Skip to content

หลิงหลานตำหนักซ่อนสิเน่หา 4

บทที่ 4

หลังจากที่ฉินเหม่ยและหนิงอวี่แยกตัวไป เจียวมี่ยังคงนั่ง รออยู่ที่โถงรับรอง ทั้งนี้ก็เพราะต้องมีใครสักคนนั่งรอเผื่อว่าคุณ ตำรวจเจ้าของคดีจะมา เพราะจนถึงตอนนี้หญิงสาวเองก็ อยากจะกลับปักกิ่งแล้วเต็มที

เมื่อคิดถึงเรื่องราวทั้งหมดนับตั้งแต่มาเยือนยังหมู่บ้าน แห่งนี้ รวมไปถึงความฝันลามกที่ไม่อาจเล่าให้ใครฟัง เนื่องจาก ในฝันนั้นช่างวาบหวามชวนให้ใจสั่นทุกครั้งที่คิดถึง

หากแต่ในความวาบหวามนั้น กลับมีความรู้สึกบางอย่าง ที่ไม่อาจอธิบาย ทุกครั้งที่อยู่เพียงลำพังในบ้านหลังนี้ ความรู้สึกบอกว่ามีบางอย่างกำลังจ้องมองอยู่ ทำให้หญิงไม่ใคร่จะสบายใจนัก ทั้งชีวิตไม่เคยพบพานกับเรื่องราวลึกลับ แต่ครั้งนี้กลับรู้สึกถึงมันอย่างชัดเจน

“มันคือความฝันจริงหรือ” หญิงสาวพึมพำพร้อมกับลุก

ขึ้นยืน

ร่างเล็กเดินไปหยุดยังหน้าประตูห้องโถงรับรอง มองดู สวนขนาดเล็กที่สามารถมองทะลุไปถึงประตูใหญ่ เรือนระเบียง อันเงียบเชียบทอดยาวไปยังตัวเรือนทั้งสอง จากนั้นอ้อมผ่านเรือน หลักเข้าไปยังเรือนด้านหลัง

บ้านหลังใหญ่ถึงเพียงนี้แต่กลับร้างไร้คนอยู่ ทั้งที่ข้าวของ อำนวยความสะดวกหรือก็ครบครัน บรรยากาศหรือก็ร่มรื่นน่าอยู่ หากไม่นับว่าเงียบเกินไปจนอาจดูวังเวงบ้าง แต่สำหรับคนที่ชอบ ความเงียบสงบแล้ว บ้านหลังนี้คงจะให้ความรู้สึกวิเศษไปเลย

‘เช่นนั้นก็อยู่เสียด้วยกันสิ’

เสียงกระซิบข้างหูทำเอาหญิงสาวสะดุ้ง กระนั้นเมื่อมอง ไปรอบด้านกลับมีเพียงความเงียบเป็นคำตอบ เสียงที่คล้ายมีและคล้ายไม่มีนั้น ทำให้คิ้วเรียวขมวดมุ่นกวาดสายตามองเข้าไปยังโถงรับรอง เจียวมี่จ้องเขม็งไป ยังเก้าอี้ที่ว่างเปล่า จำนวนเก้าอี้ที่วางอยู่คือสามตัว หญิงสาวกับเพื่อนเองก็มากันสามคน

เรื่องนี้เป็นความบังเอิญเกินไป หรือว่าเจ้าบ้านคนเดิมก็มีสมาชิกสามคน เรื่องนี้ไม่มีใครให้คำตอบได้

สายลมพัดวูบไหวดอกหลิงหลานสีขาวส่ายเอนกับสายลม เจียวมี่นั่งลงไล้ปลายนิ้วลงไปบนกลีบดอก

ว่ากันว่ากลิ่นของดอกหลิงหลานสามารถปลุกกำหนัดได้ เรื่องนี้จริงเท็จไม่มีใครยืนยัน แต่กลิ่นหอมเย็นนี้ทำให้เจียวมี่รู้สึก ผ่อนคลายมากกว่าความรู้สึกอื่น

เสียงกุกกักดังขึ้นที่หน้าประตูใหญ่ เจียวมี่ชะโงกหน้า ออกไปดูหากแต่ก็ไม่พบใคร พบเพียงตะกร้าสามใบวางอยู่ ในนั้น คือมื้อเช้าอย่างง่ายที่ถูกทิ้งเอาไว้

“แล้วทำไมไม่ส่งเสียงเรียกกัน’’

มองดูประตูที่ถูกปิดสนิทเจียวมี่ที่สองมือถือตะกร้า อาหารก็ไม่ได้ใส่ใจจะไปเปิดประตู หญิงสาวถือมื้อเช้าเข้ามายังห้องโถงรับรอง เพราะเพื่อนรักอีกสองคนบอกจะไปนอนเอาแรง ดังนั้นจึงไม่ได้ไปเรียกแม้ว่าจะมีมื้อเช้ามาส่ง

นั่งรออยู่นานก็ไม่เห็นมีใครมาสักคน เจียวมี่ตัดสินใจเดินเล่นไปรอบๆ บ้าน ระหว่างนั้นกลับมองเห็นหนิงอวี่กำลังเดินไปยังเรือนครัว

“หรือว่าจะหิว แต่เมื่อกี้บอกไม่หิวแล้วจะไปนอนแทนนี่”

เรือนครัวนั้นว่างเปล่า เนื่องจากทั้งสามฝากท้องเอาไว้ที่บ้านของเสี่ยวเชี่ยน ที่นี่จึงไม่มีของสด หรืออะไรที่ทำของว่างได้ ยิ่งไม่นับว่าหนิงอวี่ไม่ชอบทำกับข้าว ดังนั้นเจียวมี่จึงเดินตามไป

หากแต่ไม่รู้เพราะอะไรหนิงอวี่จึงเดินเร็วเหลือเกิน คลาดสายตาครู่เดียว แผ่นหลังกลับหายเข้าไปในสวนด้านหลังเสียแล้ว

คิ้วเรียวขมวดมุ่นเมื่อมองไปอีกด้าน ในคลองสายตาดู เหมือนจะมองเห็นแผ่นหลังของฉินเหม่ยเช่นกัน

“เสี่ยวอวี่ เสี่ยวเหม่ย นั่นพวกเธอหรือเปล่า!”

เจียวมี่ขมวดคิ้วมองไปรอบๆ ไม่เคยรู้มาก่อนว่าสวน ด้านหลังจะรกและทึบขนาดนี้ เงยหน้าขึ้นมองต้นไม้สูงและเถาไม้ ซึ่งหนาทึบตรงหน้า

เถาดอกไม้เหล่านั้นมีดอกหลิงหลานแทรกอยู่ทุกอณู ยิ่ง ทำให้ทุกอย่างดูน่าประหลาดใจและไม่มีทางเป็นไปได้ เนื่องจากหลิงหลานไม่ใช่ไม้เถา

หญิงสาวบอกตัวเองให้หันหลังกลับไป แต่เพราะความไม่ แน่ใจทำให้หยุดยืนอยู่ตรงนั้น จะก้าวไปต่อก็รู้สึกถึงบางอย่างไม่ชอบมาพากล หากไม่ไปก็มองเห็นแผ่นหลังของเพื่อนรักเดินหายเข้าไปทั้งสองคน

‘เข้าไปสิ’ เสียงหนึ่งกระซิบบอก

เจียวมี่ดวงตาไหววูบ ก่อนแววตาจะเปลี่ยนเป็นเลื่อนลอย กระทั่งก้าวเดินเข้าไปในเถาไม้นั้น โดยไม่รู้เลยว่าทันทีที่ก้าวเข้าไป ร่องรอยของหญิงสาวก็ถูกกลบเกลื่อน

เถาไม้ที่ถูกแหวกเป็นช่อง อยู่ๆ ก็ขยับและเคลื่อนไหว บด บังกระทั่งมองไม่เห็นช่องที่หญิงสาวมุดเข้าไป

