Skip to content

หลิงหลานตำหนักซ่อนสิเน่หา 5

บทส่งท้าย

ระยะเวลาหนึ่งเดือนของความวุ่นวาย เจียวมี่ที่ถูกปล่อย ตัวออกจากโรงพยาบาล หลังจากอาการซึมเศร้าที่มีสาเหตุมา จากเหตุการณ์ไฟไหม้ซึ่งทำให้เพื่อนรักอีกสองคนสิ้นใจในกองเพลิง

หญิงสาวแทบเสียสติเมื่อตำรวจสรุปผลการสอบสวนว่า เป็นเพราะฉินเหม่ยและหนิงอวี่เสียใจกับการตายของเสี่ยวเชี่ยน กระทั่งสองคนร่วมมือกันวางเพลิง

ตอนที่ขอดูหลักฐานทางตำรวจก็ให้ความร่วมมืออย่างดี ทั้งลายมือและร่างของทั้งสองที่ถูกค้นพบในห้องเดียวกันอีกทั้ง

ต้นเพลิงยังมีต้นเหตุมาจากเรือนทิศเหนือ ทำให้คดีนี้ปิดลงอย่างรวดเร็ว แม้ว่าเจียวมี่จะยืนยันว่าไม่ใช่เรื่องจริง

หญิงสาวถูกส่งตัวไปโรงพยาบาล หลังจากแพทย์ระบุว่า สภาพจิตใจของหญิงสาวถูกกระทบกระเทือนจนไม่อาจรับความจริง กระทั่งหนึ่งเดือนหลังจากคดีปิดลง เจียวมี่จึงถูกปล่อยตัวออกมา

คอนโดอันเงียบเหงาเพราะเจ้าของไม่อยู่เกือบสองเดือน ทำให้เจียวมี่หดหู่ ความจริงกับความฝันและภาพลวงตา หญิง สาวเองก็ไม่มั่นใจว่าสิ่งใดชัดเจนกว่าความจริงที่อยู่ตรงหน้า

ความรู้สึกเหมือนเมื่อวานยังได้นั่งพูดคุยกับเพื่อนรักอีกสามคน ทำให้หัวใจอันเหนื่อยล้ายิ่งเศร้าหมองยิ่งขึ้น แม้พยายาม บอกตัวเองให้ทำตัวร่าเริงสดใส และพร้อมใช้ชีวิตในวันพรุ่งนี้เพื่อตัวเอง หากแต่ความเป็นจริงนั้นไม่ได้ง่ายเลย

เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นทำให้หญิงสาวสะดุ้ง เมื่อรับสายก็ พบว่าเป็นเพื่อนร่วมงานของเธอเอง เขาโทรมาบ่นว่าหญิงสาวหายไปนาน งานการก็ไม่เข้าไปทำ ปล่อยให้เขารับผิดชอบอยู่คนเดียว

ความจริงนั่นคือการประชดหลังจากที่เจียวมี่หยุดงานไปนาน เพราะเกรงใจหญิงสาวจึงตัดสินใจขอลาออก เนื่องจากการ หยุดงานไปโดยไม่ได้แจ้งเหตุผลถึงหนึ่งเดือนในช่วงที่เธอเป็นโรค ซึมเศร้าและต้องอยู่ในโรงพยาบาลกับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญอย่างใกล้ชิด

นอกจากโรคซึมเศร้าแล้วสิ่งที่เจียวมี่ไม่ได้บอกใคร แต่ กลับยินดีรับการรักษา นั่นก็คือเธอมักจะเห็นภาพหลอน

ผู้ชายใบหน้าหล่อเหลาที่มักจะยืนยิ้มให้อยู่ในระยะไม่ ใกล้และไม่ไกลจนเกินไป แต่กลับไม่ได้เข้ามาใกล้ ทำให้เจียวมี่ หวาดกลัวจนแทบเสียสติ หญิงสาวกรีดร้องโวยวายและเริ่มทำร้ายตัวเอง

