บทที่ 862 : สำนักกระบี่!
หลังจากกล่าวอำลาจ้านจุนเป็นที่เรียบร้อย เยี่ยฉวนจึงเดินทางออกจากดินแดนจักรวาลดาวเว่ยหยาง มุ่งหน้าเข้าสู่จักรวาลดาราอันไกลโพ้น
ในจักรวาลดารา เยี่ยฉวนยืนนิ่งเงียบมองยานจักรดาราที่ถืออยู่ในมือ
ชายหนุ่มครุ่นคิดอยู่นานขณะหาวิธีขับเคลื่อนใช้งานเจ้าสิ่งนี้
เยี่ยฉวนถือยานจักรดาราจำลองไว้ในมือขณะปากพึมพำท่องบ่น ทันใดนั้นยานจำลองในมือเริ่มสั่นน้อยๆ ห่างไปเบื้องหน้าพลันปรากฏแสงสว่างนวลกระจ่าง
ในตอนนั้นระยะหกลี้ไกลออกไป รอบด้านมีแต่แสงเจิดจ้า
สว่างรุ่งโรจน์!
เกิดความประทับใจนับแต่แรกเห็น
ชายหนุ่มยืนอยู่บนเรือยานจักรดาราซึ่งมีที่แสงสว่างรุ่งโรจน์ แตกต่างจากเรือเหาะที่เคยใช้อย่างกับเป็นคนละชั้นเลยทีเดียว อีกอย่างบนยานลำนี้ยังบรรจุไปด้วยค่ายกลต่างๆ ที่เป็นทั้งค่ายกลต้านทานและจู่โจม ตราบใดที่มีอัญมณีเพชรน้ำค้างสีม่วงมากพอ……จะสามารถกระตุ้นใช้งานค่ายกลเหล่านี้ได้ตามที่ต้องการ
ที่ข้างๆ เยี่ยฉวน เจ้าสุนัขอสูรปรากฏตัวออกมา
ชายหนุ่มหันไปมอง ก่อนที่เจ้าสุนัขจะพึมพำออกมา “เจ้าไปเถอะ”
เยี่ยฉวนบอก “มากับข้า!”
สุนัขอสูรพยักหน้าเล็กน้อยทำนองตอบรับ ยานจักรดาราเริ่มเคลื่อนออกจากที่ เหินมุ่งหน้าลึกเข้าสู่จักรวาลดารา
แรกเริ่มออกตัวอย่างช้าๆ
เยี่ยฉวนก้มหน้ามองลงไปด้านล่าง จากจุดที่ยืนอยู่สามารถมองเห็นกำแพงจางเถี่ยนเพียงรำไรๆ ทว่าภาพกำแพงค่อยเล็กลงด้วยยานจักรดาราเร่งความเร็วเพิ่มขึ้นๆ เป็นลำดับ
ในไม่ช้า กำแพงจางเถี่ยนค่อยๆ ลาลับไปจากสายตา
ตัวยานเร่งความเร็วถึงขีดสุดกระทั่งชายหนุ่มยังต้องแปลกใจ
ยานนั้นพุ่งไปข้างหน้าด้วยความเร็วกว่ากระบี่บินเสียอีก!
ความเร็วนี้ช่างน่าสะพรึงกลัวนัก!
เพียงครู่เดียวเยี่ยฉวนและสุนัขอสูรกลืนหายเข้าไปในจักรวาลดาราอันกว้างใหญ่
…
ลับหลังทั้งสองไปไม่นาน บริเวณกำแพงใหญ่จางเถี่ยนปรากฏคนมาเยือนกลุ่มหนึ่ง
ณ เชิงกำแพงใหญ่ สตรีผู้นำกลุ่มสวมเกราะเงิน ผมยาวรวบเป็นหางม้าทิ้งลงทางด้านหลัง ท่วงทีสมสง่า ปราดเปรื่อง ประเทืองปัญญาอย่างเห็นเด่นชัด
รอบข้างประกอบด้วยหนึ่งสตรีและสองบุรุษขนาบมาด้วย
คนทั้งสี่คือเจียงจิ่ว โม่อวิ๋นฉี ไป๋เจ๋อและจี้อันซื่อนั่นเอง
พลันโม่อวิ๋นฉีเอ่ยขึ้นก่อนใคร “องค์หญิงเก้า ท่านคิดว่าพลังของพวกเรากับหัวขโมยพี่เยี่ยทิ้งห่างไปมากหรือยัง?”
