Skip to content

หลิงหลานตำหนักซ่อนสิเน่หา 3

บทที่ 3

หญิงสาวทั้งสามคนเดินกลับเข้าไปในงานศพท่ามกลาง สายตาตื่นตะลึงของชาวบ้าน กระทั่งอากัปกิริยาเช่นนั้น สร้าง ความประหลาดใจให้ทั้งสามเป็นอย่างมาก เมื่อเดินเข้าไปเอ่ยถาม กลับได้รับกลับมาเพียงดวงตาหวาดกลัว ทั้งยังพยายามหลบเลี่ยงอย่างถึงที่สุด

หนิงอวี่เดินตรงเข้าไปหาคุณน้าของเสี่ยวเชี่ยน แต่อีกฝ่าย ที่เพิ่งหันหน้ามากลับหน้าซีดขาว เท้าหรือก็เซถอยหลังไปราวกับจะล้ม

“คุณน้า”

“ทำไมพวกเธอถึงยังอยู่ที่นี่ละ”

คำถามแปลกๆ นั้นทำให้ฉินเหม่ยขมวดคิ้วมองผู้สูงวัยกว่าด้วยดวงตางุนงง

“ก็เราบอกคุณน้าตั้งแต่เมื่อวานแล้วนี่คะว่าจะอยู่ช่วยงานสามวัน เมื่อวานคุณน้ายังใจดีให้เราไปพักที่บ้านหลัง ใหญ่ที่อยู่ห่างออกไปสามหลังนั่นไงละคะ”

ผู้สูงวัยที่มีใบหน้าซีดขาวราวกำลังตกใจรีบกลบเกลื่อน โดยการทำเป็นหลงๆ ลืมๆ แต่ถึงอย่างนั้นเจียวมี่กลับสังเกตเห็น ว่าผู้คนในงานศพต่างพากันหลบตาตนอยู่

“นี่ คุยกันสักหน่อยดีมั้ย”

“มีอะไรเหรอ’’ หนิงอวี่ขมวดคิ้ว “หรือพวกเธอก็คิดว่ามัน

แปลกๆ”

“ฉันรู้สึกไม่ดีเลย เหมือนพวกเขาตกใจอะไรสักอย่าง”

“นั่นสิ ฉันก็ว่าไม่ได้คิดไปเอง ดูพวกเขาตกใจที่เห็นเรานะ อย่างกับลืมกันหมดว่าเรายังอยู่”

เจียวมี่เหลือบสายตาไปมองเหล่าญาติของเสี่ยวเชี่ยน จากนั้นก็กวาดสายตาไปมองชาวบ้านที่ต่างก็ซุบซิบกันด้วยใบหน้าน่าสงลัย

“หรือพวกเขากำลังปิดบังอะไรอยู่หรือเปล่า”

“วันนี้คุณตำรวจบอกว่าจะเข้ามาสอบปากคำนี่ มาแล้ว

หรือยัง”

หนิงอวี่หันไปมองคุณน้าคนเดิมที่กำลังเดินไปอีกทาง “คุณน้าคะคุณตำรวจมาแล้วหรือยังคะ’’

“อ้อ…อ๋อมาแล้วกลับไปแล้วละ”

นั่นยิ่งทำให้หญิงสาวทั้งสามคนสงสัยเข้าไปใหญ่ เนื่องจากเมื่อวานคุณตำรวจเจ้าของคดีบอกชัดเจนว่าจะเข้ามาหาหญิงสาวทั้งสาม เพื่อสอบถามถึงนิสัยใจคอของผู้ตาย ทั้งยังต้องการรายละเอียดเพิ่มเติมว่าผู้ตายติดต่อไปครั้งล่าสุดมีท่าทีอย่างไร

คุณน้าคนเดิมเดินกลับมายังหญิงสาวทั้งสามคน

“คืออย่างนี้นะจ๊ะ อย่าเห็นว่าพวกเรามีท่าทีแปลกๆ แล้วคิดมากเลย เมื่อเช้าลูกชายของบ้านตรงข้ามหายตัวไป เห็นว่ามี ผู้หญิงแปลกหน้าสามคนพาเขาไปด้วย หนูทั้งสามกลับไปที่บ้านก่อนดีไหม น้าจะไปเล่าให้ฟังทีหลัง คุณตำรวจที่รับหน้าที่ สอบสวนเรื่องนี้เองก็คงกำลังมาที่นี่แล้วเหมือนกัน”