หนิงอวี่กะพริบตาเปิดด้วยความง่วงงุน ร่างกายเปลือยเปล่าเย็นเยียบ ราวกับถูกแช่อยู่ในน้ำแข็ง มือและเท้าไม่อาจขยับ ได้แต่นอนควํ่าหน้าลงอยู่เช่นนั้น ไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ที่ไหน ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น

ความทรงจำสุดท้ายคือตัวเองแยกจากเพื่อนอีกสองคน ในใจคิดเพียงอยากจะนอนต่ออีกสักงีบ ใครจะคิดว่าลืมตาตื่นขึ้นอีกครั้ง จะพบเพียงความมืดและความเงียบเช่นนี้

“เสี่ยวมี่ เสี่ยวเหม่ย”

หญิงสาวคิดว่าตัวเองตะโกนออกไปสุดเสียง แต่น้ำเสียง นั้นแหบแห้งจนแม้แต่เจ้าตัวเองก็แทบไม่ได้ยิน

บางอย่างเคลื่อนไหวอยู่ใต้ร่างทำให้ตื่นตระหนก ความเย็นเยียบนั้น แท้จริงแล้วมีจุดกำเนิดมาจากสิ่งที่หนิงอวี่กำลังนอนทาบทับอยู่

“อา…”

เสียงครวญครางด้วยความรัญจวนดังเล็ดลอดออกมาจากริมฝีปากอิ่ม หนิงอวี่ตัวเกร็งไปทั้งร่าง ด้วยเพราะความแข็งขึง ที่สอดเสยขึ้นมาอย่างไม่มีสัญญาณ ทำให้กายสาวที่ยังไม่พร้อมบีบรัดตัว กระทั่งไม่อาจรองรับความต้องการที่มาอย่างปุบปับ

มือน้อยไขว่คว้าบางอย่างในความมืด หากแต่ความคับ แคบของพื้นที่ซ้ายขวา ทำให้หญิงสาวจำต้องหดมือกลับ สองขา ถูกบีบให้นอนคร่อมลงบนร่างแกร่งของใครบางคน สะโพกนิ่มถูก

กอบกุมบีบเคล้นด้วยมือใหญ่เย็นเยียบ

หนิงอวี่สะอื้นฮักด้วยความรัญจวน หลังจากแก่นกายร้อนขยับไหวช้าๆ เพื่อให้กายสาวได้ปรับตัวกระทั่งชุ่มฉํ่าในเวลาต่อมา

ความวาบหวามครอบงำ ทำให้หญิงสาวลืมสิ้นทุกอย่าง ร่างเล็กแอ่นเอวอ่อนเข้าหาความแข็งแกร่งใต้ร่าง ออกแรงบด เบียดสะโพกตอบรับจังหวะร้อนแรงที่สอดเสยขึ้นมา กระทั่งหัว ใจเต้นรัวแรงอย่างช่วยไม่ได้

ความพลุ่งพล่านในกาย เอาชนะความสงสัยและความหวั่นหวาด แม้ตรงหน้าคือความมืดดำไร้ที่สิ้นสุด หากแต่กลับ เหมือนมีบางอย่างล่อลวงให้หลงวนอยู่ในความปรารถนาที่ยังไม่ได้รับการเติมเต็ม

สัมผัสจากมือใหญ่เลื่อนมากอบกุมเคล้นคลึงอกอิ่ม แรง บีบส่งผลให้กายสาวสะท้าน ยิ่งแรงกระทั้นขึ้นมามีมากเท่าไร ร่าง สาวก็ยิ่งหยัดกายเข้าหามากขึ้นเท่านั้น

หนิงอวี่อ้าปากหอบหายใจ ความสุขสมแล่นพลิ้วขึ้นมาระลอกใหญ่ สะโพกแกร่งที่หญิงสาวทาบทับราวกับรับรู้ ดังนั้น แรงกระทั้นกระแทกจึงเร่งรัวเร็ว

“อือ” หญิงสาวกดเล็บลงไปยังไหล่หนา หยัดเอวขึ้นเพื่อ รับจังหวะอันแสนสะท้าน

‘ว่านหรง’ เสียงหนึ่งกระซิบบอก ‘ชื่อของข้า เรียกชื่อของข้า’

“ว่าน…ว่านหรง’’

เสียงกระซิบแผ่นเบาของหญิงสาว ทำให้ร่างแกร่งเย็นเยียบยิ่งเร่งจังหวะ เสียงหอบหายใจกระเส่าของเขาชัดเจนขึ้น มือใหญ่กดสะโพกนิ่มเข้าหา จากนั้นคนทั้งสองก็อ้าปากคำรามออกมาด้วยความสุขสม

“อา…”

หนิงอวี่ทิ้งกายลงนอนหมอบกับร่างใหญ่ที่สั่นสะท้าน รับรู้ถึงร่างใหญ่ที่เพิ่งปลดปล่อยอย่างท่วมท้น

‘เสี่ยวอวี่ อยู่ที่นี่ อยู่กับข้า’

หนิงอวี่ที่ยังคงสุขสมและยังคงถูกกายลํ่าสันครอบครองยิ้มบาง หญิงสาวขยับสะโพกเพราะรับรู้ว่าตัวตนของเขากำลังพองขยายขึ้นอีกครั้ง

“ได้สิ อา…ได้ทั้งนั้น” หญิงสาวกระซิบตอบเขา จากนั้น เสียงครวญครางก็เล็ดลอดออกมาอีกครั้ง

ในห้องมืดอันอับชื้นซึ่งไร้ทางเข้าออก มองไม่เห็นแน่ชัด ว่าภายในห้องมีสภาพอย่างไร หากแต่ที่แน่ชัดก็คือนอกจากเสียงของว่านหรงและหนิงอวี่แล้ว ยังมีเสียงกระทบกระทั้นของเนื้อแนบเนื้อดังขึ้นมาให้ได้ยิน ทั้งยังดังมาจากที่ซึ่งอยู่ไม่ไกลกันนัก

“จื่อเสียน อา….จื่อเสียน”

นั่นคือเสียงของฉินเหม่ย ซึ่งแน่นอนว่าทั้งหนิงอวี่และฉินเหม่ย ทั้งสองคนต่างฝ่ายต่างก็ไม่ได้ยินเสียงของกันและกัน เว้น แต่เพียงคนที่เพิ่งจะก้าวเข้ามาในห้อง

ท่ามกลางเสียงครวญครางด้วยความรัญจวน เสียงกลไก บางอย่างก็กำลังเลื่อนประตูหินให้เปิดออก แผ่นหินหนาหนักครูดไปกับพื้นห้อง เกิดเป็นเสียงและแรงสั่นสะเทือนขึ้นใต้ฝ่าเท้า

ถึงอย่างนั้นเจียวมี่ก็ยังคงยืนนิ่ง ไร้ท่าทีตื่นตระหนก ดวงตาหรือก็ไร้ประกายโดยสิ้นเชิง

แสงจากด้านนอกที่สาดเข้ามาในห้องมืดอับชื้น ปรากฏ ให้เห็นภายในห้องอย่างชัดเจน ห้องลับขนาดกว้างขวางซึ่งซุก ซ่อนอยู่ในห้องลับใต้ดิน มีโลงศพสามโลงวางอยู่คนละทิศโดยหัน ศีรษะเข้าหากันเป็นสามเหลี่ยม

ผนังห้องที่เสียดสีกับกลไกเกิดเป็นไฟลุกพรึบขึ้น จากนั้น คบเพลิงก็ส่องสว่างขึ้นจากสามด้าน ทำให้มองเห็นบรรยากาศ ภายในทุกซอกทุกมุม แม้แต่เหนือเพดานห้องซึ่งเต็มไปด้วย อักขระที่ถูกเขียนเอาไว้เหนือโลงทั้งสาม

