ตอนที่ 142 ไม่เลื่อนขั้น ได้เงินทองมาแทน
ใต้หล้าต่างวิพากษ์วิจารณ์ว่าเหตุใดจางจวีเจิ้งจึงกุมอำนาจใหญ่ไว้ได้ สาเหตุสำคัญหนึ่งก็คือผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพรหลิวโสวโหย่วภักดีต่อจางจวีเจิ้ง
สำนักองครักษ์เสื้อแพรเป็นองค์กรข่าวใหญ่ที่สุดในราชวงศ์หมิง ข่าวลับในและนอกล้วนสืบอย่างละเอียด เมื่อก่อนข่าวพวกนี้จะส่งต่อจากสำนักองครักษ์เสื้อแพรและสำนักบูรพาเข้าวัง สุดท้ายจึงไปถึงมือมหาขันทีสำนักส่วนพระองค์และฮ่องเต้ ขุนนางส่วนนอกน้อยมากที่จะได้ยุ่งเกี่ยวและรู้ข่าว
แต่ตอนต้นสมัยว่านลี่ เฝิงเป่าแอบอนุญาตจากให้องครักษ์เสื้อแพรรายงานต่อจางจวีเจิ้ง เรื่องใหญ่เรื่องเล็กของขุนนางในและนอกเมืองหลวง เรื่องส่วนตัวและเรื่องแผ่นดินของทุกคนใต้หล้า ล้วนอยู่ในการควบคุมของจางจวีเจิ้ง ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ไม่ว่าจะผลักดันนโยบายชาติหรือดำเนินการแย่งชิงอำนาจการเมือง จางจวีเจิ้งก็ล้วนได้สิทธิพิเศษที่มหาอำมาตย์ราชวงศ์หมิงไม่เคยมีมาก่อน
ผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพรหลิวโสวโหย่วได้รับประโยชน์ยิ่งมากไปพร้อมกับอำนาจของจางจวีเจิ้งที่ยิ่งเพิ่มมากขึ้นทุกวัน จึงยิ่งซื่อสัตย์ภักดีต่อจางจวีเจิ้ง
ตอนเช้าฮ่องเต้อยู่ๆ เรียกเข้าเฝ้า ปฏิกิริยาแรกของหลิวโสวโหย่วก็คือเรียกหาคนที่ไว้ใจให้ไปแจ้งอำมาตย์จางเรื่องที่ฮ่องเต้เรียกเข้าเฝ้าก่อน จากนั้นก็เตรียมเปลี่ยนเสื้อผ้า รีบเร่งมายังวังหลวงทันที
ขันทีน้อยนำทางเข้าไปยังห้องทรงอักษร หลิวโสวโหย่วได้ยินเสียงเรียกตัวจากในห้อง ก็รีบยอบกายเดินเข้าไปคุกเข่า แล้วจึงโขกศีรษะถวายบังคม
พิธีการแม้จะเคารพนอบน้อม แต่หลิวโสวโหย่วติดตามจางจวีเจิ้งมานาน รู้ว่าท่านจางและหัวหน้าขันทีสำนักส่วนพระองค์ปฏิบัติต่อฮ่องเต้ราวกับเด็กน้อย
แม้ว่าหลิวโสวโหย่วรู้ว่าตนไม่มีสถานะเช่นนั้น แต่ในใจก็ไม่มีความรู้สึกเคารพยำเกรงฮ่องเต้ว่านลี่เลยจริงๆ
หลังการประชุมขุนนางเสร็จสิ้นลง ห้องทรงอักษรก็เงียบมาก ใบหน้ากลมของฮ่องเต้น้อยเปล่งประกายอ่อนโยนและรอยยิ้มบาง ถามด้วยสุรเสียงอ่อนโยนว่า
“ขุนนางหลิว ได้ยินว่าท่านมีโรงบ้านนอกเมือง?”