กระนั้นเมื่อนานวันเข้าเจียวมี่ก็เริ่มเคยชินกับใบหน้าของอีกฝ่าย เมื่อไม่มีใครเชื่อในสิ่งที่เห็น ดังนั้นตัวเธอเองจึงแสร้งทำเป็นไม่เห็น และไม่ยอมรับการมีตัวตนนั้น แม้ว่าทุกครั้งจะรู้สึกว่าเขาตามติดไปทุกที่

โทรศัพท์ถูกกดเบอร์โทรลงไปหลังจากวางสายจากเพื่อนร่วมงาน ครั้งนี้เจียวมี่มีท่าทีราวตัดสินใจแล้ว

“พี่ชาย” เจียวมี่กรอกเสียงไปตามสาย

“ว่าไง เปลี่ยนใจจะมาทำงานกับพี่แล้วใช่มั้ย”

“อืม”

“จริงน่ะ’’

“ใช่ ฉันลาออกจากงานเดิมแล้ว อยากไปให้พี่ชายเลี้ยงดูสักปีสองปี”

“ได้เลย ถ้าอย่างนั้นพี่ไม่รับบัญชีคนใหม่นะ เธอมาดูแลต่อได้เลย”

“ได้” เจียวมี่ถอนหายใจก่อนจะนั่งลงอย่างเหนื่อยล้า กระทั่งเสียงเคาะประตูดังขึ้น

“ป้าฉู่ มาแล้วเหรอคะ”

ป้าฉู่คือป้าแม่บ้านที่หญิงสาวจ้างให้มาทำความสะอาดคอนโด และวันนี้หญิงสาวก็นัดอีกฝ่ายมาเพื่อจ่ายเงินและบอก เรื่องที่เธอตัดสินใจไปทำงานกับพี่ชายที่ต่างเมือง

“เมื่อวานมีพัสดุมา ป้าวางเอาไว้ในห้องนอนแล้วนะคะ”

“ค่ะ ขอบคุณป้ามากนะคะ ช่วงนี้ฉันไม่ค่อยอยู่ที่คอนโด ถ้าไม่ได้ป้ามาทำความสะอาดให้คงแย่”

“ไม่หรอกค่ะ คุณเองก็อย่าคิดมากนะคะ ตอนนี้การ ออกไปนอกเมืองรับอากาศสดชื่น อาจเหมาะกับคุณมากกว่าการอยู่ตัวคนเดียว”

ผู้สูงวัยกว่าปลอบโยนเสียงอ่อนโยน เจียวมี่ยิ้มให้อีกฝ่ายด้วยดวงตาขอบคุณ

“ยังไงกุญแจฝากเอาไว้ที่ป้าอีกชุดนะคะ ช่วงที่ไม่อยู่ ป้าไม่ต้องทำความสะอาดบ่อยก็ได้ แค่เข้ามาดูเป็นระยะก็พอ”

“ได้ค่ะ แต่ถ้าจะกลับมาวันไหนบอกป้าล่วงหน้าด้วยนะคะ ป้าจะได้เข้ามาทำความสะอาดเอาไว้ให้”

“แน่นอนค่ะ ยังไงก็คงกลับมาสักเดือนสองเดือนครั้ง”

หลังจากส่งป้าฉู่กลับไปแล้ว เจียวมี่ก็เก็บกระเป๋าเพื่อ เตรียมตัวไปทำงานต่างเมือง ในใจคิดว่าอย่างน้อยคงไปอยู่กับพี่ชายสักปีสองปี รอให้หัวใจอ่อนล้าและสภาพจิตใจดีขึ้นกว่านี้ ค่อยกลับมาปักกิ่ง

กว่าจะเก็บกระเป๋าและอาบน้ำเสร็จ เวลาก็ล่วงเลยไปถึงเที่ยงคืน เจียวมี่เดินกลับเข้าห้องนอน บนโต๊ะหัวเตียงมีกล่องพัสดุใบหนึ่งวางอยู่ ชื่อที่อยู่ส่งมาจากโรงพยาบาลที่เธอเข้ารับการรักษานั่นเอง