คุณน้ากระซิบกระชาบทั้งยังมองไปยังชาวบ้านซึ่งทุกคน

ต่างก็มองมายังหญิงสาวด้วยสายตาแปลกๆ

“คงไม่ได้กำลังคิดว่าพวกเราพาเขาไปหรอกนะคะ”

“คือ…ที่นี่มีคนแปลกหน้าเข้ามาไม่บ่อยนัก พอพูดถึงเรื่อง ที่มีผู้หญิงแปลกหน้า พวกเขาก็เลยคิดว่าเป็นพวกหนู”

“แต่พวกเราไม่ได้ออกไปไหนเลยนะคะ เมื่อคืนนอนหลับ สนิทกันตั้งแต่หัวคํ่า”

“แต่ถึงอย่างนั้นก็เป็นการดีกว่าถ้ากลับไปอยู่ในบ้านเงียบๆ ในสถานการณ์แบบนี้เพื่อป้องกันความวุ่นวาย เผื่อมี ชาวบ้านเกิดไม่พอใจจนก่อเรื่องขึ้น รอให้ตำรวจมา น้าจะพาไปหาพวกหนูนะ ดีไม่ดีพวกหนูกลับออกไปพร้อมคุณตำรวจจะปลอดภัยกว่า”

พูดจบก็มองซ้ายขวาทั้งยังจงใจบุ้ยใบ้ไปยังซาวบ้านที่ต่างก็มองมา

แม้มีบางอย่างที่ฟังดูไม่สมเหตุสมผล แต่หญิงลาวทั้ง สามคนที่ถูกจ้องด้วยสายตาแปลกๆ ก็ได้แต่คล้อยตาม เมื่อผู้ อาวุโสกว่าบอกให้กลับไปเพื่อป้องกันความวุ่นวาย

“นี่ไม่คิดว่าเรื่องนี้ประหลาดไปหน่อยหรือ”

“นั่นสิคนที่นี่แปลกๆ ตั้งแต่เรามาถึงแล้ว”

“เอาน่าใจเย็นกันหน่อย เอาเป็นว่าเราพูดกับคุณตำรวจก่อนดีกว่า ขอให้เป็นคุณตำรวจเจ้าของคดีเสี่ยวเชี่ยนด้วยเถอะ จะได้คุยกันง่ายหน่อย”

“จะใช่ได้ยังไง ก็คุณน้าบอกอยู่ว่าคุณตำรวจคนนั้นมาแล้ว แล้วเขาก็กลับไปแล้วด้วย”

เสียงถอนหายใจดังขึ้นอีกครั้งพร้อมกับประตูใหญ่ที่ถูกปิดลง หญิงสาวทั้งสามเดินพูดคุยปรึกษากันเข้าไปในบ้าน โดยไม่ได้สังเกตเลยว่าหน้าประตูใหญ่ มีเสียงโซ่และเสียงคล้องกุญแจ ซึ่งครั้งนี้โซ่เส้นใหญ่กว่าเดิม ทั้งยังใช้กุญแจขนาดใหญ่คล้องถึงสามชั้น

ชาวบ้านหลายคนที่ก่อนหน้านี้อยู่ที่งานศพ ต่างก็พากัน เดินมาชะโงกหน้ามอง ก่อนจะพากันถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก

เสียงกระซิบแผ่วเบาดังขึ้นเป็นระยะ

“นี่ไม่ใช่ว่าเมื่อคืนล็อคไว้ดีแล้วหรอกหรือ”

“ฉันล็อคกับมือเลยนะ”

“แล้วทำไมพวกนั้นยังออกมาได้”

“นั่นสิ แถมยังออกมาแบบเป็นๆ ไม่ใช่ศพเหมือนคนก่อนๆ ด้วย”

“แล้วจะทำยังไงถ้าสามคนยังออกมาอีก ต่อไปถ้าไม่มีหญิงสาวแล้ว คราวนี้คนแก่แม่ม่าย รวมไปถึงพวกเราไม่ตกเป็นเหยื่อแทนหรอกเหรอ”

“อย่าคิดมากสิ คราวนี้อาจโชคดีก็ได้ ครั้งนี้เป็นคนนอกพื้นที่ ทั้งยังมีถึงสามคนเชียวนา ขอให้ปีศาจที่อยู่ในนั้นอิ่มหนำจน ไม่มายุ่งกับคนในหมู่บ้านอีกเลยนะ”

