ตอนที่ 123 ตรงตามสมุดบัญชี บุตรเกรงกลัวบิดาเข้มงวด
พอจัดการคนของจวนถานเสร็จก็กลับบ้านไปพักผ่อน แต่หวังทงกลับไม่มีเวลาได้พักผ่อน
ตอนที่หม่าซานเปียวย้ายมาอยู่ด้วย มารดาเขาก็กำชับเป็นร้อยเป็นพันครั้งว่า ให้แก้นิสัยไม่ดียามอยู่ในบ้านของตน ต้องรับใช้นายท่านให้ดี
ปกติก็มีกำแพงกั้นไว้ ยังเคยอุ้มหวังทงตอนยังเล็ก อยู่ๆ ให้มาทำตัวเคารพนอบน้อม ก็รู้สึกไม่คุ้นเคยอย่างมาก ยังดีที่หวังทงไม่ใส่ใจเรื่องนี้ ที่หม่าซานเปียวต้องทำก็คือตนเองจะทำอะไร ก็คิดส่วนของหวังทงด้วย
ตอนหวังทงไม่อยู่ หม่าซานเปียวก็จัดการก่ออิฐเป็นเตาจุดไฟต้มน้ำในบ้าน เตรียมน้ำล้างเท้าให้ตนเองและหวังทงก่อนนอน ทุกวันฝึกหนัก จึงมีธรรมเนียมว่าต้องใช้น้ำร้อนแช่ ต้องใช้น้ำร้อนล้างหน้าบ้วนปาก ต้องดื่มน้ำร้อน เป็นต้น แม้ว่าหม่าซานเปียวจะรู้สึกยุ่งยาก แต่ก็ชินเสียแล้ว
เสียงกลองเสียงฆ้องดังมาจากวังหลวง ดึกมากแล้ว ด้านนอกประตูได้ยินเสียงม้าควบมา หม่าซานเปียวฮัดเช้ยเสียงดัง ในใจคิดว่ามาถนนทักษิณในเวลานี้ แปดเก้าส่วนจากสิบส่วนย่อมมาหานายท่านเราแน่
ตามคาด ได้ยินเสียงคนเคาะประตูด้านข้าง เสียงเจ้าหน้าที่สืบคดีหลี่ว์วั่นไฉดังมาจากนอกประตู
“ข้าน้อยหลี่ว์วั่นไฉ ขอพบใต้เท้าหวัง!!”
แม้ว่าหม่าซานเปียวจะเป็นคนหยาบกระด้าง แต่ก็รู้ว่าคนข้างนอกเป็นคนกันเอง จึงรีบออกไปเปิดประตู หลี่ว์วั่นไฉครั้งนี้มาพร้อมกับหวังซื่อและหลี่กุ้ย
หลี่ว์วั่นไฉพยักหน้าไปทางหม่าซานเปียว กระซิบเบาๆ ว่า
“ซานเปียว คอยเฝ้าด้านนอกได้ไหม อย่าให้คนที่ไม่เกี่ยวข้องเข้ามา”
“ที่นี่เที่ยงคืนไม่มีแม้แต่แมวพเนจร จะไปมีใครได้ เอาๆ ใต้เท้าหลี่ว์พวกท่านเข้าไปก่อน ข้าออกไปเฝ้าให้”
หม่าซานเปียวบ่นอย่างอารมณ์บูด ถือดาบเล่มหนึ่งยืนอยู่ด้านนอกประตู ทั้งสามคนรีบเดินเข้าไป
เรื่องด่วนมาก หากพอเห็นหวังทงก็อึ้งไป หวังทงกำลังอ่านหนังสืออยู่ในห้องโถง ในสายตาของหลี่ว์วั่นไฉและคนอื่นๆ หวังทงอายุน้อย กล้าหาญและรู้จักวางแผน ไม่ธรรมดา และยังโตเป็นผู้ใหญ่เกินอายุ แต่อย่างไรก็เป็นขุนนางสายบู๊อย่างองครักษ์เสื้อแพร อาจจะรู้หนังสือ แต่ท่าทางการอ่านหนังสือนี่ เกรงว่าน่าตกใจไปสักหน่อย
คนที่รู้หนังสือในสำนักองครักษ์เสื้อแพรนั้นมีน้อยมากๆ มีเรื่องเล่าว่าตอนขี่ม้าออกจากเมืองหลวงไปถ่ายทอดราชโองการนั้น ยังต้องให้คนบอกให้ท่องไว้ก่อน จึงจะกล้าออกไป
