูเยี่ยหลิงและเยี่ยฉวนสองพี่น้องท่ามกลางบรรยากาศเต็มไปด้วยความสุข……พลอยอมยิ้มไปด้วย
ความฝันอันสูงสุดของตู๋กูเสวียนคือหวังให้คนในครอบครัวทั้งสามได้กลับมาใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันอีกครั้ง!
เพราะหากถึงตอนนั้นตนคงตายตาหลับ
ต่อมาไม่นานกับข้าวกับปลาที่เยี่ยฉวนทำเสร็จตั้งสำหรับเรียบร้อย เยี่ยหลิงที่กำลังลงมือกินอาหาร……ได้ยินเยี่ยฉวนหันไปบอกผู้เป็นมารดา “ท่านแม่กินข้าวขอรับ”
ได้ยินเช่นนั้นเยี่ยหลิงกะพริบตาปริบๆ จากนั้นใช้ตะเกียบคีบเนื้อชิ้นหนึ่งวางลงไปในชามข้าวของตู๋กูเสวียนพลางเบ้ปากเล็กน้อย
คนเป็นมารดาสัมผัสได้ถึงอาการดังกล่าว จึงเอื้อมมือลูบเส้นผมบนศีรษะเล็กๆ ของเด็กหญิงอย่างแผ่วเบา ก่อนจะหันไปถามเยี่ยฉวน “แม่ได้ยินมาว่าเจ้าจะไปจากดินแดนจักรวาลดาวเว่ยหยาง……งั้นหรือ?”
บุตรชายพยักหน้า “ข้าจะพาแม่กับน้องไปด้วย!”
เยี่ยหลิงทำตาโตขณะอุทานอย่างนึกสนุก “ดีจัง!”
ถึงกระนั้นฝ่ายตู๋กูเสวียนกลับแสดงออกด้วยท่าท่างลังเลเล็กน้อย
เยี่ยฉวนมองมารดา “ท่านแม่ มีอะไรหรือขอรับ?”
ตู๋กูเสวียนพยักหน้ารับ
ชายหนุ่มเห็นท่าจึงรีบวางตะเกียบลงทันที มองดูอีกฝ่ายอย่างตั้งใจ ซึ่งหลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่งนางจึงเอ่ยว่า “แม่อยากพาอาหลิงไปนครอานุภาพสักครั้ง!”
นครอานุภาพ!
เยี่ยฉวนแสดงสีหน้าประหลาดใจ พลันบอกกับอีกฝ่ายพลางยิ้มกว้าง “ข้าจะไปนครอานุภาพอยู่พอดี!”
ตู๋กูเสวียนหันมามองผู้เป็นบุตรชาย “เจ้ากำลังจะไปที่นั่น……งั้นหรือ?”
อีกฝ่ายพยักหน้าทันที “ขอรับ ข้าได้ยินมาว่ามีสำนักกระบี่อยู่ที่นั่น จึงอยากออกไปศึกษาหาความรู้น่ะขอรับ!”
พูดถึงตอนนี้ดูเหมือนชายหนุ่มจะฉุกคิดบางอย่างขึ้นมา มองตู๋กูเสวียนด้วยสายตาแสดงความสงสัย “ท่านแม่จะไปที่นครอานุภาพทำไมขอรับ?”
คนมารดาลังเลไปชั่วครู่ ก่อนจะตอบให้ว่า “เผื่อจะมีข่าวคราวท่านพ่อพวกเจ้าบ้างน่ะสิ”
ท่านพ่อ!
คำเพียงสองคำ ทำให้ชายหนุ่มขมวดคิ้วทันที ส่วนเด็กหญิงเยี่ยหลิงที่นั่งอีกด้านถึงกับวางตะเกียบในมือลงบนโต๊ะ
คำคำนี้สร้างความยุบยิบที่เกิดขึ้นในใจแก่พี่ชายและน้องสาวขึ้นมาครามครัน
เสียงแผ่วเบาของตู๋กูเสวียนเอ่ยขึ้นว่า “พ่อของพวกเจ้าไม่ได้เป็นคนใจคอโหดร้ายกระไร”
เด็กหญิงหันหน้าไปมองเยี่ยฉวน “ข้ามีพี่ใหญ่คนเดียวก็พอแล้ว”
ว่าจบพลอยหมดความอยากอาหารทันที
เยี่ยฉวนนิ่งเงียบไปพักใหญ่ ก่อนจะเป็นฝ่ายพูดขึ้นว่า “ถ้าเช่นนั้นพวกเราจะไปที่นั่นด้วยกัน”
มารดาพยักหน้า “ดี!”
หลังเสร็จสิ้นมื้ออาหาร เยี่ยฉวนมุ่งหน้าออกจากกำแพงใหญ่จางเถี่ยน ตรงไปยังสำนักแมวดำ
เวลานี้คนในสำนักแมวดำคุ้นเคยกับเยี่ยฉวนแล้ว ดังนั้นการมาถึงของเขาจึงไม่มีอุปสรรคแต่ประการใด
ณ สถานที่แห่งหนึ่งบนยอดเขาสูง เยี่ยฉวนได้พบกับโม่เยี่ย
เสียงฝ่ายหลังเอ่ยถามคนที่มาหาว่า “เจ้ามีแผนการอย่างไร?”
เยี่ยฉวนตอบว่า “ฝึกบ่มเพาะพลังและล้างแค้น!”
โม่เยี่ยพยักหน้าอย่างพึงพอใจ “ข้าร่วมด้วยคน!”
พูดคุยกับโม่เยี่ยเสร็จ ชายหนุ่มจึงออกจากสำนักแมวดำไป
เหตุที่เขามาสำนักแมวดำก็เพื่อมาหาคำตอบ
หนทางแห่งการแก้แค้น ได้สหายร่วมอุดมการณ์เพิ่มขึ้นถือว่าเป็นเรื่องดี!