หนึ่งปีมานี้ในแต่ละเดือนหญิงสาวในหมู่บ้านต่างหายตัวไปอย่างลึกลับ ซึ่งแต่ละคนในครั้งแรกที่เดินเข้าไปในบ้านร้าง กลับพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าบ้านหลังนี้ทั้งใหญ่โตและงดงาม มอง ไม่เห็นเป็นบ้านร้างเลยแม้แต่น้อย

กระทั่งต่อมาหญิงสาวเหล่านั้นก็หายตัวไปในยามคํ่าคืน กระทั่งต่อมาถูกพบเป็นศพยังหน้าบ้านร้างหลังนี้ทั้งยังมีสภาพศพเหมือนกันหมด นั่นคือตามร่างกายเต็มไปด้วยร่องรอยของคนที่ถูกร่วมรักอย่างหนัก ทั้งยังมีสาเหตุการตายเหมือนกันนั่นก็คือหัวใจวาย

ตำรวจเข้ามาสอบสวนการตาย แต่กลับไม่มีหลักฐานใด ไม่มีผู้ต้องสงลัย เนื่องจากในหมู่บ้านนี้มีชาวบ้านอยู่อาศัยไม่มาก อีกทั้งทุกคนยังมีพยานยืนยันตัวตน ในช่วงการเสียชีวิตของหญิงสาวเหล่านั้น

ตามความเชื่อเรื่องภูตผีปีศาจของชาวบ้านละแวกนั้น บ้านร้างหลังนี้จึงกลายเป็นสิ่งที่กลืนกินชีวิตของหญิงสาว มากมายในช่วงหนึ่งปีมานี้ กระทั่งผู้คนต่างก็ส่งบุตรสาวของตน ให้ย้ายไปอยู่กับญาติต่างเมือง

เรื่องนี้เงียบหายไปนาน เพราะไม่มีหญิงสาวหลงเหลือ กระทั่งเรื่องนี้กลับมาเป็นประเด็นอีกครั้ง การเริ่มต้นของเรื่องราวที่ลุกลาม เพราะครั้งนี้ถึงกับมีหญิงสาวจากต่างหมู่บ้านเริ่มหายตัวไป ก่อนจะพบเป็นศพยังบ้านร้าง กระทั่งเสี่ยวเชี่ยนที่ย้าย กลับมาก็ตกเป็นหนึ่งในหญิงสาวที่ถูกพรากชีวิตไป

คุณน้าของเสี่ยวเชี่ยนซึ่งรับหน้าที่ดูแลเพื่อนของหลานสาว เสนอให้ส่งตัวหญิงสาวให้ปีศาจในบ้านร้าง เนื่องจากตอนพาหญิงสาวทั้งสามนั่งรถมา ได้ยินบทสนทนาที่เอ่ยชมบ้านร้างหลังนั้น

‘นี่ดูบ้านหลังนั้นสิ ใหญ่โตโอ่อ่า น่าอยู่มากเลย’

‘จริงสิ ประตูหลักยังใหญ่ขนาดนี้ข้างในต้องกว้างขวางมากแน่เลย’

‘คุณน้าคะ นั่นบ้านของใครเหรอคะ เราไม่ยักกะสังเกตเห็นตอนมาครั้งที่แล้ว’

หญิงสาวทั้งสามไหนเลยจะล่วงรู้ว่าบทสนทนาในตอนนั้น กลายเป็นชนวนที่ทำให้ชาวบ้านปรึกษากัน ทั้งนี้ก็เพื่อส่งหญิง สาวทั้งสามที่มองเห็นบ้านร้าง กลายเป็นบ้านหลังใหญ่โต สวยงาม เข้าไปบูชายัญให้กับปีศาจซึ่งกลืนกินชีวิตหญิงสาว หลายคนในละแวกนี้ แต่ทุกคนคาดไม่ถึงว่าหญิงสาวทั้งสามคน จะถึงกับก้าวออกมาจากบ้านหลังนั้นอย่างปลอดภัยไร้รอยขีดข่วน

ที่สำคัญโซ่คล้องกุญแจด้านนอกยังหงิกงอราวกับถูกบิด

จนหลุด

น่าขนลุกเกินไปแล้ว!!!