“อะไรกัน’’

หญิงสาวขมวดคิ้วจากนั้นก็แกะกล่องออก สิ่งที่อยู่ในนั้น คือเสื้อคลุมสีขาวเนื้อนุ่มปักลวดลายอ่อนช้อยด้วยดอกหลิงหลาน

กลิ่นหอมตลบอบอวลโชยออกมา ทันทีที่หญิงสาวดึงเสื้อ คลุมออกมาจากถุงซิปล็อค “นี่มัน…”

เมื่อนึกขึ้นได้ว่าเสื้อคลุมตัวนี้ตัวเองสวมออกมาจากห้อง ลับใต้ดินในบ้านร้างหลังนั้น กายอรชรก็สะท้านวาบ…ร่างทั้งร่างแข็งทื่อ

ผิวกายภายใต้เสื้อตัวหลวมรู้สึกถึงฝ่ามือซึ่งสอดเข้ามา

ลูบไล้

‘ข้าคิดถึงเจ้า’ เสียงกระซิบแผ่วเบาดังขึ้น พร้อมกับตัวตน ที่แนบสัมผัสมากับแผ่นหลัง

เจียวมี่ตัวสั่นเทาปล่อยเสื้อคลุมตัวนั้นร่วงลงบนพื้น ร่างทั้งร่างไม่อาจขยับ ได้แต่ปล่อยให้เงาร่างใหญ่ด้านหลังดึงชุดนอนตัวหลวมออกไปทางศีรษะ

สัมผัสจากฝ่ามือใหญ่ทำให้กายสาวสั่นระริก แม้มองไม่ เห็นคนที่อยู่ด้านหลัง หากแต่มั่นใจแล้วว่าเขาก็คือคนที่เธอ

มองเห็นมาตลอดหนึ่งเดือนที่ผ่านมา นับจากเกิดเรื่องไฟไหม้ครั้งนั้น

ร่างเล็กถูกยกขึ้นจากนั้นร่างใหญ่จึงเลื่อนมานั่งซ้อน สะโพกนิ่มรับรู้ตัวตนของเขาชัดเจนกว่าทุกครั้ง เจียวมี่หายใจหอบปนสะอื้น ความหวาดกลัวกับความซาบซ่าน ผสมปนเปจนยากแยกแยะ เมื่อมือใหญ่ลูบลงไปยังท้องน้อย เลื่อนตํ่าลงไปในกางเกงตัวจิ๋ว

‘ดูสิเจ้าเองก็มิใช่คิดถึงข้ามากหรือ’

มือที่กอบกุมทรวงอกอิ่มลงแรงบีบเคล้น เจียวมี่ไม่อาจ ควบคุมความหวามไหวที่ครอบงำ ได้แต่เงยหน้าส่งเสียงครวญออกมา ร่างทั้งร่างเอนลงพิงกับแผ่นอกที่รับรู้ว่าเปลือยเปล่า

ถึงตอนนี้มั่นใจแล้วว่าเยี่ยนเฟิงอยู่ข้างกายมาโดยตลอด ทั้งนี้ก็เพราะเสื้อคลุมปักลายดอกหลิงหลานตัวนั้นเป็นของเขา และในวันนั้นเจียวมี่คว้ามาสวมเพราะเสื้อผ้าของตนหายไปจนสิ้น

กว่าจะรู้ตัวว่าทั้งร่างมีเพียงเสื้อคลุมยาวตัวนี้สวมอยู่ ก็ เป็นช่วงที่ต้องเปลี่ยนชุดสวมชุดของโรงพยาบาลเสียแล้ว

‘เจ้าต้องอยู่กับข้าชั่วกัปชั่วกัลป์จำได้หรือไม่’

น้ำเสียงเย็นเยียบนั้น ทำให้เจียวมี่กายสะท้าน ใบหน้าถูก บังคับให้หันไปเบื้องหลัง ดวงตาสาดประกายน่ากลัวบีบให้หญิง สาวส่งเลียงตอบรับ