เสียงตอบมาจากข้างหน้า เจียงจิ่วพูดเบาๆ “เจ้าจะรู้ได้ก็ต่อเมื่อเจอตัวแล้วประมือกับเขาแล้วเท่านั้น”
อีกฝ่ายเหยียดมุมปากยิ้ม “แน่นอน!”
จากนั้นเขาปรายตาชำเลืองมองไป๋เจ๋อ “นี่เจ้ายักษ์ไป๋ ข้าให้เจ้าลงมือก่อนแล้วกัน!”
ไป๋เจ๋อเหล่มองโม่อวิ๋นฉีที่พูดได้หน้าตาเฉย “ข้าไม่สนใจว่าจะเอาชนะหัวขโมยพี่เยี่ยได้ไหม แต่มั่นใจว่าตัวเองว่าเอาชนะเจ้าได้แน่!”
พอได้ยินวาจาของอีกฝ่าย โม่อวิ๋นฉีแสยะมุมปากทำนองเยาะเย้ยและหยามหยันในที
ไป๋เจ๋อเอียงตัวมากระซิบให้พอได้ยิน “จะลองดูไหมเล่า?”
คนยืนข้างขยับปากเตรียมตอบโต้ ทันใดนั้นเจียงจิ่วซึ่งนำขบวนพลันชะงักฝีเท้า เบื้องหน้าปรากฏคนผู้หนึ่งยืนหันหน้ามาทางกลุ่มคน
บุรุษนั้นคือจ้านจุน!
เขามองสตรีตรงหน้าอย่างเพ่งพิศก่อนกวาดสายตาไปที่คนอื่นๆ “พวกเจ้าเป็นใคร?”
เจียงจิ่วย้อนถาม “เยี่ยฉวนอยู่ที่นี่หรือเปล่า?”
เยี่ยฉวน?
จ้านจุนตะลึงไปเล็กน้อยก่อนเอ่ยถามย้ำ “พวกเจ้าคือ?”
สตรีตอบให้ว่า “เราเป็นสหาย”
สหาย!
พลันจ้านจุนเปลี่ยนท่าทีเป็นยิ้มกว้างจากระแวงเมื่อแรก “พวกเจ้ามาช้าเกินไป! เขาไปจากที่นี่แล้ว!”
“ไปแล้ว?”
โม่อวิ๋นฉีกระโจนพรวดเดียวไปอยู่ต่อหน้าจ้านจุนทันที “ไปไหน?”
คนตรงข้ามจึงบอกว่า “ตอนนี้อยู่ที่ไหนข้าไม่รู้แน่ชัด ที่แน่ๆ เขาจะไปนครอานุภาพ!”
นครอานุภาพ!
โม่อวิ๋นฉีและคนอื่นต่างหันไปมองหน้ากัน จนในที่สุดเป็นเจียงจิ่วเอ่ยถามเสียงเคร่ง “ไกลมากไหม?”
จ้านจุนพยักหน้า “ไกลโขทีเดียว!”
ว่าแล้วชำเลืองมองโม่อวิ๋นฉีรวมทั้งคนอื่นที่เหลือ “พวกเจ้าตามหาเขาทำไม?”
โม่อวิ๋นฉีตอบทันที “ท้าประลอง!”
คนถามไม่ว่ากระไรได้แต่มองคนพูด สีหน้าแววตาแสดงออกถึงความแปลกใจ
เมื่อสังเกตเห็น โม่อวิ๋นฉีถามทันทีน้ำเสียงไม่ค่อยพอใจ “ทำไมถึงทำหน้าอย่างนั้น……นึกดูถูกข้าหรือไง?”
จ้านจุนรีบปรับสีหน้าพลางพูดยิ้มๆ “เปล่าๆ ข้าไม่ได้คิดเช่นนั้น เพียงแต่ตอนนี้……พี่เยี่ยเขาพัฒนาขั้นพลังจนแข็งแกร่งขึ้นมาก!”
คนตรงข้ามใช้กำปั้นทุบหน้าอกของตัวเองดังปั้กๆ “รู้หรือไม่……ว่าข้าเป็นใคร?”
ฝ่ายที่ถูกถามมองโม่อวิ๋นฉีด้วยสายตาครุ่นคิด พลันฝ่ายหลังบอกด้วยสุ้มเสียงเป็นงานเป็นการ “จะบอกให้ว่า……เมื่อก่อนข้าแข็งแกร่งกว่าเขาอีก”
จ้านจุน “……”
ขณะที่โม่อวิ๋นฉีมีทีท่าว่าฝอยต่อไปนั้นเอง พลันไป๋เจ๋อพูดขัดจังหวะทันที “ถ้ายังไม่เลิกโม้ข้าจะซัดเจ้าให้น่วมเลยคอยดู!”