หนิงอวี่เดินเข้าไปนั่งลงบนเก้าอี้พร้อมกับหาวหวอด ร่างกายเหนื่อยล้าราวกับไม่ได้นอนทั้งคืนทำเอาเพื่อนสาวอีกสอง คนมองด้วยสายตาประหลาดใจ

“ไม่ใช่บอกว่าเข้านอนแต่หัววันหรอกเหรอ ทำไมมานั่งหาวอยู่ละ” เจียวมี่เอ่ยถามขึ้น

“นอนน่ะได้นอน แต่ฝันทั้งคืนนะสิ ฝันดีด้วยนะ” พูดจบก็ หัวเราะออกมาเสียงเบา “เคยเป็นมั้ยนอนฝันดีทั้งคืน ตอนเช้าไม่ อยากตื่น พอตื่นแล้วรู้สึกว่าฝันนั้นเหมือนจริงจนเหมือนไม่ได้นอนทั้งคืน”

ฉินเหม่ยตาโตมองเพื่อนรัก “ฉันเองก็ฝันนะ แต่เช้ามากลับจำไม่ได้แล้ว ตื่นขึ้นมายังรู้สึกแปลกๆ อยู่เลย”

“ฉันเองก็ฝัน” เพียงแต่ไม่แน่ใจว่าเป็นฝันดีหรือฝันร้ายเท่านั้นเอง’’

เจียวมี่หน้าแดงกํ่าเมื่อคิดถึงความฝันอันก๋ากั่นของตัวเอง ตอนที่กำลังลังเลว่าจะเล่าออกมาดีหรือเปล่า หนิงอวี่กลับลุกขึ้นยืน

“ไหนๆ เราก็ต้องรออยู่ในนี้เฉยๆ ฉันกลับเข้าไปนอนต่อสักหน่อยดีกว่า อาจเก็บของเลยเผื่อได้กลับไปพร้อมคุณตำรวจ จริงๆ บอกตรงๆ นะเห็นสายตาแปลกๆ ของคนที่นี่แล้วไม่อยากอยู่ต่อเลย ถึงเป็นงานศพของเสี่ยวเชี่ยน แต่มาเจอผู้คนแบบนี้ฉันก็ขอบายละ”

เจียวมี่มองแผ่นหลังของหนิงอวี่ที่เดินจากไปด้วยความไม่สบายใจ ครั้งแรกที่มาถึงหมู่บ้านแห่งนี้ตัวหญิงสาวเองก็รู้สึกแปลกๆ เช่นกัน

ตอนแรกยังไม่ได้สังเกต เพราะมัวเก็บงำความไม่พอใจที่ มีต่อญาติของเสี่ยวเชี่ยน ที่คอยแต่จับจ้องหาผลประโยชน์จากงานศพ

ตอนนี้มาคิดๆ ดูแล้วก็เห็นด้วยกับหนิงอวี่อยู่เหมือนกัน แม้จะรู้สึกผิดต่อเสี่ยวเชี่ยน แต่เมื่อวานที่มาถึงก็มาเคารพศพแล้ว ทั้งยังอยู่ช่วยในงานจนคํ่ามืด นั่นคงเพียงพอที่จะลบล้างความรู้สึกผิดลงได้บ้าง

“แล้วเธอละเสี่ยวเหม่ย”

“ฉันเองก็จะกลับไปนอนแล้ว ง่วงเหมือนกัน”

“ฉันหมายถึงเรื่องกลับปักกิ่งต่างหาก’’

“อ้อ ฉันยังไงก็ได้ ถ้าเธอกลับฉันก็กลับ เอาเป็นว่าเราเก็บของเลยก็ได้ คุณตำรวจมาแล้วจะได้กลับออกไปเลย เห็นคุณน้า บอกว่ารถที่จะออกไปในเมืองหายากด้วย”

“อือ” เจียวมี่พยักหน้าพร้อมกับมองตามฉินเหม่ยที่หาว

หวอดไปตลอดทาง

คิดถึงความฝันเมื่อคืนที่ตนเกือบจะเล่าออกมา เจียวมี่ได้แต่ถอนหายใจ ยังดีที่ไม่ได้เล่าออกไป ไม่อย่างนั้นคงต้องขายหน้าเพื่อนทั้งสองคนแน่ๆ