‘เสี่ยวมี่ ตอบข้ามาสิ เจ้าเองก็อยากอยู่กับข้า เราจะอยู่

ด้วยกัน’

มือใหญ่ข้างหนึ่งเลื่อนขึ้นมากอบกุมลำคอเล็ก ส่วนอีก มือคว้าจับสะโพกผาย เลื่อนให้แก่นกายแข็งขึงจ่อประชิดความ อ่อนนุ่มที่ชื่นฉํ่าราวกับรอคอย

ปลายป้านร้อนรุ่มแผดเผาถูไถกับกลีบบุปผาที่เริ่มเบ่งบาน เจียวมี่ถูกความวาบหวามทำเอาใจแทบขาด สะโพกผายส่ายร่อนด้วยความต้องการ หากแต่เขากลับไม่ยินยอมมอบในสิ่งที่หญิงสาวต้องการให้

‘เสี่ยวมี่เป็นเด็กไม่ดีเลย พูดสิ เจ้าต้องการข้า เจ้าจะอยู่กับข้า เจ้าจะอยู่กับเยี่ยนเฟิง’

เจียวมี่สะอื้นฮัก กายสาวร้อนเร่าถูกบดเบียดจนร่างทั้งร่างสั่นระริก ความต้องการเอ่อท้นจนหายใจไม่ออก “เดี๋ยวนี้เยี่ยนเฟิง ฉันต้องการคุณ อะไรก็ได้ ฉันจะอยู่กับคุณ ได้โปรด”

เยี่ยนเฟิงหัวเราะเสียงทุ้ม เขากดสะโพกเล็กลงเล็กน้อย ส่วนปลายผลุบหายเข้าไปในกลีบบุปผางาม หากแต่กลับยั้งเอาไว้ ไม่สอดแทรกเข้าไปโดยง่าย

‘พูดว่าเจ้า เจียวมี่ จะอยู่กับเยี่ยนเฟิงชั่วกัปชั่วกัลป์’

“เจียวมี่จะอยู่กับเยี่ยนเฟิงชั่วกัปชั่วกัลป์ อา…”

สิ้นประโยคนั้นร่างสาวก็ถูดเหยียดขยายจนเต็มตื้น ความสุขสมรัญจวนท่วมท้น จนทำให้หญิงสาวหายใจหอบกระเส่า เรือนกายขาวผ่องขยับไหวเหนือร่างแกร่งที่นั่งซ้อนอยู่บนเตียง

เยี่ยนเฟิงคว้าจับเอวอ่อนที่กระเด้งกระดอนรับจังหวะรุกเร้าของเขา เสียงกระทบของเนื้อนวลและกล้ามเนื้อหนั่นแน่น ดังสะท้านไปทั่วทั้งห้อง เกิดเป็นเสียงที่ทำให้คนทั้งสองถูกปลุกเร้า

ชายหนุ่มลุกขึ้นยืน จากนั้นหมุนร่างงามให้หันหน้ามาเผชิญกับเขา แก่นกายยังคงซุกซบในกายสาว จังหวะหมุนจึงเสียดสีรุนแรงให้ความรู้สึกสุขสม ภายในของเจียวมี่แทบระเบิดธารแห่งมธุรส กระทั่งบีบรัดจนเยี่ยนเฟิงรับรู้

‘เกาะเอวข้าเอาไว้’

เขาสั่งในขณะที่เลื่อนมือลงไปกอบกุมสะโพกนิ่ม ให้หญิง สาวสอดท่อนขากอดรัดเอวสอบ โดยที่ตัวเขายังคงยืนอยู่ข้างเตียง

‘ต้องการแบบไหนหรือ’

เขาไม่ขยับแต่กดลึกเข้าไปในกายสาว จุ่มจ้วงนิ่งนานจน หญิงสาวเริ่มส่งเสียงประท้วง ร่างงามแอ่นหยัดเข้าหา สะโพกผาย เริ่มบดเบียดหมุนวนช้าๆ

“เยี่ยนเพิง ได้โปรด”