หากคิดจะเรียนหนังสือ ก็ต้องระดับนายกองพันหรือสูงกว่านั้นจึงจะเป็นไปได้ หวังทงแม้ว่าปีนขึ้นต้นไม้ใหญ่ แต่ก็เริ่มมาจากนายกองธงเล็ก ทำไมอ่านหนังสือออก
หวังทงนวดขมับ หน้านิ่วคิ้วขมวดเงยหน้าขึ้น หัวเราะยิ้มกล่าวว่า
“ไม่มีเครื่องหมายวรรคตอนแบ่งวรรค หนังสือเล่มนี้อ่านไม่เข้าใจเลยจริงๆ”
เขาเอ่ยล้อเล่น หลี่ว์วั่นไฉและพรรคพวกที่กำลังรู้สึกเกร็งเล็กน้อยก็ผ่อนคลายขึ้น ‘เครื่องหมายวรรคตอน’ หลี่ว์วั่นไฉไม่รู้จักคำนี้ แต่คำว่า ‘แบ่งวรรค’ สองคำนี้เข้ากลับเข้าใจว่าเป็นเรื่องอะไร จึงได้หัวเราะรับคำว่า
“น้องหวังไปขอให้บัณฑิตซิ่วไฉสูงวัยสักผู้หนึ่ง มาช่วยเจ้าแบ่งประโยคก็ได้นี่”
หวังทงยิ้มพยักหน้ารับ ลุกขึ้นทักทายว่า
“พี่หลี่ว์เชิญนั่งก่อน เดี๋ยวข้าให้ซานเปียวต้มน้ำชงชามา”
“น้องหวังเกรงใจไปแล้ว เราสามคนไม่หิวน้ำ แต่มีเรื่องสำคัญมากมาเล่าให้น้องหวังฟัง หวังซื่อ เจ้ารีบปิดประตูสิ!”
พอประตูปิดลง หลี่ว์วั่นไฉจึงได้เอ่ยขึ้นว่า
“ข้าทำงานสืบคดีมาเกือบ 15 ปี ไม่เคยลืมชื่อผู้ใดเลย ตอนที่ได้อ่านสมุดเล่มนั้น กลับไปศาลซุ่นเทียนก็ไปดูตามห้องต่างๆ ไล่อ่านรายชื่อ อย่างน้อย 20 ชื่อที่เมื่อวานได้เห็นที่น้องหวังให้ดู”
นี่เหมือนเป็นเรื่องที่คาดไว้ล่วงหน้า หลี่ว์วั่นไฉปาดเหงื่อ กล่าวต่อว่า
“เรื่องนี้ทำเอาข้าตกใจมาก ตอนบ่ายจึงได้ให้หวังซื่อกับหลี่กุ้ยไปที่ศาลอาญาใหญ่หาเหตุขอดูสมุดรายชื่อพวกเขา ทหารรับเบี้ยหวัดในนั้นก็มีที่มักคุ้นไม่น้อย”
ศาลอาญาใหญ่นั้นเป็นขุมกำลังขุนนางสายบู๊ที่ไม่เข้าตาที่สุด ในนั้นมีทหารในบังคับบัญชา แต่กลับต้องคอยเฝ้าประตูเมืองแต่ละด้าน และยังมีพวกคอยรักษาความสงบ ตระเวนตรวจตรายามค่ำคืน แต่ก็มีงานบางอย่างที่ทับซ้อนกันกับศาลซุ่นเทียนและสำนักององครักษ์เสื้อแพรกับสำนักบูรพา ผู้บัญชาการศาลอาญาใหญ่ก็แค่ขุนนางระดับ 5 ขุนนางสายบู๊ระดับนี้ในเมืองหลวงไหนเลยจะเห็นอยู่ในระดับสายตากัน
ศาลซุ่นเทียนแต่ไรมาก็เป็นหน่วยงานรองรับอารมณ์ เบี้ยหวัดไม่เคยได้ตรงตามเวลา ทหารส่วนใหญ่ก็เป็นพวกอ่อนแอแก่ชราที่ใช้การไม่ค่อยจะได้
แต่หน่วยงานที่ไร้ประโยชน์นี้ก็นับเป็นองค์กรขุนนาง ตามที่หลี่ว์วั่นไฉว่ามา เมื่อมีสถานะขุนนางเช่นนี้ก็สามารถสวมชุดประจำการและพกดาบติดตัวไปตามท้องถนนได้ พอถึงช่วงเวลาสำคัญ เกิดการเปลี่ยนแปลงใหญ่ ก็จะเป็นภัยร้ายที่ป้องกันไม่ทัน
หวังทงเงียบไปนาน กว่าจะเอ่ยถามขึ้นว่า
“เรื่องนี้เชื่อถือได้หรือ?”