ฉินเหม่ยเดินไปทิ้งตัวลงบนเตียง ความฝันที่เพิ่งจะเอ่ยถึง ทำให้หญิงสาวพยายามครุ่นคิด เพราะไม่ว่าจะนึกอย่างไรก็ยังคงนึกไม่ออก ทั้งที่เมื่อคืนมั่นใจว่าตัวเองฝันถึงใครบางคน ทั้งยังเป็น ความฝันเลือนรางที่เหมือนจะนึกออก แต่ก็ไม่รู้ว่าเกี่ยวข้องกับอะไร

นึกไปนึกมากระทั่งดวงตาปรือลงเรื่อยๆ หญิงสาวค่อยๆ ผล็อยหลับไปในที่สุด พร้อมๆ กันนั้นกลับมีเงาวูบไหวย่างกรายมายังหน้าห้อง เดินทะลุผ่านประตูที่ปิดสนิท กระทั่งไปหยุดยืนอยู่ยังหน้าเตียง

เงาสีดำเลือนรางทิ้งตัวลงนอนเคียงข้างหญิงสาว กระทั่ง สอดมือเข้าไปยังชายเสื้อ ใช้มือกอบกุมอกอิ่มทั้งสองข้างเอาไว้ ในขณะที่เลื่อนตัวขึ้นทาบทับคนที่นอนอยู่บนเตียง

“อืม”

ฉินเหม่ยขมวดคิ้ว หากแต่ดวงตายังคงหลับนิ่ง ร่างเล็ก บิดเร่าเพราะสัมผัสวาบหวิวที่คลึงเคล้นลงน้ำหนักแผ่วเบา

ในภาพความฝันท่ามกลางม่านหมอก หญิงสาวถูกร่างใหญ่ทาบทับ มือทั้งสองข้างที่สอดเข้ากอบกุมอกอิ่มคลึงเคล้น ก่อนใช้ปลายนิ้วคีบยอดถันสีหวาน

ร่างกายของฉินเหม่ยราวกับถูกสาป หญิงสาวไม่อาจขยับแขนขา ทำได้เพียงบิดกายเร่าเพราะสัมผัสของชายหนุ่มที่ มองเห็นเป็นเงาเลือนรางตรงหน้า

ดวงตาหรี่ปรือพยายามเปิด กระนั้นกลับไม่อาจทำได้ ราว กับความง่วงงุนนั้นไม่อาจปัดออกไปให้พ้น กางเกงยีนและแพนตี้ลูกไม้ ถูกดึงออกไปจนพ้นเรียวขา ในขณะที่มือข้างหนึ่งยังคงขยี้ปลายยอดสีหวาน พร้อมกอบกุมเอาไว้ในมืออย่างฮึกเหิม

ฉินเหม่ยอ้าปากหอบหายใจระบายความร้อนรุ่ม ปลาย นิ้วมือร้ายอีกข้างของเขากดลงไปยังเนินเนื้อกลางกาย บดขยี้ลงไปอย่างไม่ปรานี ในขณะที่ร่างใหญ่เลื่อนขึ้นไปมอบจุมพิต สอดแทรกเรียวลิ้นเข้าพัวพันจุดอ่อนไหวถูกกระตุ้นเร้าพร้อมกันถึงสามจุด ฉินเหม่ย ถึงกับครวญเสียงหวาน ร่างอ่อนระทวยเริ่มขยับได้ ราวกับเมื่อครู่ หญิงสาวเพียงคิดไปเอง

อกอิ่มแอ่นเข้าหามือใหญ่ เนินเนื้อหรือก็แอ่นหยัดตาม จังหวะของปลายนิ้วที่บดเบียดเป็นจังหวะ ไม่รู้ตัวว่ามือของตน กำลังยกขึ้นกอดรัดร่างใหญ่ให้แนบชิดเข้าหา

เสียงหอบหายใจของชายหนุ่ม ส่งให้อารมณ์ของหญิง สาวพลุ่งพล่านราวกับไม่เป็นตัวของตัวเอง ฉินเหม่ยเป็นฝ่ายยก ท่อนขาเพรียวถูไถเข้ากับต้นขาร้อนผ่าว

ปลายลิ้นร้อนที่พยายามต้อนหญิงสาวให้จนมุม บัดนี้ เป็นฝ่ายตอบรับการรุกเร้าของหญิงสาว ซึ่งตอบสนองเขาอย่างถึงแก่น เรียกเสียงคำรามในลำคอแกร่ง