สิ้นประโยคนั้นร่างงามก็ถูกขยับโยก กายสาวถูกรูดเข้า กับแก่นกายร้อนรุ่มแผดเผา ความรัญจวนที่มาอย่างกะทันหันทำ ให้เจียวมี่กรีดร้องด้วยความพึงพอใจ สองขาเพรียวกอดรัดแน่น สองมือน้อยเกาะเกี่ยวลำคอแกร่ง ยื่นใบหน้าเข้าไปจุมพิตริมฝีปากที่กำลังหอบเสียงพร่าด้วยความกระสันซ่าน

‘ข้าจะอยู่กับเจ้า เจ้าไม่อาจไปจากข้า’

เขาเร่งจังหวะเร็วขึ้น เพราะแรงบีบรัดแทบขาดใจจากกายสาว ร่างทั้งสองขยับไหวเป็นจังหวะรับกันอย่างร้อนแรง แม้การกระทั้นจะเกิดเสียงดัง หากแต่กลับไร้ความเจ็บปวด มีเพียงความเสียวซ่านที่พลุ่งพล่าน กับความร้อนรุ่มแผดเผาเพราะความปรารถนาที่กำลังถูกเติมเต็ม

เยี่ยนเฟิงก้าวถอยหลังจากนั้นทิ้งตัวลงนั่งบนเตียงนุ่ม เขา วางร่างงามคร่อมลงไปบนความแข็งขึงตื่นตัว มือสองข้างช่วย ขยับยกสะโพกเต็มมือ เพื่อให้จังหวะเป็นไปอย่างใจต้องการ

เจียวมี่หลับตารองรับความเสียวซ่าน ความรัญจวนหวาน หวีดส่งให้ร่างสาวสะท้านไหว ใบหน้าแหงนเงยรอรับปลายลิ้นที่ กำลังไล่เรื่อยลงไปครอบครองอกอิ่ม แอ่นเสนอเขาอย่างกระตือรือร้น

ร่างใหญ่เอนกายราบไปกับที่นอนปล่อยให้หญิงสาวเป็นฝ่ายขับควบ พร้อมยื่นมือใหญ่ขึ้นเคล้นคลึงอกอิ่มอย่างเอาใจ เมื่อรับรู้ว่าเจียวมี่อ่อนแรง เขาก็พลิกร่างเล็กลงให้นอนราบ

ร่างใหญ่เคลื่อนกายทาบทับ สองมือสอดเข้ากอบกุมสะโพกนิ่ม กอบกุมดุนดันในยามที่เขาโจนจ้วงเข้าหาเป็นจังหวะเร่าร้อน

หญิงสาวอ้าปากหอบหายใจเพื่อปลดปล่อยความพลุ่งพล่าน ความสุขสมแล่นพลิ้วทั่วทุกอณูร่างกาย เมื่อเกร็งร่างรับ การสอดเสยครั้งแล้วครั้งเล่าที่มีแต่หนักหน่วง

จังหวะสุดท้ายที่เอวสอบสอดแทรก สะโพกงามถูกยกหยัดและกดลงลึกล้ำ ร่างของทั้งสองกระตุกเยือกแข็งค้างพร้อมเสียงคำรามและครวญครางอย่างสุขสมล้นปรี่

“อา…!!!”

สองเสียงดังขึ้นพร้อมกัน ธารร้อนแห่งกามารมณ์หลังริน ออกมาจนรับรู้ได้อย่างชัดเจน

เยี่ยนเฟิงก้มลงจุมพิตเจียวมี่อย่างลึกล้ำ สองมือสอดเข้า กอบกุมมือเล็กวางบนเตียง สอดประสานทั้งสิบนิ้วเกี่ยวเกาะไม่ผละห่าง เอวสอบเกร็งแน่นขยับเป็นจังหวะเนิบนาบ มอบธารร้อน เข้าสู่ใจกลางสาวให้มากเท่าที่จะมากได้

‘จดจำไว้ เจ้าเป็นของข้า’