โม่อวิ๋นฉี “……”
เสียงเจียงจิ่วโพลงขึ้นทันทีว่า “เราไปนครอานุภาพกันเถอะ!”
จี้อันซื่อพยักหน้า “เอาสิ……ไปนครอานุภาพกัน!”
เจียงจิ่วจึงหันไปถามจ้านจุน “เราจะไปที่นั่นได้อย่างไร?”
อีกฝ่ายมีสีหน้าลังเลที่จะตอบเล็กน้อยก่อนจะบอกว่า “การที่ดุ่มๆ เข้าไปในจักรวาลดาราอาจจะได้รับเป็นอันตราย เอาอย่างนี้ไหม? ข้าจะพาไปพบท่านไป่ เขาจะได้ส่งคนคอยคุ้มกันจนกว่าพวกเจ้าไปถึงที่นั่น”
เจียงจิ่วตอบรับทันที “ขอบใจมาก”
จ้านจุนยิ้มรับ “ด้วยความยินดี! พวกเจ้าเป็นสหายของเขา ซึ่งเท่ากับว่าเป็นสหายของข้าเช่นกัน กรุณาตามมา!”
ในเวลาไม่นาน จ้านจุนนำเจียงจิ่วและคณะมาพบกับท่านไป่
ผ่านไปราวหนึ่งชั่วยาม เรือเหาะจักรวาลดาราลำหนึ่งจึงเริ่มเดินทางออกจากกำแพงใหญ่จางเถี่ยนทันที……
ผู้ที่โดยสารมากับเรือเหาะจักรวาลดาราลำนั้นคือเจียงจิ่วและคณะ รวมทั้งจ้านจุน
คนทั้งหมดกำลังมุ่งหน้าไปยังนครอานุภาพ!
บนเรือเหาะจักรวาลดารา จู่ๆ เสียงของโม่อวิ๋นฉีตะโกนขึ้นไม่มีปี่มีขลุ่ย “นครอานุภาพ ข้ากำลังไปแล้วโว้ย ตกใจเลยสินะ!”
ฉับพลันนั้นฝ่าเท้าของไป๋เจ๋อยันเข้าให้ที่ด้านหลังของโม่อวิ๋นฉี……
ภายในจักรวาลดารา ยานจักรดาราพุ่งไปข้างหน้ารวดเร็วไม่ยี่หระต่อหลุมดำหรือหินอุกกาบาตที่ลอยเกลื่อนในอวกาศ
……
เยี่ยฉวนยืนเงียบๆ บนหัวเรือขณะหันหน้าไปทางจักรวาลดาราอันเวิ้งว้างไกลออกไปพลางรำพึงเบาๆ “นี่พี่ชายสุนัขอสูร ข้าอยากถามว่าคนสำนักเซียนมีพวกเย่อหยิ่งไหม?”
สุนัขอสูรตอบกลับมาว่า “ยิ่งกว่าหยิ่งยโสเสียอีก! เตรียมตัวเตรียมใจไว้ได้เลย!”
ชายหนุ่มจึงว่า “พี่สุนัขอสูร สำนักเซียนมีสมบัติล้ำค่าเก็บไว้เยอะแยะเลยใช่ไหม? ต้องเป็นสมบัติล้ำค่ามากแน่ๆ เอาเถอะน่า……ข้าแค่ถามดูเท่านั้น”
อีกฝ่ายย้อนเสียงห้วน “นี่สินะสิ่งที่เจ้าอยากได้!”
เยี่ยฉวนพูดพลางสีหน้าจริงจัง “มองข้าในแง่ร้ายเกินไปแล้ว! ข้าไม่……”
“หยุด! หยุด!”
เสียงสุนัขอสูรร้องห้ามพัลวัน “อย่ามาพล่ามไร้สาระเสียให้ยาก ข้ารู้จักคนอย่างเจ้าดี!”
เยี่ยฉวน “……”
อีกฝ่ายยังพูดต่อไป “อันที่จริงสำนักเซียนเรามีสุดยอดสมบัติล้ำค่าอยู่ชิ้นหนึ่ง”
ชายหนุ่มถามทันควัน “อะไรขอรับ?”
เสียงตอบเคร่งขรึม “บัลลังก์เทพราชัน!”
เสียงคนเอ่ยถามอย่างข้องใจ “มันคืออะไร?”
สุนัขอสูรตอบเรียบๆ “ม้านั่ง……แค่ม้านั่ง!”
เยี่ยฉวนถามอีก “ใช้ทำอะไร?”
อีกฝ่ายตอบหน้าตาเฉย “ข้าก็ไม่รู้!”