เสียงกระซิบจากที่ใดสักแห่ง ทำให้หญิงสาวก้าวเดินเข้า ไปยังโลงซึ่งตั้งอยู่ตรงกลาง เสียงครวญครางที่ดังเล็ดลอดออกมาจากโลงซ้ายขวา ไม่ได้เรียกความสนใจของหญิงสาวเลยแม้แต่น้อย

ประตูหินเลื่อนปิดลงหากแต่คบเพลิงยังคงส่องสว่าง เจียวมี่ยังคงดวงตาเลื่อนลอย หญิงสาวยืนนิ่งไม่ไหวติง กระทั่ง เสียงฝาโลงตรงหน้าค่อยๆ เลื่อนเปิดออกช้าๆ

เสียงฝาโลงเสียดสีกันเกิดเป็นเสียงอันน่าขนลุก เจียวมี่ยกมือขึ้นช้าๆ ก่อนจะวางมือลงไปยังขอบโลง ควันสีขาวลอยกรุ่นออกมาจากด้านใน พร้อมกันนั้นเปลวไฟจากคบเพลิงก็ไหววูบ บรรยากาศเย็นเยียบหลั่งไหลออกมา

ในกลุ่มควันสีขาวที่ลอยออกมาจากโลงศพ เงาซึ่งมีรูปร่างเหมือนมือค่อยๆ ยื่นออกมา

เจียวมี่วางมือของตนลงไปยังมือข้างนั้นอย่างเลื่อนลอย กระทั่งร่างเล็กถูกดึงเข้าไปในโลงไม้ฝาโลงจึงค่อยๆ เลื่อนปิด เสียงสวบสาบดังเล็ดลอดออกมา กระทั่งถูกแทนที่ด้วยเสียง ครวญครางด้วยความพึงพอใจ

ร่างของหญิงสาวถูกรั้งให้นอนลงไปหาร่างเย็นเยียบ พร้อมจุมพิตที่ประทับยังริมฝีปากอิ่ม เจียวมี่รับรู้ได้ถึงร่างแกร่งที่นอนอยู่ข้างใต้ เขาทั้งพร้อมพรั่งและร้อนแรงจนหญิงสาวแทบขาดใจ ทันทีที่แนบร่างเนียนนุ่มกับร่างแกร่ง เสื้อผ้าก็ถูกเขาฉีกขาดจนแทบไม่มีชิ้นดี

ในความมืดมิดมีดวงตาคู่หนึ่งส่องประกายเลือนราง ใจ กลางแสงมืดมนในดวงตาคู่นั้น คือดวงตาแห่งปีศาจราคะที่เต็มไปด้วยความปรารถนา

เขาสะกดให้หญิงสาวจมลงไปในห้วงแห่งความมืดมิดไร้จุดสิ้นสุด ดึงดูดทุกความปรารถนาที่ต้องการการเติมเต็ม กระทั่ง ล่อลวงให้หญิงสาวเข้ามาติดกับ โดยใช้ชั้นเชิงที่เหนือกว่า ใช้การ เสพสมแห่งกามารมณ์หลอกล่อให้หญิงสาวยินยอมมอบทุกสิ่ง ทุกอย่างเพื่อตอบสนอง

เจียวมี่ครวญเสียงหวานในยามที่สะโพกถูกความแกร่ง กล้าของบุรุษเพศเสียดสี กายสาวเปลือยเปล่า ส่วนปลายที่ถูไถ เป็นจังหวะเร่าร้อนนั้น ล่อลวงธารมธุรสให้หลั่งรินให้ความแห้ง แล้งเปลี่ยนเป็นชุ่มฉํ่า

เสียงกระซิบแผ่วเบาบอกให้หญิงสาวเรียกชื่ออีกชื่อหนึ่ง ‘เยี่ยนเฟิงคือชื่อของข้า เสี่ยวมี่…จงเรียกชื่อข้า เพราะเจ้าต้องอยู่กับข้าที่นี่’

ไม่รู้วันเวลาผ่านไปนานเท่าไร เจียวมี่ร่างกายชาหนึบจนแทบไม่อาจขยับ

สัมผัสที่ลูบไล้ยังคงดำเนินต่อไป หากแต่กลับไม่ได้สร้าง ความวูบวาบหวามไหว เพราะมันถูกแทนที่ด้วยความหนาวเหน็บและเย็นเยียบ

ในความมืดหญิงสาวพยายามตั้งสติและขัดขืนความ ปรารถนาที่ถูกจุดขึ้นมา กระนั้นทุกครั้งกลับเหมือนมีบางอย่างดึงดูดให้ไขว้เขว

ไม่ว่าจะเป็นเสียงกระซิบ ฝ่ามือร้อนที่ลูบไล้สัมผัส บางครั้งเร่าร้อน บางครั้งก็อ่อนโยน รวมไปถึงท่อนล่างที่ถูกรุกราน อย่างหนักจนไม่มีเวลาได้หยุดพัก

‘เสี่ยวมี่ เธอต้องตื่นขึ้นมานะ ตั้งสติสิ เธอต้องไปจากที่นี่’

เสียงอันคุ้นเคยทำให้หญิงสาวกะพริบตาหนักอึ้งขึ้น ร่างกายอ่อนแรงดูเหมือนไม่ตอบสนองคำสั่งการอีกต่อไปแล้ว ท่อนขาเพรียวที่คร่อมตักแกร่ง รับรู้ถึงคนใต้ร่างที่ยังคงแข็งขึง มือ ใหญ่ยังคงโลมเล้าเคล้นคลึงไปทั่วผิวกายเนียนละเอียด

‘เสี่ยวมี่ เธอต้องไปจากที่นี่ อย่าหลับนะ’

“เสี่ยวเชี่ยน เธอตายไปแล้วไม่ใช่หรือ” หญิงสาวพึมพำเสียงเบา “ที่นี่ที่ไหน”

‘เสี่ยวมี่ลืมตาขึ้นสิ เธอต้องตื่น’

จุมพิตเย็นเยียบทำให้หญิงสาวสะดุ้ง แผ่นหลังที่ถูกลูบไล้ บวกกับกายสาวที่บีบรัด ทำให้อารมณ์หวามไหวพุ่งขึ้นสูง เสียง หอบหายใจของร่างแกร่งทำให้หญิงสาวเริ่มไขว้เขว

เอวอ่อนขยับตอบรับจังหวะสอดเสย จากจังหวะเนิบช้า เริ่มเร่งเร้าจนต้องอ้าปากส่งเสียงระบายความพลุ่งพล่าน อกอิ่มทั้งสองข้างถูกบีบเคล้น ส่วนล่างถูกรุกเร้าด้วยจังหวะอันเร้าใจ ริม ฝีปากถูกครอบครองพัวพัน

เจียวมี่ลืมสิ้นทุกอย่าง เพียงจมจ่อมอยู่กับร่างแกร่งที่ กำลังปรนเปรอให้อย่างถึงแก่น หลงวนอยู่ในความปรารถนาซึ่ง เหนี่ยวรั้งทุกอณูความนึกคิดเอาไว้จนสิ้น

‘เสี่ยวมี่!!!’