เขากระซิบเมื่อผละจุมพิตออก ก่อนประทับริมฝีปากลงไปยังใบหูเล็ก เอวสอบยังคงขยับไหวไม่หยุด ทำให้ร่างที่เพิ่งสุข สมทะลักล้นไปด้วยธารร้อนของเขาสะท้านเยือก

ร่างเล็กกว่าอ่อนล้า หากแต่ก็เริ่มบีบรัดตัวตนของเขาที่กระตุกเร่า ก่อนเริ่มพองตัวทั้งที่ยังไม่ได้ถอดถอน

เจียวมี่ครางเสียงกระเส่า เอวอ่อนหยัดรับจังหวะเนิบนาบ หากแต่ลึกล้ำจนหญิงสาวซ่านกระสัน ร่างงามท่วมท้นไปด้วยความรู้สึกหวามไหว กลางกายสาวถูกกระตุ้นเร้าจนร้อนเร่า ต้องการการปลดปล่อยอีกครั้ง

“ฉันเป็นของคุณค่ะเยี่ยนเฟิง ถ้าคุณจะอยู่เคียงข้างฉัน อยู่ในยามที่ฉันต้องการ ฉัน…ไม่อยากอยู่คนเดียวอีกแล้ว”

คำตอบนั้นทำให้ร่างใหญ่โจนจ้วงเข้าหาร่างงามอย่างไม่ออมมือ โรมรันพัวพันอย่างเร่าร้อน รุกเร้าอย่างลึกล้ำ สอดแทรก แก่นกายที่ราวกับไม่มีวันอ่อนตัว จังหวะทั้งเนิบช้าและดุดัน หากแต่ก็ให้ความรู้สึกน่าหลงใหลจนแทบเป็นการเสพติด

เจียวมี่ได้แต่นอนทอดร่างอ่อนระทวยให้เขากลืนกิน ทุก หยาดหยดและทุกความสุขสม สูบกินพลังชีวิตของหญิงสาวไปทีละน้อย หากแต่ความสุขสมจากความปรารถนา กลับสามารถทดแทนทุกสิ่ง

ยิ่งเขาเรียกร้องเจียวมี่ก็ยิ่งตอบสนองอย่างถึงแก่น กระทั่งรุ่งสางร่างงามจึงหมดสติไป หลังจากที่ถูกเยี่ยนเฟิงนำพา ไปฝั่งของความหฤหรรษ์ครั้งแล้วครั้งเล่า แม้แต่เรี่ยวแรงทั้งหมดก็ไม่หลงเหลือ จะลืมตาก็ยังไม่อาจทำได้

เยี่ยนเฟิงเลื่อนคนที่นอนหลับขึ้นมานอนควํ่าลงไปบนเรือนกายแกร่ง เขากวาดสายตามองใบหน้าเหน็ดเหนื่อยของหญิงสาวด้วยดวงตาหลงใหล

‘เจ้าเป็นของข้า’

ประโยคนั้นดังขึ้นพร้อมดวงตาที่แดงวาบขึ้น จากนั้นก็ กลับมาดำขลับไร้ประกายเช่นเดิม

เจียวมี่เดินออกจากลิฟต์มาด้วยท่าทางอิดโรย ของกินในตู้เย็นหมดลงแล้ว และวันนี้จำเป็นต้องไปซื้อของมาเพิ่ม หลังจาก หมกตัวอยู่ในห้องมาตลอดทั้งอาทิตย์

“สวัสดีค่ะ”

หญิงสาวทักทายพนักงานรักษาความปลอดภัยประจำคอนโด จากนั้นจึงเดินไปยังลานจอดรถ

“เอ นั้นใช่ห้อง 6601 ใช่หรือเปล่า”

“ใช่นี่นา เอ ป้าฉู่บอกว่าจะไปอยู่ต่างเมืองตั้งแต่อาทิตย์ที่แล้วนี่นา”

“ก็นั่นนะสิ ทำไมยังอยู่ละนั่น”

“สงสัยไม่สบายเลยไม่ได้ไปแล้วมั้ง หน้าซีดเชียว”