คนที่รอคำตอบเบ้ปากน้อยๆ “เจ้าไม่รู้? จะเป็นไปได้อย่างไร?”
น้ำเสียงของสุนัขอสูรบอกว่าชักมีน้ำโห “ข้าไม่เคยนั่งนี่นา……จะรู้ได้อย่างไร?”
เยี่ยฉวนทำคอย่น “……”
สุนัขอสูรบอกมาอีกว่า “บัลลังก์เทพราชันเป็นสุดยอดสมบัติล้ำค่า คนที่นั่งได้มีเพียงท่านเจ้าสำนักคนเดียวเท่านั้น ข้าไม่รู้ว่าพลังมากน้อยแค่ไหนอย่างไรล่ะ”
ชายหนุ่มไม่วายถามยิ้มๆ “แข็งแกร่งกว่าหอคอยของข้าไหม?”
เสียงตอบแผ่วเบา “ยังมีหน้าเอามาอวดงั้นหรือ? มีปัญญาควบคุมได้หรือ? อย่างเจ้าน่ะนะ ถ้าตายไปคงเป็นเพราะหอคอยนั่นแหละที่ฆ่าตัวเอง!”
เมื่อพูดถึงตอนนี้ เสียงชะงักนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนถามไปว่า “นี่น้องชาย ถามหน่อยสิว่าเจ้าได้มาจากที่ไหน?”
เยี่ยฉวนตอบทันที “มีคนให้ข้ามา”
อีกฝ่ายจึงได้แต่เงียบงัน “……”
หลังจากนั้นทั้งสองพูดคุยต่อไปสักประเดี๋ยว เยี่ยฉวนจึงส่งมอบยานจักรดาราให้อีกฝ่ายก่อนจะกลับเข้าห้องพักไปทันที
ฝึกบ่มเพาะพลังชี่!
ช่วงระหว่างการเดินทาง ในทุกๆ วันเยี่ยฉวนจะใช้เวลาในการฝึกบ่มเพาะพลังกฎเต๋าแห่งนิรมิตเอาเป็นเอาตาย!
โดยมุ่งเน้นการฝึกเป็นพิเศษ ทุกวันชายหนุ่มเฝ้าเรียนรู้ฝึกฝนกฎเต๋าทั้งสามและหวังว่าตนจะพัฒนาพลังได้อย่างเต็มที่
โดยเฉพาะกฎเต๋านิรมิต ซึ่งน่านิยมชมชื่นเพิ่มมากขึ้นทุกขณะ!
ด้วยการผสมผสานระหว่างกฎเต๋าแห่งนิรมิตและกระบี่บินเข้าไป……นั่นยิ่งสมบูรณ์แบบอย่างยิ่ง!
นับว่าเป็นกระบี่ในฝันทีเดียว!
วันถัดมา เยี่ยฉวนเฝ้าฝึกฝนอย่างหนักหน่วงเช่นเดียวกับทุกวัน
ห้าวันต่อมา จู่ๆ ยานจักรดาราบังเกิดแรงสั่นสะเทือน คนที่อยู่ในห้องพักเยี่ยฉวนรีบผุดลุกขึ้นกลับขึ้นไปบนยานทันที เมื่อไปถึงจึงพบว่าพวกเขากำลังมุ่งหน้าเข้าสู่หลุมดำกับชั้นอวกาศอยู่พอดี รอบลำยานปรากฏพลังประหลาดกระแทกเข้าหายานจักรดาราซ้ำแล้วซ้ำเล่า พลังนั้นแกร่งกล้านักอดรู้สึกกลัวขึ้นมาไม่ได้ หากเป็นเรือเหาะจักรวาลดารามีหวังป่นเป็นแป้งไปนานแล้ว!
เยี่ยฉวนหันไปถามสุนัขอสูรที่เขามายืนข้าง “นั่นคืออะไร?”
เสียงฝ่ายที่ตอบกลับ “หลุมดำ!”
ชายหนุ่มแย้งว่า “ก่อนนี้เราก็เคยพุ่งเข้าหาหลุมดำ ไม่เห็นเหมือนกับคราวนี้!”
อสูรสุนัขจึงขยายความ “หลุมดำบางแห่งพลังแกร่งกล้า บางแห่งอ่อนด้อย! อย่ากังวลไปเลย ยานจักรดาราลำนี้ต้านไหวสบายมาก!”
เยี่ยฉวนพยักหน้าน้อยๆ “อีกนานเท่าไรกว่าจะถึง?”
ผู้ถูกถามดูลังเลก่อนจะตอบให้ว่า “ข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกัน!”