เสียงกร้ดร้องของเสี่ยวเชี่ยน ทำให้เจียวมี่ปวดศีรษะจนคิ้วขมวด ในหัวเกิดภาพหนึ่งวาบขึ้นมา

ในคฤหาสน์หลังใหญ่มีบุรุษรูปงามสามคนนั่งอยู่ในห้องโถง พวกเขาต่างเป็นศิษย์สำนักเดียวกัน ต่างก็โดดเด่นกันไปคนละแบบ นอกเหนือไปจากพวกเขาแล้ว กลางห้องยังมีสตรีนางหนึ่งนั่งจิบชาอยู่

‘อาจารย์หญิง วันนี้ท่านมิใช่ต้องออกไปที่สำนักคุ้มภัยหรอกหรือ อาจารย์ออกไปนอกเมืองเช่นนี้ท่านสมควรออกไปงานเลี้ยงแทนอาจารย์’

‘นั่นสินะ เช่นนั้นเยี่ยนเฟิง วันนี้เจ้าไปเป็นเพื่อนอาจารย์หญิงก็แล้วกัน’

‘ขอรับ’ บุรุษนามเยี่ยนเฟิงตอบรับก่อนจะลุกขึ้น

ว่านหรงและจื่อเสียนมองตามผู้เป็นอาจารย์หญิงไปด้วยดวงตาเรียบเฉย กระทั่งรถม้าวิ่งออกไปว่านหรงจึงหันหลังกลับ หากแต่จื่อเสียนถอนหายใจออกมาด้วยเสียงหนักอึ้ง

‘เราจะปล่อยให้เรื่องนี้ดำเนินไปอีกนานเท่าไร หาก อาจารย์ล่วงรู้ไม่ว่าอย่างไรโทษตายก็หนีไม่พ้น ปล่อยศิษย์น้องซึ่ง ไร้เดียงสาออกไปกับอาจารย์หญิงเช่นนี้…’

‘หรือไม่เจ้าเสนอตัวไปแทนเขาดีหรีอไม่’ จื่อเสียนกล่าว ด้วยน้ำเสียงเย็นชาจากนั้นก็เดินจากไป

มองดูแผ่นหลังเย็นชาของศิษย์ผู้พี่ ว่านหรงเองก็ได้แต่ถอนหายใจ เงยหน้าขึ้นมองป้ายอักษรลายมือของผู้เป็นอาจารย์ ในใจเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด คฤหาสน์หลังนี้อาจารย์สร้างขึ้นให้อาจารย์หญิงด้วยความสิเน่หา ทั้งยังตั้งชื่อให้อย่างยิ่งใหญ่ว่า ตำหนักหลิงหลาน เพราะอาจารย์เห็นอาจารย์หญิงเป็นดั่งองค์หญิงผู้เป็นที่รัก

หลายปีมานี้ทั้งเขาและจื่อเสียนต่างวนเวียนอยู่กับบาปในใจซึ่งไร้ทางออก มาวันนี้มีเยี่ยนเฟิงเพิ่มเข้ามาอีกคน ในใจของเขาทั่งสับสนและรู้สึกผิด

ความสกปรกโสมมที่ทั้งสองคนได้รับนั้น เกินกว่าที่จะได้รับการอภัย หากแต่การที่พวกเขายังคงปล่อยให้เรื่องดำเนินต่อไป ยิ่งเป็นเรื่องที่ไม่อาจให้อภัยมากกว่า

อาจารย์รับทั้งสองเอาไว้ทั้งยังสั่งสอนให้ฝึกยุทธ์ บุญคุณ ที่ช่วยชีวิตให้ที่พักพิงนั้น ทั้งชีวิตก็เกรงว่าจะไม่อาจทดแทน กระนั้นทั้งเขาและจื่อเสียนต่างก็ปล่อยให้ความปรารถนาชั่ววูบ ทำลายทุกอย่างจนสิ้น

คิดถึงสิ่งที่เยี่ยนเฟิงต้องพบเจอในวันนี้เขาเองก็ได้แต่หนักใจ สายตาที่อาจารย์หญิงมองเยี่ยนเฟิง เขาที่เคยผ่านเรื่องเหล่านั้นมาย่อมมองออก

‘ข้าช่วยเจ้าไม่ได้ เพราะแม้แต่ข้าเองก็หลงวนในวังวน โสมมนี้วันหน้าเจ้าก็อย่าอภัยให้ข้าเลย’

บนรถม้าเยี่ยนเฟิงที่ทำหน้าที่บังคับม้ามองซ้ายขวา เนื่องจากเส้นทางที่อาจารย์หญิงชี้นำนั้น หาใช่เส้นทางใช้เข้าเมืองไม่

‘อาจารย์หญิง ถนนเส้นนี้..’

‘ข้าจะแวะที่หนึ่งก่อน เจ้าเพียงตรงไปเรื่อยๆ จะพบกระท่อมริมลำธาร ข้านัดพบกับคนผู้หนึ่งที่นั่น’

‘ขอรับ’

เมื่อรถม้าไปถึงยังกระท่อมดังกล่าว เยี่ยนเฟิงก็พยุงอาจารย์หญิงลง นางยื่นถุงน้ำให้เขาจากนั้นก็คะยั้นคะยอให้เขาดื่มเข้าไป

‘อากาศร้อนเจ้าดื่มนํ้าหน่อยเถิด ยังไม่ถึงเวลานัด เราคง ต้องนั่งรอสักหน่อย’

น้ำดื่มในถุงมีกลิ่นหอมเย็นของดอกหลิงหลาน เยี่ยนเฟิง ไม่ได้เอะใจเพียงดื่มเข้าไปอย่างว่าง่าย หลังดื่มน้ำเข้าไปสักพักจึง รับรู้ถึงความผิดปกติของตัวเอง

ร่างกายของเขาร้อนจนแทบทนไม่ไหว ได้แต่เดินโซซัด โซเซไปยังลำธารซึ่งอยู่ไม่ไกล แต่ดูเหมือนน้ำเย็นเยียบในลำธาร ยังไม่อาจดับความร้อนในกายได้

‘เยี่ยนเฟิง เป็นอะไรไปหรือ’

เสียงของอาจารย์หญิงทำให้ร่างสูงพลิกกายขึ้นมาจากน้ำ เขาเปียกโชกไปทั้งตัว ในยามที่ร่างหอมกรุ่นชิดเข้ามาหา ตอนนี้เขาจึงเพิ่งเห็นว่านางเปลือยเปล่าทั้งกาย ทั้งยังทาบทับ มายังตัวเขาที่อ่อนแรง

‘อาจารย์หญิง…’

เสียงของเขาแหบกระเส่า ในยามที่ร่างอวบอัดบดเบียดเรือนกายเข้าหา กระทั่งเขานอนราบลงไปยังแผ่นหินริมลำธาร

ทุกอย่างเกิดขึ้นโดยที่เขาเองก็ให้ความร่วมมือเต็มที่ ความรู้สึกผิดชอบชั่วดีในใจราวกับถูกลืมเลือน ร่างกายของเขา ร้อนผ่าวอัดแน่นไปด้วยความปรารถนา กระทั่งกดร่างของ อาจารย์หญิงลงในลำธาร ปลดปล่อยทุกความต้องการลงไปบนเรือนร่างขาวผ่อง กระทั่งไม่แยกแยะถูกผิดหรือความเหมาะสม

ร่างอรชรเปลือยเปล่าตอบรับเขาอย่างเท่าเทียม ราวกับ ทั้งสองไม่ต้องการสิ่งใด เพียงต้องการเติมเต็มความเร่าร้อนที่แผดเผาเท่านั้น

นับจากเรื่องที่ลำธารในวันนั้น เยี่ยนเฟิงก็พบว่านรกที่ แท้จริงเพิ่งจะเริ่มต้นขึ้น เขาก้าวเข้ามาในสำนักเพียงเพื่อร่ำเรียน หากแต่กลับพบว่าตัวเขากำลังตกลงไปในห้วงแห่งความมืดมิด

ยามคํ่าคืนเขาจำต้องตอบสนองความต้องการของอาจารย์หญิง เนื่องจากหวั่นเกรงว่าจะโดนไล่ออกจากสำนัก

กระทั่งมาวันหนึ่งเขาพลันกระจ่าง แท้จริงแล้วมิใช่เขาที่ตกนรกทั้งเป็น จื่อเสียน ว่านหรง ศิษย์พี่ทั้งสองเองก็ไม่ต่างไปจากเขา

วันนั้นเขานอนไม่หลับ อีกทั้งอยากจะเลี่ยงอาจารย์หญิง ร่างสูงเดินไปหยุดลงยังศาลารับลมริมสระบัว แต่เสียงพูดคุยทำให้เขาชะงัก ก่อนมองเห็นร่างของคนสามคนกำลังกอดก่ายคลอ เคลียกันอยู่ท่ามกลางแสงจันทร์