“หน้าซีดเหรอ ทำไมฉันมองว่าหน้าดูดำคล้ำอย่างกับคนถูกคุณไสยเลย”

“บ้าแล้ว”

“จริงๆ นะเว้ย เรื่องแบบนี้คนที่บ้านข้าเขาดูเก่ง หน้า หมองคล้ำไม่มีราศีเอาเสียเลย”

รถยนต์กำลังวิ่งผ่านป้อมไป ลุงทั้งสองคนหยุดชะงัก ประโยคที่กำลังพูดคุย สายตาของคนทั้งสองจ้องเขม็งเข้าไปในรถยนต์ของหญิงสาวที่กำลังขับออกไป

“6601 มีแฟนแล้วหรอกเหรอเนี่ย หล่อเหลาเอาการเลยนะ เสียอย่างเดียวทำไมไว้ผมยาวเหมือนผู้หญิง”

“แฟนที่ไหนกัน!”

“เอ้า ก็พ่อหนุ่มที่นั่งอยู่เบาะข้างๆ ยังไงละ” ไม่พูดเปล่าชี้ มือไปยังรถยนต์ที่เพิ่งวิ่งผ่านป้อมไป

“ไหนไม่เห็นมี เขาขับไปคนเดียวชัดๆ”

“ไม่มีได้ยังไงก็นั่งอยู่…”

หันไปหน้าจอกล้องวงจรปิดที่รถยนต์เพิ่งวิ่งผ่านไป เบาะ ข้างคนขับกลับว่างเปล่า ไร้คนอย่างสิ้นเชิง…

เมื่อไม่อยากเชื่อสายตาก็หรี่ตาจ้องไปที่รถยนต์คันดังกล่าวอีกครั้ง แต่ก็ยังเห็นเหมือนเดิม…มีผู้ชายผมยาวนั่งอยู่เบาะข้างคนขับจริงๆ

“ผะ….ผีหลอก ข้าว่าแล้วว่านังหนูนั่นโดนของแน่ๆ!!!” เสียงตะโกนดังลั่นไปทั้งป้อมแต่เจียวมี่กลับไม่ได้ยิน เพราะกำลังขับรถออกไปจากคอนโด

เช่นเดียวกันคนอื่นเมื่อมองเข้าไปในรถยนต์ พวกเขาบาง คนเห็นมีผู้ชายหล่อเหลาผมยาวสลวยนั่งอยู่ข้างคนขับ บางคนกลับมองไม่เห็น และไม่อาจล่วงรู้ว่าแท้จริงแล้วพวกเขามองเห็นสิ่งใดกันแน่

คำตอบนี้มีเพียงเจียวมี่เท่านั้นที่ล่วงรู้ดี เพราะหลังจาก โทรไปบอกพี่ชายว่าเปลี่ยนใจไม่ไปทำงานกับเขาแล้ว หญิงสาวก็เอาแต่เก็บตัวอยู่ในคอนโด ไม่ไปไหนนอกจากลงมาซื้อของกิน ไม่ไปทำงาน ไม่ติดต่อกับคนอื่น

สองเดือนผ่านไปใบหน้าของเจียวมี่ก็ยิ่งซูบตอบ ร่างงาม ที่เคยอวบอัดกลับผ่ายผอมลง พลังชีวิตที่เคยส่องสว่างมาบัดนี้ กลับคล้ายค่อยๆ มืดดับลงเรื่อยๆ

ภายในห้องในยามคํ่าคืน เสียงหอบกระเส่ายังคงดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง แม้เหนื่อยล้าหากแต่ร่างกายกลับยังคงมีความต้องการอย่างไม่อาจควบคุม

เสียงกระทั้นกระทบในยามที่อารมณ์คุกรุ่นได้รับการตอบสนอง จังหวะขยับไหวส่งผลให้เตียงนอนลั่นเอี๊ยดอ๊าด