ในใจของฉินเหม่ยเต้นรัว คิดแต่เพียงว่านี่คือความฝัน และในความฝันจะทำอะไรก็ได้ โดยเฉพาะการลวนลามหนุ่มหล่อน่ากินตรงหน้า

คิดได้ดังนั้นจึงพลิกกายลํ่าสันลงนอนราบ ปีนขึ้นไปนั่ง คร่อมร่างใหญ่จากนั้นวางมือลงไปบนหน้าอกหนั่นกล้าม ออกแรง กดเขาเอาไว้ใต้ร่าง

“พี่สาวจะบริการให้ถึงใจ ดังนั้นนอนนิ่งๆ นะจ๊ะ”

ประโยคนั้นหลุดออกมาพร้อมเสียงหัวเราะ

ไม่รู้ว่าหญิงสาวเอาความกล้ามาจากไหนในยามที่นั่งลงไปบนตักแกร่ง สะโพกเล็กก็บดเบียดลงไปยังกลางกายหนุ่มอย่างหยอกเย้า รับรู้ว่าแก่นกายแข็งขึงกระตุกเยือก พร้อมกับร่างใหญ่ที่สูดลมหายใจเข้าเฮือกใหญ่

มือเล็กเลื่อนลงไปลูบคลำด้วยความอยากรู้อยากเห็น ในขณะที่สายตาก็พยายามมองหาความเปลี่ยนแปลงจากเรือนกายแกร่ง แต่เมื่อพยายามมองไปยังใบหน้าของเขา ภาพทุกอย่างกลับพร่าเลือน รับรู้เพียงเขาเป็นชายหนุ่มรูปงามคนหนึ่ง

ฉินเหม่ยสูดหายใจเข้า เมื่อยกร่างตัวเองขึ้นสูง สองมือคว้าแก่นกายเอาไว้ สอดแทรกส่วนปลายเข้าหาเนินเนื้ออ่อนนุ่มที่เต้นตุบ ลองทำทุกอย่างด้วยตัวเองอย่างอยากรู้อยากเห็น

ในใจเพียรบอกตัวเองราวกำลังสะกดจิต ว่านี่คือความฝัน และในความฝันไม่ว่าจะทำอะไรทุกอย่างล้วนไม่มีถูกผิด

ส่วนปลายร้อนผ่าวที่สอดประสานเข้าไปทีละน้อย ในขณะที่ร่างเล็กสั่นเทา เพราะแม้ร่างกายเพิ่งรับส่วนปลายเข้าไป ความสุขสมซาบซ่านกลับแล่นพลิ้วไปทั่วร่าง

“อา…”

หญิงสาวแหงนใบหน้าขึ้นส่งเสียงคราง ส่วนปลายของ เขาเองก็ถูกหญิงสาวบีบรัดในจังหวะเดียวกันนั้น เขาคว้าหมับเข้ากับเอวอ่อน หยัดแอ่นเอวสอบเข้าหาร่างหอมกรุ่นนุ่มนิ่ม สอดเสย แก่นกายขึ้นหาส่วนในอันอ่อนนุ่มในคราเดียวจนมิด ก่อนเกร็งร่างอย่างรอคอยตรึงหญิงสาวเอาไว้ด้วยมือที่กอบกุมสะโพกนุ่ม

ฉินเหม่ยกรีดร้องดังลั่น ความสุขสมที่แทบระเบิด ร่างกายที่ถูกเหยียดขยายในครั้งเดียว ทำให้ร่างสาวสะท้านไหว แทบไม่อาจทรงตัวนั่งบนเรือนกายแกร่ง

ร่างเล็กเอนไปด้านหน้าอย่างสิ้นฤทธิ์ ทั้งที่คราแรกอยากเป็นฝ่ายควบคุม

มือน้อยสั่นระริกวางลงบนไหล่กว้าง ดวงตาหรี่ปรือเลื่อน ลงไปพยายามมองใบหน้าหล่อเหลาเลือนราง กระทั่งสานสบ ดวงตาสีดำไร้ประกาย ร่างทั้งร่างของฉินเหม่ยแข็งทื่อ หากแต่เอว อ่อนกลับเริ่มบดเบียดราวต้องมนต์

จังหวะที่หมุนควงสะโพกลงบนเรือนกายแกร่ง ลมหายใจ ของทั้งสองสอดประสานอย่างหวามไหว มือใหญ่ที่ตรึงสะโพกเล็ก เอาไว้เริ่มคลาย เขายกมือขึ้นกอบกุมหน้าอกอิ่ม จากนั้นเลื่อนตัวยกขึ้นเพื่อให้ได้จุมพิตครอบครองปลายยอดสีหวานซึ่งขยับไหวไม่ห่าง