เสียงหอบกระเส่าด้วยความรัญจวน ทำให้เขาตัวแข็งทื่อ จดจำได้ในทันทีว่านั้นคือเสียงของศิษย์พี่ทั้งสอง มองดูสตรี เปลือยเปล่าที่กำลังปลดเปลื้องความต้องการ ความรู้สึกรังเกียจ ผุดขึ้นมาทำให้เขาแทบอาเจียน

‘เยี่ยนเฟิเง มาสิ’

ดูเหมือนตัวตนของเขาจะถูกนางเห็นตั้งแต่แรก ดังนั้นจึง จงใจส่งเสียงครวญครางออกมา

‘หากยังไม่มาข้าจะทำให้อาจารย์ของเจ้ารู้เรื่องนี้’ นางข่มขู่เขาเช่นนี้เสมอ

ลึกๆ แล้วเขาเองก็ไม่มั่นใจ ที่ผ่านมานั้นเขาหวาดกลัวว่าหากอาจารย์ล่วงรู้ ชีวิตของเขาจะหาไม่จริงหรือ

เขากลัวตาย หรือเพราะร่างกายของเขาเองก็ปรารถนาในสิ่งที่เขาเองก็ตระหนักดี

เพศรสและสัมผัสอันเชี่ยวชาญของอาจารย์หญิงนั้น ทำ ให้เขาเองก็พึงพอใจทุกครั้ง แม้ในใจรู้สึกผิด หากแต่ร่างกายกลับสุขสมเต็มตื้น

มองไปยังใบหน้าของศิษย์พี่ทั้งสองที่ถูกนางปรนเปรอ ร่างกายของเขาพลันมีปฏิกิริยา ร่างสูงก้าวเดินเข้าไปหาคนทั้งสาม

จากนั้นทุกอย่างก็เกิดขึ้นตามอารมณ์ที่พลุ่งพล่าน คนทั้ง สามต่างกอดก่ายสัมผัสกัน ต่างคนต่างปรนเปรอร่างงามที่บิดเร่า ทั้งมือ ปาก และร่างงามของอาจารย์หญิง ต่างไม่มีส่วนใดที่ไม่ชำนาญ

นางสัมผัสรุกไล่ชายหนุ่มทั้งสาม กระทั่งทำให้คนทั้งสาม สุขสมจนแทบหมดแรง

นับจากวันนั้นความโสมมก็ไม่ได้หยุดลง พวกเขาทั้งสาม ต่างก็หลงวนอยู่ในห้วงแห่งกามารมณ์ ทุกครั้งที่อาจารย์ไม่อยู่ อาจารย์หญิงมักจะหาวิธีพาทั้งสามลงเขา จากนั้นก็ตรงไปยังกระท่อมริมลำธาร เสพสุขจากเพศรสกระทั่งอ่อนแรงจึงกลับเข้าสำนักอีกครั้ง

เวลาผ่านล่วงไปหลายเดือน กระทั่งอาจารย์เริ่มระแคะระคาย เขาแอบตามรถม้ามายังกระท่อมริมลำธาร และจับได้คา หนังคาเขาในขณะที่คนทั้งสี่กอดก่ายสุขสมกันอยู่ในลำธารใสเย็น

อาจารย์หญิงถูกจับถ่วงน้ำยังลำธารแห่งนั้น ส่วนจื่อเสียน ว่านหรง และเยี่ยนเฟิง อาจารย์พาพวกเขากลับสำนักและ ขังเอาไว้ในคุกใต้ดินของตำหนักหลิงหลาน

ศิษย์เนรคุณทั้งสามถูกลืมเลือน กระทั่งถูกปล่อยให้สิ้นใจตายในห้องใต้ดิน แต่ถึงอย่างนั้นกลับยังคงไม่สาแก่ใจ ร่างของคนทั้งสามถูกใส่เอาไว้ในโลง พร้อมกันนั้นก็มีการผนึกวิญญาณและ กักขังวิญญาณเอาไว้ในห้องลับใต้ดินแห่งนั้นไม่ให้คนทั้งสามได้ไปผุดไปเกิด

คำสาปแช่งอันเกิดจากความคับแค้น ล่องลอยอยู่ทั่วทุก อณูในอากาศภายในห้องลับ ความแค้นที่ถูกหักหลัง ความชิงชังที่ ถูกคนที่ไว้วางใจทรยศ ก่อให้เกิดปีศาจแห่งราคะที่จำต้องดื่มกิน ความใคร่จากหญิงสาวไปชั่วกัปชั่วกัลป์

วันเวลาหมุนเวียนไปวิญญาณทั้งสามลืมเลือนแม้กระทั่งตัวตนของตัวเอง ความหิวกระหายทำให้ทั้งสามจำต้องเลือกเหยื่อเป็นหญิงสาว หากมีเพียงคนเดียวก็จะแบ่งกันดื่มกิน กระทั่งทำให้เหยื่อสิ้นลม

ตำหนักหลิงหลานหายไป แต่ห้องลับใต้ดินยังคงอยู่ กระทั่งมีคนมาลร้างคฤหาสน์ทับ ชื่อยังคงเดิมเพราะดอกหลิง หลานที่ไม่ว่าจะกำจัดอย่างไรก็ยังคงงอกขึ้นมาเต็มพื้นที่ ส่งกลิ่น หอมตลบอบอวลไปทั่ว

เจ้าของคนใหม่ยังคงให้ชื่อบ้านหลังนี้ว่าตำหนักหลิงหลาน ตามพืชพันธุ์ที่ไม่อาจกำจัดอีกครั้ง และหญิงสาวในบ้านก็ค่อยๆ สิ้นลมไปอย่างไม่ทราบสาเหตุ ทีละคนๆ กระทั่งบ้านหลัง นั้นเกิดเป็นข่าวลือน่ากลัว ทำให้ไม่มีใครกล้าเข้าไปอาศัยอยู่

ภาพเหตุการณ์เหล่านั้นค่อยๆ จางหาย เจียวมี่จ้องไปยังประตูห้องตรงหน้า หมอกหนาเริ่มจางลงเรื่อยๆ กระทั่งไม่หลงเหลืออยู่ ร่างเล็กจึงยื่นมือไปผลักประตู

ภายในห้องนอนอันหรูหราบุรุษหล่อเหลาผู้หนึ่งนั่งรออยู่ตรงนั้น เขามีใบหน้าหล่อเหลาคมคาย จมูกโด่งเป็นสัน ดวงตาคม กริบกับคิ้วเข้มที่รับกันได้เป็นอย่างดี

เรือนร่างภายใต้เสื้อคลุมสีขาวปักลายดอกหลิงหลานบางเบา ทำให้เขาดูน่าหลงใหลจนไม่อาจละสายตา

‘มาสิ’ เสียงกระซิบดังขึ้นแผ่วเบา หากแต่ชายหนุ่มยังคง นั่งมองมาโดยไม่ได้ขยับริมฝีปาก

ระหว่างที่ก้าวเข้าไปหาเขาถอดชุดออกช้าๆ ทุกย่างก้าวมีเสื้อ กางเกง กระทั่งแพนตี้ตัวน้อยค่อยๆ ถูกถอดโยนไปด้านข้าง กระทั่งร่างเล็กขาวผ่องไปยืนอยู่ตรงหน้าชายหนุ่มที่นั่งนิ่งอยู่บนเตียง

เขากวาดสายตามองเรือนร่างเปลือยเปล่าตรงหน้าด้วยสายตาพึงพอใจ จากนั่นจึงยื่นมือออกมาลูบไล้แผ่วเบา ทำให้หญิงสาวกายสะท้าน

‘เสี่ยวมี่’