ตอนนี้หวังทงเกรงว่าตนจะกังวลเกินไป ผลก็คือตัวเองทำตัวเองตกใจกลัวไปเอง ถึงตอนนั้นจะไม่มีใครเชื่อถือ กลับเปิดทางให้พวกคิดร้ายได้มีโอกาสแทรกเข้ามา
พอได้ยินหวังทงถาม หลี่ว์วั่นไฉกับหวังซื่อและหลี่กุ้ยก็สบตากัน ทุกคนล้วงเอาสมุดออกมาจากอกเสื้อ หลี่ว์วั่นไฉเอ่ยขึ้นเบาๆ ว่า
“วันนี้ทั้งวันไม่ได้ทำอะไรเลย ได้แต่คัดลอกสมุดรายชื่อออกมา”
หวังทงยิ้มให้ก่อนจะเดินเข้าไปในห้องนอนหยิบสมุดปกสีน้ำเงินออกมาวางลงบนโต๊ะ หลี่ว์วั่นไฉกำหมัดข้างหนึ่งแตะมืออีกข้างหนึ่งเป็นท่าประสานมือคำนับ ก่อนจะเริ่มพลิกสมุดออกเทียบกัน
ครั้งนี้ไม่ยุ่งยากเหมือนครั้งก่อน พลิกไปไม่กี่หน้าก็หาชื่อที่ตรงกันได้ หาออกมาทีละรายชื่อ ทำสัญลักษณ์แต่ละชื่อไว้ เทียนที่วางอยู่บนโต๊ะหลอมละลายไปกว่าขึ้นเล่ม จึงเทียบเสร็จ
เจ้าหน้าที่ศาลซุ่นเทียน รวมทั้งพลทหารผู้น้อยในศาลอาญาใหญ่ทั้งหมด 135 นาย เมื่อเทียบเสร็จ ก็ทำสัญลักษณ์ไว้ หวังทงกับหลี่ว์วั่นไฉสบตากันด้วยไม่รู้จะทำอย่างไรต่อดี ผ่านไปครู่หนึ่ง หวังทงก็ถามอย่างมึนงงว่า
“หาคนพวกนี้ออกมาได้ สามารถจับกุมตามรายชื่อได้หรือ?”
“ไม่มีข้อหา จะไปจับคนได้อย่างไร พี่หวัง ในเมืองหลวงนี่อย่าว่าแต่พวกเชื่อพุทธไตรสุริยันอะไรนี่เลย แม้แต่เชื่อลัทธิบัวขาวที่นับถือเจ้าแม่เหล่าบ้อ ทั้งยังลัทธิพระศรีอาริย์อีก ไม่รู้มากมายเท่าไร ลัทธิไตรสุริยันนี่ยังไม่นับว่าทำผิดกฎหมาย ลัทธิบัวขาวกับลัทธิพระศรีอาริย์สิที่เคยก่อกบฏนั่นยังไม่มีคนจับเลย!”