ฉินเหม่ยประเคนตัวให้เขาอย่างลืมอาย แอ่นหน้าอก เสนอให้ริมฝีปากร้อนผ่าว พร้อมบีบไหล่หนาเป็นจังหวะเพื่อระบายความรัญจวนพลุ่งพล่าน

“อา…”

นั่นเป็นเสียงของชายหนุ่มที่คำรามออกมา ในยามที่สะโพกเล็กยกขึ้น จากนั้นก็ทิ้งลงครอบครองเขาจนภายใน กระแทกลึก บดเบียด กระแทกกระทั้น กระทั่งกลับมาบดเบียดอีกครั้ง

หญิงสาวก้มหน้าลงจุมพิตเขาด้วยความเร่าร้อน ปลายลิ้นพัวพันรุกเร้า ในยามที่เขาเองก็สอดสองแขนเข้ากอดรัดแผ่นหลังเนียน

จังหวะนั้นเองฉินเหม่ยก็ต้องกรีดร้องลั่น สองมือของเขาที่ กอดรัดกลับแน่นขึ้น พร้อมกับเอวสอบที่สอดเสยขึ้นมาก่อนจะเกร็งยกสูง เขาหยัดเอวสอบสูงขึ้น สอดเสยแก่นกายเข้ากับจังหวะ ที่หญิงสาวทิ้งสะโพกลงมาทำให้การสอดแทรกเป็นไปอย่างลึกล้ำรุนแรง เสียงหอบหายใจของคนทั้งคู่สอดประสาน จุมพิตเร่าร้อนพัวพัน เอวสอบกระทั้นกระแทกเป็นจังหวะร้อนแรง

ฉินเหม่ยร่างบิดเร่าด้วยความหวิวไหว ร่างทั้งร่างสั่นระริก กับสัมผัสอย่างถึงแก่นของชายหนุ่ม ซึ่งเติมเต็มเข้ามาอย่างไม่ ปล่อยให้จังหวะเสียเปล่า

ร่างสูงลุกขึ้นนั่งมอบจุมพิตรุกเร้า พร้อมกับกอบกุม สะโพกนิ่มตรึงร่างของหญิงสาวเอาไว้ไม่ให้จุดเชื่อมประสานหลุด เพียงเพื่อให้เขาได้คุกเข่าทั้งที่หญิงสาวยังคงใช้ท่อนขากอดรัดเอวสอบ

เขากอบกุมสะโพกผายเอาไว้ด้วยมือสองข้าง ในขณะที่ ดุนดันแก่นกายเข้าออก มือใหญ่ก็กดสะโพกนิ่มเข้าหา เกิดเป็น จังหวะลึกล้ำที่ทำให้หญิงสาวส่งเสียงครางหวานหวีดด้วยความสุขสม

ฉินเหม่ยสอดสองแขนกอดรัดลำคอแกร่ง หน้าอกอิ่มบด เบียดกับหนั่นกล้าม กายเบื้องล่างถูกรุกเร้าล้ำลึก กระทั่งจุมพิต พัวพันเขาเองก็ไม่ยอมปล่อยผ่าน

แผ่นหลังเนียนถูกดันลงไปยังเบาะนุ่ม ขณะที่ท่อนขา เพรียวยังคงเกาะเกี่ยวเอวสอบ เขากระทั้นแก่นกายร้อนรุ่มเป็น จังหวะหนักหน่วงขึ้นโดยไม่ปล่อยสะโพกนิ่มลง

ฉินเหม่ยใช้สองแขนดันเบาะเพื่อทรงตัว เนินสาวถูก กระแทกจนเกิดเสียงอันน่าละอาย หากแตกอวลไปด้วยความวาบหวาม

ต้นขาเนียนถูกแยกกว้างขึ้น เมื่อเขาสอดท่อนแขนยกเอว อ่อนเพื่อช่วยหญิงสาวทรงตัว ต้นขาร้อนผ่าวของเขาถูกสอดเข้ามา เพื่อให้สะโพกนิ่มได้วางลงไป พร้อมกันนั้นร่างใหญ่ก็ก้มลงมา เพื่อจุมพิตครอบครองถันเต็มมือ