เขาเงยหน้าขึ้นสบตากับหญิงสาว ร่างสูงเอนมาด้านหน้า จากนั้นก็จุมพิตลงไปเหนือเนินอกอิ่ม ดวงตาคมจงใจสานสบทำ ให้หญิงสาวถูดดึงดูดเข้าไปในห้วงแห่งความปรารถนา

ปลายลิ้นตวัดไล้ลงไปยังยอดปทุมสีหวาน มืออีกข้างยกขึ้นกอบกุม ส่วนอีกข้างเลื่อนลงไปลูบไล้กลางกายสาวที่เริ่มร้อนรุ่ม

เจียวมี่ยื่นท่อนแขนออกไปเกาะเกี่ยวลำคอของชายหนุ่ม ร่างหอมกรุ่นอ่อนแรงเพราะถูกเขาปลุกเร้า แต่ยิ่งเอนกายไปหา

เขา ร่างก็ยิ่งสะท้านด้วยความหวิวหวาม จากปลายลิ้นตวัดไล้เลียแผ่วเบา เขากลับครอบครองถันงามเอาไว้เต็มอุ้งปาก

ขบกัด ดูดดึง กระทั่งร่างหญิงสาวสั่นเทา

ร่างสูงเอนกายลงไปเบื้องหลัง โดยมีร่างงามทาบทับตามลงไปด้วย เขากางขาออกบีบให้ร่างเนียนแนบไปกับกลางลำตัว ใช้ตัวตนแข็งขึงดุนดันความอ่อนนุ่ม

เจียวมี่คุกเข่าลงกับเบาะนุ่ม กดความอ่อนนุ่มของตน เสียดสีกับแก่นกายร้อนผ่าว แต่เขากลับใจร้อนกว่าทันทีที่สัมผัสได้ถึงความชุ่มฉํ่า มือใหญ่กลับกอบกุมสะโพกอวบอิ่ม กดร่างงามเข้าหากลางกาย สอดแทรกตัวตนร้อนผ่าวเข้าสู่ใจกลางกายสาว ร่างงามสะท้านเยือก ได้แต่แอ่นกายเข้าหาด้วยความรัญจวน

“อ๊ะ…อา..”

หญิงสาวครวญครางพร้อมเสียงหอบ ภายในถูกเหยียดขยายจนเต็มตื้น แต่ถึงอย่างนั้นกลับยังคงกดเอวอ่อนลงให้เขา แทรกลึกเข้าไปจนสุดทาง

ความวูบไหวร้อนผ่าวเต้นตุบในกายสาว เรียกร้องให้เขา ตอบสนองมากขึ้น เอวอ่อนจึงเริ่มเป็นฝ่ายขยับบดเบียดส่ายโยกเบาๆ เสียงหอบหายใจหนักหน่วงของชายหนุ่ม ทำเอาจังหวะ หัวใจเต้นรัวของหญิงสาวยิ่งรุนแรง ร่างเล็กขยับไหวบนเรือนกายแกร่ง สองมือกดหน้าอกหนั่นแน่นลงกับเบาะนุ่ม จากนั้นก็เป็น ฝ่ายรุกเร้าเขาด้วยความร้อนเร่า

‘อืม ดีเหลือเกิน เสี่ยวมี่ อยู่ที่นี่ อยู่กับข้า’

ประโยคนั้นดังขึ้นแผ่วเบา เจียวมี่ยังคงขยับสะโพกบดเบียด ต้นแขนถูกเขายึดเอาไว้ พร้อมแอ่นสะโพกสอบตอบรับจังหวะอย่างเท่าเทียม เสียงกระทั้นของผิวเนื้อ ยิ่งทำให้จังหวะโรมรันเร้าอารมณ์มากขึ้น

‘ตอบข้า’

เขาเร่งเร้าพร้อมกระทั้นกายลึก หากแต่เจียวมี่กลับยังคง ครวญครางอย่างเร่าร้อน เสียงหนึ่งบอกให้นางตอบรับ แต่อีก เสียงบอกให้นางตื่นจากภวังค์

‘เสี่ยวมี่ อย่านะ มีสติสิ ตื่นเร็วเข้า’

ท่อนแขนแกร่งรั้งร่างงามลงไปกอด ตัวตนของเขาขยับไหวในกายสาว จังหวะร้อนรนแผดเผาจนเจียวมี่ต้องอ้าปากระบายความรัญจวนหวีดหวาน แต่ริมฝีปากกลับถูกครอบครองด้วยปลายลิ้นที่กวาดต้อนจนหญิงสาวจำต้องตอบสนอง

กายสาวที่เต้นตุบบีบรัด ริมฝีปากอิ่มถูกครอบครองจนสติ นึกคิดเริ่มเลือนราง อกอิ่มถูกเคล้นคลึงทั้งสองข้าง เกิดเป็นความ วาบหวามอันสุดแสนจนแทบหยุดหายใจ

ความสุขสมแล่นพลิ้วในยามที่เอวสอบสอดเสยขึ้นหา ท่อนแขนกอดรัดร่างเล็กไม่ให้ผละห่าง จังหวะรัวเร็วทำให้ร่างเกร็ง รับอย่างไม่อาจห้าม สองร่างตอบสนองจังหวะกันและกันอย่างถึงแก่น ก่อให้เกิดเสียงกระทบกระทั้นเป็นจังหวะเร่าร้อน

“อา!….”

ทุกอย่างงดงามกว่าที่เจียวมี่เคยจินตนาการ ร่างทั้งร่างที่ถูกเติมเต็มสั่นระริก ในยามที่แก่นกายร้อนแผดเผากระทั้นเข้าหา เป็นจังหวะสุดท้าย มันล้ำลึกจนเกิดเสียงดังกึกภายใน

‘เสี่ยวมี่ เธอต้องไปจากที่นี่ ไปช่วยเสี่ยวอวี่กับเสี่ยวเหม่ย’

ร่างกายที่สุขสมยังคงสั่นเทา หากแต่ประโยคนั้นทำให้หญิงสาวชะงักกึก

ดวงตาหลับพริ้มเปิดพรึบขึ้น ภาพทุกอย่างตรงหน้าหาย วับไปหลงเหลือเพียงความมืดอันน่าขนลุก กลิ่นอับชื้นปะปนมา กับกลิ่นเหม็นอันน่าสะอิดสะเอียน

เจียวมี่ที่ร่างกายอ่อนแรงกลับสั่นสะท้านไปทั้งร่างด้วยความหวาดกลัว มือสัมผัสถึงบางอย่างใต้ร่าง กระทั่งมั่นใจว่ามันคือโครงกระดูก!!!

“กรี๊ด!!!!!!”

หญิงสาวกรีดร้องสุดเสียง จากนั้นจึงดิ้นรนสุดแรง ฝาโลง ที่เปิดแง้มถูกหญิงสาวผลักออก ร่างเล็กตะเกียกตะกายออกมาอย่างทุลักทุเล กระทั่งร่วงลงไปกองบนพื้น

เมื่อพบว่าตัวเองร่างเปลือยเปล่าไร้เสื้อผ้าติดกาย เจียวมี่ ก็ยิ่งรู้สึกสะอิดสะเอียดกับเรื่องที่ตนเพิ่งทำไป ความรู้สึกซาบซ่าน ที่ยังคงหลงเหลือ ก่อให้เกิดความรังเกียจและรู้สึกว่าตัวเองสกปรกเหลือเกิน

เสียงครวญครางหอบกระเส่าดังเล็ดลอดออกมาจากโลงข้างๆ เจียวมี่รีบลุกขึ้นจากนั้นจึงปรี่เข้าไปพยายามเปิดฝาโลง “เสี่ยวเหม่ย เสี่ยวอวี่รีบออกมาเร็วเข้า!!”