ลมหายใจหอบหนักหน่วงขึ้นเรื่อยๆ ในยามที่ความสุขสมเริ่มพอกพูน ความพลุ่งพล่านส่งผลให้จังหวะเร่งเร้ารุนแรง เจียวมี่แหงนหน้ากรีดร้อง พร้อมขยุ้มผ้านวมแน่นจนข้อนิ้วซีดขาว ร่างงามเกร็งแน่น เมื่อแก่นกายร้อนโจนจ้วงลึกล้ำ ก่อนจะถูกดันค้าง เอาไว้ในช่วงแห่งการปลดปล่อยที่ทะลักทลาย

“ไม่ไหวแล้ว”

ร่างเล็กล้มตัวลงนอนลมหายใจแผ่วเบาลงเรื่อยๆ

เยี่ยนเฟิงก้มลงจุมพิต พร้อมป้อนบางอย่างข้นเหนียวเข้าปากหญิงสาว กลิ่นคาวคลุ้งน่าสะอิดละเอียดไหลลงคอ แต่เจียวมี่กลับยังคงกลืนกินทุกอย่างที่เขาป้อนให้

มองดูหญิงสาวผล็อยหลับไป ดวงตาของเยี่ยนเฟิงสว่างวาบด้วยความหมายมาด

‘อีกไม่นานยอดรัก เจ้าจะกลายมาเป็นส่วนหนึ่งของข้า และอยู่กับข้าไปชั่วกัปชั่วกัลป์ ร่างมนุษย์ของเจ้าอ่อนแอเหลือเกิน รอวันที่เจ้ากลายมาเป็น…เช่นข้า’

เขาจุมพิตลงบนหน้าผากนวล

รอ…รอคอยวันที่เจียวมี่จะกลายเป็นปีศาจเช่นเขา หลังจากร่วมคู่และดื่มเลือดของปีศาจราคะเช่นเขา ไม่นานหญิง สาวก็จะกลายเป็นของเขาอย่างสมบูรณ์

เขาไม่มีวันยอมให้ใครเข้ามาขัดขวาง

เช่นพนักงานรักษาความปลอดภัยสองคนนั้น

เช่นแม่บ้านแซ่ฉู่

หรือแม้กระทั่งพี่ชายของหญิงสาวที่พยายามติดต่อเข้ามา…

พวกนั้นล้วนกลายเป็นศพ เพราะพยายามเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเจียวมี่

‘เจ้าเป็นของข้าเสี่ยวมี่ เจ้าเป็นคนปลดปล่อยข้า ดังนั้น นับจากนี่ข้าจะผูกติดเจ้าเอาไว้กับข้าชั่วนิรันดร์’

กล่าวจบเขาก็รวบร่างเล็กเปลือยเปล่าขึ้นนอนก่ายเกยบนร่างแกร่ง ปล่อยให้หญิงสาวได้นอนพักผ่อนสักครู่ จากนั้นความเร่าร้อนยามคํ่าคืนเช่นทุกคืนก็จะถูกจุดขึ้น

เจียวมี่ตอบสนองเขาเป็นอย่างดี ยิ่งหลังจากได้ดื่มเลือดของเขา หญิงสาวก็ยิ่งเร่าร้อนขึ้นทุกคืน ราวกับร่างกายกำลังแปรเปลี่ยนไปในทิศทางที่เขาต้องการ

หญิงสาวตอบสนองเขายาวนาน และรุนแรงขึ้น เสนอและสนองในสิ่งที่เขาเรียกร้อง หรือบางครั้งก็เป็นฝ่ายเรียกร้องเอง อย่างร้อนแรงพอกัน

อีกไม่นานหากเจียวมี่เปลี่ยนเป็นปีศาจ เขาก็จะมีหญิงสาวร่วมเรียงทุกเช้าคํ่า คลอเคลียกอดก่ายกันอย่างถึงแก่น โดยไม่ต้องกลัวว่าใครอีกคนจะบุบสลาย

เขาจะปลดปล่อยได้เต็มที่โดยมีเจียวมี่คอยตอบสนองรองรับ ชั่วกัปชั่วกัลป์นี้ไม่แยกจากกันไม่แม้สักเสี้ยววินาที

‘ของข้า…’

—จบบริบูรณ์—

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version