หวังทงรู้สึกวุ่นวายใจจนต้องตบศีรษะตัวเอง รู้ทั้งรู้ว่าลัทธิไตรสุริยันเป็นภัย แต่กลับไม่มีเหตุให้จับกุมได้ หวังซื่อถือโอกาสแทรกขึ้นว่า
“ใต้เท้าหวัง พวกนี้แค่กุ้งฝอย จับพวกมันได้แล้วไม่ได้ประโยชน์เท่าไร แต่กลับแหวกหญ้าให้งูตื่น!”
“ข้าก็รู้ แต่ตอนนี้หากไม่จับกุ้งฝอยตรงหน้าพวกนี้ แม้แต่หนทางลงมือจับก็ไม่มีน่ะสิ!”
คำตอบหวังทงแข็งกร้าวไปบ้าง ลัทธิไตรสุริยันแอบซ่อนภัยร้ายไว้ ย่อมวางแผนการณ์ร้ายยิ่งใหญ่ ในมุมเล็กๆ นี่ พวกมันค้าขายมนุษย์ สร้างสถานการณ์หลอกเอาเงิน ยังไม่รู้ว่ามีหญิงต้องจากลูก บ้านแตกสาแหรกขาดไปเท่าไร แต่ที่เห็นตรงหน้านี้กลับไม่มีหนทางกำจัด จะไม่ให้กลุ้มใจได้อย่างไร
แน่นอนหากเคลื่อนไหวโจ่งแจ้งจะเป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่น แต่ก็เป็นสิ่งจำเป็น เกรงแค่ว่าจะไปเจอตอที่อยู่เบื้องหลัง ถึงตอนนั้นผู้ที่ตนต้องต่อสู้ด้วยเป็นอำนาจบารมีส่วนหนึ่งในราชวงศ์หมิง แม้ว่าจะมีฮ่องเต้คอยปกป้อง แต่ศัตรูที่ลับ ข้าที่แจ้ง ไม่อาจรับรองความปลอดภัยได้เลย
หลี่กุ้ยเห็นสีหน้าหวังทงไม่ดีนักก็รีบกล่าวว่า
“เจ้าหน้าที่ศาล ทหารประจำศาล อย่างไรก็สามารถแอบซ่อนได้สองสามคน คนเป็นร้อยพวกนี้ต้องมีคนใต้บังคับอีกมาก หากไปแตะต้อง ไม่อาจเอาผิดได้ไม่เท่าไร เกรงแค่ว่าคนอื่นจะพลอยหายตัวไปด้วย”
หลี่ว์วั่นไฉไม่รู้หยิบพัดจีบขึ้นมาเมื่อไร พัดไปมาอย่างร้อนใจ เทียนบนโต๊ะถูกพัดจนวูบไหวไปด้วย แสงเดี๋ยววูบเดี๋ยววาบ ก่อนจะพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงฝืดเฝื่อนว่า
“ไม่ว่าเหอจินอิ๋นหรือหูต้าเฉวียนในวังนั้น ผู้ที่อยู่เบื้องหลังเกรงว่าคิดแค่จะตัดไฟต้นลมเพื่อรักษาตนรอด พวกมันคิดว่าพวกเราทำคดีไปมาไปเจอโดยบังเอิญ ไม่รู้ว่าเบื้องหลังคืออะไร หากจะยกธงรบกันจริงๆ ไม่มีข้อหาอะไร ขุนนางในเมืองหลวงย่อมหาเรื่องยุ่งยากมาให้พวกเรา ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าพวกมันอยู่ในที่ลับ ตอนนั้นถูกรุมเละไม่พอ เกรงว่าแม้แต่ชีวิตก็ยากจะรักษาไว้ได้…”
กล่าวถึงตรงนี้ก็เงียบไป มองสีหน้าหวังทง จึงได้กล่าวต่อว่า
“เราย่อมสืบต่อ แต่ต้องมีข้อหาที่สะเทือนถึงเบื้องบน ดีที่สุดสามารถเป็นเรื่องที่โยงถึงในวังได้…”
กล่าวถึงตรงนี้ หวังทงก็ตบมือเสียงดังขึ้น หลุดออกมาว่า
“ลืมเรื่องนี้ไปได้ยังไง ซุนเหล่าเอ้อร์เสือซ่อนเล็บทางนั้นน่าจะได้เวลาแพ้พนันอีกแล้ว ถึงตอนนั้นพาเจียงจงกาวไปที่นั่น พวกเราก็ไปแอบดูด้วยกัน คนในวังมากมายเช่นนั้นออกมารับเงินนอกวังตามกำหนดเวลา นี่สิเรื่องใหญ่!”