เสียงกระทั่นของผิวเนื้อ พร้อมกับเสียงหอบด้วยความพึงพอใจ ยิ่งทำไห้เจียวมี่หวาดกลัวจนตัวสั่น มั่นใจว่าภายในโลงศพนั้นเกิดอะไรขึ้น

คนตายไม่ควรยุ่งกับคนเป็น การร่วมรักกับคนตายก็ เท่ากับก้าวเท้าเข้าไปในปรโลกแล้วครึ่งหนึ่ง พลังชีวิตจะถูกสูบไป จนไม่เหลือแม้แต่วิญญาณ ตอนนี้รู้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้นกับเสี่ยวเชี่ยน

ฝาโลงถูกดันจนแง้มเปิด เงาเคลื่อนไหวในนั้นทำให้เจียวมี่สั่นเทา ร่างเปลือยของเพื่อนรักกำลังส่ายไหวด้วยจังหวะเร่าร้อน ใต้ร่างนั้นยังมีร่างเปลือยของชายคนหนึ่งที่มีเรือนกายขาวซีด หาใช่โครงกระดูกไม่

เจียวมี่กรีดร้องออกมาสุดเสียง มือพยายามคว้าแขนของเพื่อนรัก หากแต่ฉินเหม่ยกลับตวัดสายตาแดงก่ำมองมาด้วยความไม่พอใจ

‘ไสหัวไป!’

เสียงที่ดังออกมาจากปากฉินเหม่ย กลับเป็นเสียงของผู้ชาย อีกทั้งดวงตาที่จดจ้องมานั้นก็ไม่ใช่ดวงตาที่คุ้นเคยแม้แต่น้อย

หญิงสาวยื่นมือออกไปอีกครั้ง แต่กลับถูกเพื่อนรักสะบัดมือออกอย่างแรง เจียวมี่ล้มหงายไปด้านหลัง จากนั้นสายตาก็มองเห็นร่างขาวซีดที่ค่อยๆ ขยับลุกขึ้นนั่งกกกอดเพื่อนรักที่ส่าย สะโพกอย่างเร่าร้อน

ในขณะเดียวกันนั้นโลงอีกใบก็มีความเคลื่อนไหว ฝาโลง ถูกดันเปิดกระแทกโครมลงบนพื้น แผ่นหลังเนียนถูกดันขึ้นนั่ง

นั่นคือหนิงอวี่ซึ่งกำลังขยับเรือนกายส่ายไหวเพราะถูกรุกเร้าจากเบื้องล่าง โดยหาได้สนใจมองเหตุการณ์รอบด้านเลยแม้แต่น้อย

เงาร่างลํ่าสันสีดำซึ่งหนิงอวี่นั่งคร่อมอยู่นั่น ค่อยๆ เบือนหน้ามามองเจียวมี่ หากแต่เขากลับไม่ได้ขยับ เพียงโอบร่างงามเข้าหาตัว พร้อมกับสานต่อความเร่าร้อน ราวกับการกระทำเช่นนั่นคือการอวดเบ่ง ในยามที่ตนกำลังครอบครองร่างงามในอ้อมแขน

เจียวมี่ถอยไปด้านหลัง มองดูภาพเพื่อนรักสองคนกำลังร่วมรักกับคนตาย ความรู้สึกพะอืดพะอมก็วิ่งขึ้นมายังลำคอ เมื่อถอยไปจนชิดผนังหญิงสาวก็อาเจียนออกมาอย่างหนัก

เสียงอาเจียนกับเสียงครวญครางเร้าอารมณ์ของการร่วมรัก คือสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นภายในห้องลับใต้ดินที่มีเพียงแสงไฟจากคบเพลิงส่องสว่าง

เจียวมี่ร้องไห้ออกมาอย่างสิ้นหวัง มองดูเพื่อนรักสองคน ที่กำลังถูกดื่มกินพลังชีวิต หากแต่ทั้งสองก็ยังคงไม่รู้ตัว ได้แต่แอ่น กายเสนอตัวให้ปีศาจราคะที่ล่อลวงอย่างมีชั้นเชิง

‘เสี่ยวมี่’

เสียงนั้นดังมาจากโลงซึ่งตั้งอยู่ตรงกลาง เสียงสวบสาบ ดังขึ้นพร้อมกับมือขาวซีดที่เกาะขอบโลง เจียวมี่ร่างสั่นเทากรีดร้องสุดเสียง ร่างเปลือยเปล่าขดตัวกลมพร้อมหลับตานิ่ง

“อย่าเข้ามา ได้โปรดปล่อยฉันกับเพื่อนไป” หญิงสาว ร้องไห้ออกมาราวกับคนเสียสติ

เมื่อฝ่ามือเย็นเยียบแตะลงมาก็สะดุ้งสุดตัว บางอย่าง ห่อหุ้มเรือนกายเปลือยเปล่า เจียวมี่รับรู้ว่ามันคือชุดตัวยาวแต่ก็ หวาดกลัวเกินกว่าจะลืมตาขึ้นมามอง

ร่างเล็กถูกอุ้มตัวลอยขึ้นทำให้หญิงสาวดิ้นรนสุดชีวิต มือ ที่ปัดป่ายกลับคว้าคบเพลิงที่อยู่ตรงผนังขึ้นมาได้

ทุกอย่างดูสับสนวุ่นวายเกินกว่าจะจินตนาการ เจียวมี่ลืม ตาขึ้นพร้อมกับร่างที่ร่วงลงไปกระแทกกับพื้นอย่างแรง มองไปอีก ด้านร่างหนึ่งถูกไฟเผาไหม้ลามไปกว่าครึ่งลำตัว

เสียงคำรามด้วยความเจ็บปวดทรมานทำให้หญิงสาวแทบหมดสติ ความหวาดกลัวหวาดหวั่นครอบงำจิตใจอันสิ้นหวัง คบเพลิงที่ร่วงอยู่บนพื้นถูกคว้าขึ้นมา

‘โลงศพนั่น เผาเสีย’

เสียงของเสียวเชี่ยนดังขึ้นจากที่ไหนสักที่ เจียวมี่โยนคบ เพลิงไปยังโลงศพที่ตั้งอยู่ตรงกลาง รวบสาบเสื้อคลุมตัวยาว ปกปิดร่างเปลือยเปล่าของตัวเอง จากนั่นจึงหันไปคว้ามือของ เพื่อนรักที่ยังคงร่วมรักกับศพอย่างเร่าร้อนโดยไม่สนใจสิ่งใด

“เสี่ยวเหม่ย เสี่ยวอวี่ หนีเร็ว”

ฉินเหม่ยถูกเจียวมี่กระชาก ภายในห้องสะเทือนราวกับ กำลังเกิดแผ่นดินไหว เสียงคำรามด้วยความโกรธก้องไปทั้งห้อง โลงทั้งสองล้มควํ่าลงกับพื้น ทำให้ร่างเปลือยเปล่าของฉินเหม่ยและหนิงอวี่กลิ้งออกมา

เจียวมี่ลากเพื่อนรักทั้งสองออกห่างจากโลงทีละคน จากนั่นก็วิ่งไปคว้าคบเพลิงที่ยังคงหลงเหลือบนผนัง โยนเข้าไปยังโลงศพที่เหลือ

“ไม่!!!” ฉินเหม่ยและหนิงอวี่กรีดร้อง

เจียวมี่ยังไม่ทันได้ทำความเข้าใจ เพื่อนรักทั้งสองกลับ โถมตัวเข้าไปยังโลงศพซึ่งไฟกำลังลุกไหม้ หญิงสาวตกตะลึงจนร่างแข็งทื่อ

ไม่รู้ว่าตาฝาดหรือไม่ เพราะในเปลวไฟนั้นมีมือคู่หนึ่งยื่น ออกมารับร่างของเพื่อนรักทั้งสองเข้าไปกกกอด จากนั้นเปลวไฟก็ กลืนกินทุกอย่างจนหลงเหลือเพียงเสียงกรีดร้องอย่างเจ็บปวด