ฉินเหม่ยทำได้แค่อ้าปากส่งเสียงครวญคราง เรี่ยวแรงถูกเขาสูบไปจนสิ้น กระทั่งตอนนี้ไร้เรี่ยวแรงสนองตอบ แม้ร่างกายยังคงเต้นตุบตอบรับแก่นกายร้อน หากแต่เรี่ยวแรงก็ลดถอยลงมาก

สองมือลูบไล้มัดกล้ามอย่างหลงใหล ท่อนขาหรือก็กอด รัดเอวสอบหลวมๆ ในยามที่จังหวะสอดแทรกเนิบนาบ หากแต่ก็ ลึกล้ำจนแทบขาดใจ

“เร็วขึ้นอีก”

หญิงสาวส่งเสียงขึ้น เมื่อรับรู้ถึงการกระตุกเร่าของแก่น กายที่ซุกซบในกายสาว ร่างสูงทิ้งกายลงทาบทับพร้อมจุมพิตแผ่วเบา หากแต่กลับไม่เพียงพอ เพราะฉินเหม่ยต้องการมากกว่านั้น

มือสองข้างยื่นออกไปไขว่คว้า กระทั่งกอดไหล่กว้างเอาไว้ เป็นฝ่ายแอ่นร่างเสนอเขา พร้อมกับบีบรัดจนลมหายใจของเขาสะดุด

จังหวะเนิบนาบเปลี่ยนเป็นขยับไหว กระทั่งเริ่มเร่งเข้าสู่ การรุกเร้าที่หนักหน่วงมากขึ้น

ฉินเหม่ยหยัดกายเข้าหาเขา ตอบสนองจังหวะของเขาอย่างทัดเทียม ปล่อยกายใจเต็มที่เพื่อให้การปลดปล่อยที่กำลังจะมาถึง กลายเป็นดั่งระเบิดเวลาที่รอวันทะลักทลาย

สองร่างโรมรันกันอย่างไม่มีใครยอมพ่ายแพ้ กระทั่งเสียง กระทั้นกระแทกเอี๊ยดอ๊าดดังขึ้นจากหัวเตียง เสียงหอบหายใจสอดประสาน เช่นกันกับจุดเชื่อมที่กระทบกันดังกึก ฉินเหม่ยอ้าปากส่งเสียงกรีดร้อง ในยามที่จุดสูงสุดของกามารมณ์ระเบิดพร่างออกมา

“อ๊า….”

หญิงสาวกอดรัดร่างสูงนิ่ง เกร็งร่างรับจังหวะสุดท้ายนั้น ด้วยความเต็มอกเต็มใจ รับรู้ถึงร่างแกร่งที่กระตุกเร่า เพราะการ ปลดปล่อยอันทะลักทลาย เขาโยกคลอนอยู่หลายครั้งแม้ว่าทุกอย่างจะจบลงแล้ว ดังนั้นหญิงสาวจึงตอบรับเขาอย่างใจดี

“ยอดเยี่ยมเหลือเกิน” หญิงสาวกระซิบบอกเขาทั้งยังจุมพิตแก้มสากเบาๆ

“จื่อเสียน ชื่อของข้า”

เสียงกระซิบคล้ายมีคล้ายไม่มีทำให้ฉินเหม่ยไม่มั่นใจในสิ่งที่ได้ยิน

ความง่วงงุนเข้าเกาะกุม แต่ถึงอย่างนั้นสองแขนยังคงกอดรัดไม่ปล่อย อีกทั้งแก่นกายที่ซุกซบก็ยังคงอยู่ในกายสาว ไม่ได้ทำให้ฉินเหม่ยตระหนักในสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้น

หญิงสาวเพียงพริ้มดวงตาหลับลง ทั้งที่ร่างกายภายใน ยังคงบีบรัดตัวตนของชายหนุ่ม ทำให้เขาจำต้องขยับเอวสอบ

“ทำอย่างไรดี ข้าไม่อาจหยุด”

แม้หญิงสาวหลับไปแล้ว หากแต่เขายังคงต้องการ ดังนั้น จึงได้แต่คลอเคลียพัวพันคนที่กำลังจะหลับให้ตื่นขึ้น จากนั้นก็รุกเร้าจนหญิงสาวไม่อาจขัดขืน ได้แต่โอนอ่อนอย่างว่าง่าย ทั้งยังให้ ความร่วมมือเป็นอย่างดี

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version