*****
เฉินซือเป่าตั้งแต่เสียเปรียบให้พวกลานฝึกหู่เวยมา ก็ไม่กล้ากลับบ้าน นำทหารที่จวนไปยังแพ้ กลับไปบิดาจะต้องโบยเอาแน่
ยังดีที่เซียงเฉิงป๋อมีเรือนพักรับรองนอกจวนไม่น้อย ให้พวกเฉินอู่ไปจัดการ ก็นำบรรดาสหายเข้าไปหลบที่บ้านพักขนาดเล็กที่เป็นเรือนล้อมสามชั้นในเขตอุดรได้ แล้วยังจ่ายเงินให้หมอมารักษาอาการบาดเจ็บของบรรดาสหายและลูกน้องตน จากนั้นยังไปขอเงินจากพี่ชายมาอีก 500 ตำลึง เตรียมหลบอยู่ที่บ้านพักนี่สักสองสามวัน
เขารู้ดีว่าอย่างไรเสียท่านพ่อท่านแม่ย่อมไม่ใจร้ายไม่ให้เขากลับไป เฉินซือเป่ากับพวกจึงอยู่อาศัยที่เรือนพักนี้ เหมือนกับถูกลงทัณฑ์เลย นั่งก็ไม่ได้ นอนก็ไม่ได้ เบื้องหลังเป็นรอยฟกช้ำเขียวจ้ำ เจ็บปวดอย่างแสนสาหัส
ทนได้ถึงวันที่ 2 เดือนห้า ใกล้เทศกาลขนมบะจ่างแล้ว ชนชั้นสูงก็ล้วนต้องฉลองกันพร้อมหน้าในวันเทศกาลใหญ่เช่นนี้ เสี่ยวถังและคนอื่นๆ อยู่กันสองสามวันก็กลับบ้านไป แต่เฉินซือเป่ากลับไม่กล้า
หากก็รู้ว่าไม่กลับไปก็ไม่ได้ กลับไปก็โดนด่าโดนลงโทษ เทศกาลไม่กลับไปเกรงว่าจะถูกลงโทษด้วยกฎของตระกูล เฉินซือเป่าไม่รู้จะทำอย่างไร ได้แต่ส่งผู้ติดตามกลับไปดูสถานการณ์ก่อน
ผลก็คือนำข่าวดีกลับมา บอกว่าเซียงเฉิงป๋อไปตรวจงานนอกเมือง นี่เป็นโอกาสดียิ่ง เฉินซือเป่ารีบวิ่งกลับไป แต่ก่อนที่เคยก่อเรื่องเดือดร้อนก็จะไปหาท่านแม่เพื่อขอความเห็นใจ ซึ่งก็มักจะช่วยตนพูด แต่ปรากฏว่า เมื่อกลับมาถึงจวน กลับได้รับคำบอกกล่าวว่า ไทเฮาตามท่านแม่เข้าวังไปแล้ว
ไทเฮามักจะทรงสนทนากับบรรดาสตรีในตระกูลชั้นสูงถึงเรื่องจิปาถะที่บ้านเป็นเรื่องปกติ เฉินซือเป่านั่งอยู่ในบ้านไม่ถึงครึ่งชั่วยาม ก็ได้ยินว่านายท่านกำลังจะรีบกลับมา จึงรีบวิ่งกลับไปที่บ้านพักข้างนอกนั่น
พอกลับไปถึงบ้านนั่นก็กลัดกลุ้มใจว่าจะทำอย่างไรดี แม้แต่เสี่ยวถังชวนไปร่ำสุราก็ไม่มีแก่ใจจะไป
*****
ผลก็คือหลบอย่างไรก็หลบไม่พ้น พอฟ้ามืด พ่อบ้านในจวนก็มาถึง กล่าวเพียงว่า
“นายท่านให้คุณชายรองกลับไปด่วน!!”