‘เสี่ยวมี่ลุกขึ้น ไปจากที่นี่ เธอช่วยพวกเขาไม่ได้แล้ว วิญญาณของเสี่ยวอวี่กับเสี่ยวเหม่ยเป็นของปีศาจพวกนั้นแล้ว แต่เธอไม่ใช่รีบหนีเร็วเข้า’

เจียวมี่ร้องไห้ออกมาจนตัวสั่น หวั่นวิตกจนหัวใจแทบหยุดเต้น ร่างทั้งร่างสั่นเทาจนไม่อาจควบคุม แต่ถึงอย่างนั้นก็พยายามพยุงกายให้ลุกขึ้นยืน

ประตูกลไกถูกเปิดออก ทำให้หญิงสาวสะดุ้ง มองไป ด้านหลังเห็นเงาของชายหนุ่มหล่อเหลายืนอยู่เหนือเปลวไฟ เขา ยิ้มให้หญิงสาวด้วยใบหน้าอ่อนโยน

‘ขอบใจเจ้าที่ช่วยปลดปล่อยข้า’

หญิงสาวมองเพียงเท่านั้นก็รีบหันหลังวิ่งออกไปจากห้องลับ กลุ่มควันพวยพุ่งขึ้นสูง เปลวไฟลามออกมายังด้านนอก กระทั่งตัวบ้านทั้งหลังเองก็กำลังถูกกลืนกิน

เจียวมี่กระชับเสื้อคลุมตัวยาว จากนั้นวิ่งออกมาด้านนอก มาบัดนี้ภาพบ้านหลังใหญ่หรูหราที่เคยเห็น กลับกลายเป็น บ้านร้างที่มีแต่ซากปรักหักพัง รวมไปถึงฝุ่นหยากไย่เกาะกรัง

ทุกอย่างยิ่งตอกย้ำให้หญิงสาวสติแตกกว่าเดิม ร่างอรชร เสื้อผ้าหลุดลุ่ยกรีดร้องด้วยความตื่นตระหนก จากนั้นจึงวิ่ง ออกไปราวกับคนเสียสติ

ประตูใหญ่ถูกเปิดออกในเวลาเดียวกันกับช่วงเวลาที่เจียวมี่วิ่งออกมา

ร่างสูงใหญ่ของคุณตำรวจคว้าหญิงสาวที่มีท่าทีแตกตื่นเอาไว้ได้ แต่ถึงอย่างนั้นหญิงสาวก็เอาแต่กรีดร้องและเสียขวัญเกินกว่าจะรับรู้สิ่งรอบกาย

หลังจากถูกคว้าเอาไว้ได้ก็เอาแต่กรีดร้องและดิ้นรน กระทั่งหมดสติไปในที่สุด

กว่าเจียวมี่จะรู้สึกตัวขึ้นมาอีกครั้ง บ้านร้างทั้งหลังก็แทบ จะถูกไฟเผาไหม้เกือบครึ่ง หญิงสาวไม่พูดอะไรทั้งยังมีท่าทีเหม่อลอยหวาดหวั่น ไม่ว่าตำรวจจะสอบถามอะไรก็ไม่ได้รับคำตอบใดทั้งสิ้น

สภาพของหญิงสาวทำให้ตำรวจตัดสินใจส่งไปตรวจร่างกายที่โรงพยาบาล เนื่องจากตั้งแต่แรกนั้นเขามองเห็นแล้วว่า ภายใต้เสื้อคลุมยาวบางเบานั้น ร่างนวลผ่องกลับเต็มไปด้วยร่องรอยซึ่งคล้ายกับหญิงสาวที่เสียชีวิตก่อนหน้านี้

ผ้าห่มผืนใหญ่ที่ห่อหุ้มร่างเล็ก ไม่อาจคลายอาการตัวสั่นเทาด้วยความหวาดกลัวซาวบ้านมากมายที่มายืนมุงต่างหลบตาหญิงสาว กระทั่งเจียวมี่มองตรงไปยังคุณน้าของเสี่ยวเชี่ยน กระนั้นกลับไร้ถ้อยคำใดๆ เล็ดลอดออกมาจากปากอิ่มที่เม้มแน่น

คุณตำรวจพยุงร่างของหญิงสาวขึ้นรถ หลังจากที่เขาแจ้งเพื่อขอกำลังเสริม เนื่องจากไฟไหม้ครั้งนี้มีหญิงสาวเสียชีวิต เพิ่มขึ้นอีกสองคน

อีกทั้งยังต้องหาสาเหตุของเพลิงไหม้ จึงต้องกันสถานที่เอาไว้เป็นที่เกิดเหตุ

“ทำไมออกมาแค่คนเดียว”

“นั่นสิ แล้วอีกสองคนละ หรือว่าตายในกองไฟ”

“แล้วทำไมไฟไหม้ละ หรือว่าปีศาจนั่นพยายามฆ่าคนอีกแล้วแต่ไม่สำเร็จ”

“หุบปาก”

“ก็คนมันสงลัยนี่ ไฟไหม้แบบนี้จะมีคนตายเหมือนเมื่อก่อนหรือเปล่า”

เสียงซุบซิบดังขึ้นเรื่อยๆ เจียวมี่เพียงหลับตานิ่งงัน หลังจากก้าวขึ้นไปนั่งบนรถ คุณตำรวจมองหญิงสาวแล้วถอนหายใจออกมา

“ความเชื่อของคนที่นี่ช่างน่ากลัว คิดไปเป็นตุเป็นตะ ปีศาจหรือ มีที่ไหนกัน”

เจียวมี่หลับตานิ่ง หัวใจอันอ่อนล้าทำให้ร่างกายกระหาย ที่จะไปจากสถานที่ที่ชวนให้ผู้คนเสียสติแห่งนี้

ในใจได้แต่สับสนเพราะเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดนั้น ถึงจะ บอกออกไปก็ไม่แน่ว่าจะมีคนเชื่อ ดีไม่ดีอาจถูกกล่าวหาว่าเสียสติ หรือร้ายกว่าอาจกลายคนเป็นวางเพลิงขึ้นมาก็เป็นได้

รถยนต์ของคุณตำรวจวิ่งออกไปเรื่อยๆ ท่ามกลาง เสียงพูดคุยด้วยความสงสัยและหวาดหวั่นของคนในหมู่บ้าน

“หวังว่าปีศาจนั่นจะตายไปกับบ้านร้างหลังนี้นะ”

“นั่นสิคงจะดีถ้าเรื่องจบลงเท่านี้ ดูสิขนาดผู้หญิงคนนั้น ยังรอดออกมาได้แล้วนี่”

“จริงด้วย สงสัยปีศาจนั่นตายไปแล้ว ไม่อย่างนั้นจะมีคนรอดออกมาเหรอ”

“นั่นสิเข้าไปสามคนแต่รอดออกมาคนเดียว แสดงว่า ปีศาจนั่นถูกไฟไหม้ไปแล้วสินะ”

เด็กหญิงคนหนึ่งเดินออกมาพร้อมกับชะโงกหน้ามองเข้าไปในรถยนต์

“ไม่ใช่คนเดียวนี่”

“อะไรนะ”

“ก็แม่บอกว่าพี่คนนั้นรอดออกมาคนเดียว พี่ชายคนนั้น ออกมาพร้อมพี่สาวนี่”

“พี่ชายคนไหน!!!”

“คนนั้นไง ก็คนที่พี่สาวกำลังนั่งตักอยู่บนรถ”

ชาวบ้านนั่งหลายได้ยินดังนั้นก็หันขวับไปมองรถยนต์ที่เพิ่งจะวิ่งออกไป เงาของคนในรถเพิ่มขึ้นมาอีกคนหนึ่ง ที่สำคัญ เขานั่งซ้อนโดยมีหญิงสาวนั่งอยู่บนตักจริงๆ

หลายคนส่งเสียงลั่น บางคนกรีดร้องด้วยความหวาดกลัว

บางคนถึงกับเป็นลมล้มพับไปทันที….

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version