คนข้างๆ หันขวับไปมองสุนัขอสูรสีหน้าแสดงความแปลกใจเสียเต็มประดา “ล้อเล่นงั้นหรือ?”
อีกฝ่ายยิ้มกะเรี่ยกะราดดูท่าเขินพิกล “ข้าไม่ได้กลับไปนานแล้ว! หนทางก็จำไม่ค่อยได้!”
เยี่ยฉวนถึงกับสะอึกพูดไม่ออก “พูดเล่นใช่ไหม? บอกมาสิว่าเจ้าล้อเล่น”
สุนัขอสูรยิ้มเผล่ “เอาน่า อย่างไรเสียเรามาถูกทิศแล้วล่ะ”
ชายหนุ่ม “…”
การเดินทางดำเนินไปราวหนึ่งชั่วยามต่อมา ยานจักรดาราพุ่งผ่านเข้าสู่หลุมดำจนมาถึงยังดินแดนจักรวาลดวงดาวแห่งหนึ่ง
ฝ่ายอสูรสุนัขรีบกวาดตามองพลันนิ่วหน้า หัวคิ้วค่อยๆ ขมวดคิ้วเข้าหากันทีละน้อย
เยี่ยฉวนถามทันที “อะไรน่ะ?”
ฝ่ายถูกถามจึงว่า “คุ้นๆ แฮะ!”
คนรีบถาม “ที่นี่หรือ?”
น้ำเสียงขรึมๆ ของสุนัขอสูรตอบว่า “แวะเที่ยวก่อนแล้วกัน!”
ชายหนุ่มพยักหน้าหงึกก่อนขับเคลื่อนยานจักรดาราพุ่งไปข้างหน้า
เยี่ยฉวนประจักษ์ว่าดินแดนจักรวาลดวงดาวแห่งนี้เงียบสงัดไร้ลมหายใจของสิ่งมีชีวิต อีกอย่างภายในดินแดนจักรวาลดวงดาวแห่งนี้พลังชี่จิตวิญญาณเบาบางเป็นอย่างยิ่ง
พลันนั้นแว่วเสียงอสูรสุนัขดังขึ้น “หลังจากที่อุบัติเหตุเกิดแก่สำนักเซียนในปีนั้น สำนักเจ้านรกก็ฉวยโอกาส ส่วนข้าเองติดอยู่ในแดนแห่งไฟชำระ… อีกหลายปีต่อมาดินแดนจักรวาลศักดิ์สิทธิ์เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ หวังเพียงว่าเวลานี้ยังมีคนอยู่…”
ฝ่ายคนพึมพำเสียงอ่อย “อุบัติเหตุที่เจ้าว่าเป็นฝีมือเจียนจื่อไจ้สินะ?”
สุนัขอสูรผงกศีรษะพลางยิ้มขื่น “ถ้าเจ้าสำนักไม่ทำเกินกว่าเหตุ สำนักเราคงไม่ถูกทำลาย และถ้านางไม่ชิงชังสำนักเซียนปานนี้ คงไม่ได้สังหารแค่ยอดฝีมือทว่ายังทำลายศาลบรรพชน… อนิจจา!”
คนฟังพยักหน้าเนิบช้า “เหตุใดการเป็นบุรุษจึงมีค่าถึงเพียงนี้? ข้าคิดว่าสตรีก็ทรงพลังไม่แพ้กัน”
ในกระบวนคนที่เคยรู้จัก ดูเหมือนสตรีเสียอีกที่แข็งแกร่งกว่า…
เขาไม่รู้ว่าคนที่ชั้นหกเป็นบุรุษหรือสตรีกันแน่ ถ้าเป็นสตรีเรื่องราวอาจจะไม่กระไรนักก็เป็นได้!
สุนัขอสูรพูดมาอีกว่า “ตาเฒ่าที่อยู่ในสำนักเซียนนั่นก็ดื้อด้านเหลือเกิน”
เยี่ยฉวนเห็นด้วย หากมิทันเอ่ยปากพูด ทันใดนั้นทั้งเขาและสุนัขอสูรหันขวับไปมองยังสถานที่ซึ่งไม่ห่างออกไปนักพร้อมกัน ในจักรวาลดารามีกระบี่ขนาดมหึมาปักอยู่ กระบี่ยาวนับเป็นลี้เห็นจะได้ มันยังสงบนิ่งอยู่เช่นนั้น
กระบี่ไร้ส่วนปลายประหนึ่งถูกตัดขาดไปก็ปาน!
ส่วนหน้าบนคมกระบี่แสดงตัวอักษรสีดำสองสามตัว ‘สำนักกระบี่’