คำถามนี้ทำเอาหลิวโสวโหย่วสะดุ้งในใจ ตรึกตรองอย่างระมัดระวัง ก่อนจะทูลรายงานว่า
“ทูลฝ่าบาท กระหม่อมมีโรงบ้านนอกเมืองหลวง 6 แห่ง แต่ล้วนเป็นกิจการของที่บ้าน บิดาทิ้งไว้ให้ทั้งสิ้น”
บิดาของหลิวโสวโหย่วเป็นขุนนางใหญ่ใกล้ชิดฮ่องเต้เจียจิ้ง ทรงพระราชทานให้มากมาย วาจาเมื่อครู่ได้ผ่านการกรองมาอย่างดี เบี้ยหวัดพระราชทานให้ขุนนางในราชวงศ์หมิงนั้นน้อยมาก เบี้ยหวัดของผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพรปีหนึ่งก็ไม่ถึง 200 ตำลึงเงิน จะซื้อโรงบ้านนอกเมืองได้อย่างไร
แน่นอน ขุนนางใครบ้างไม่อยากครอบครองสิ่งเหล่านี้กัน แต่เรื่องพวกนี้รู้แก่ใจไม่เปิดเผยออกมา แต่หากสืบกันขึ้นมา ก็ย่อมเป็นเรื่องยุ่งยาก หลิวโสวโหย่วตอบเช่นนี้ ก็ได้ผลักเรื่องทั้งหมดไปที่ฮ่องเต้เจียจิ้ง คิดว่าย่อมไม่เอาความต่อ
แต่ฮ่องเต้ว่านลี่เหมือนไม่ได้สนใจในคำถามนี้ ได้แต่พยักหน้าเล็กน้อย แย้มพระสรวลตรัสว่า
“ไม่ต้องคุกเข่า ลุกขึ้นนั่งเถอะ!”
กล่าวคำว่า ‘ขอบพระทัยฝ่าบาท’ หลิวโสวโหย่วก็ใจชื้นขึ้นเล็กน้อย นั่งลงบนริมขอบเก้าอี้กระเบื้องลายครามทรงกลม ฮ่องเต้ได้ทรงแย้มยิ้มตลอดเวลา เข้ากับใบหน้าอ้วนที่เต็มไปด้วยความไร้เดียงสา เห็นชัดว่ามีความอ่อนโยนเป็นพิเศษ พระองค์เอ่ยถามต่อว่า
“ได้ยินว่าที่นอกเมืองท่านมีโรงบ้านถูกหวังทงนำกำลังไปแย่งชิง?”
หลิวโสวโหย่วตกใจสะดุ้ง ‘เฮือก’ ในใจ รีบลุกขึ้นจากเก้าอี้กลม ทูลตอบอย่างนอบน้อมว่า
“ทูลฝ่าบาท โรงบ้านของข้าน้อยมีความแค้นเก่ากับหม่าซานเปียว ลูกน้องของหวังทง วันนั้นหม่าซานเปียวไปอยู่แถวนั้น ถูกคนของโรงบ้านพบ มีเรื่องลงมือชกต่อยกัน เดิมก็เป็นเรื่องง่าย รายงานไปยังที่ว่าการ ก็จะปล่อยคนไป คิดไม่ถึงว่าหวังทง กลับนำคนมาจู่โจม แย่งชิงคนจนเป็นเรื่องใหญ่ คนงานสิบกว่าคนบาดเจ็บ สองคนในนั้นสาหัส โรงบ้านก็ได้รับความเสียหายไม่น้อย”
วาจานี้กล่าวได้แยบยล ดูเหมือนกำลังเล่าความจริง แต่จริงๆ แล้วโยนความผิดทั้งหมดให้ทางหวังทง ฮ่องเต้ว่านลี่ก็พยักพระพักตร์พลอยผสมโรงไปด้วยว่า
“บุ่มบ่ามเกินไปจริงๆ ขุนนางหลิวยังเป็นผู้บังคับบัญชาของหวังทง เขาวู่วามเช่นนี้ ไม่รู้จักกาลเทศะ เป็นแค่นายกองธงใหญ่กลับเหิมเกริมเพียงนี้ เช่นนั้นวันหน้าจะทำเยี่ยงไร คนเช่นนี้ต้องลงมือสั่งสอนให้หนัก!!”
ผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพรหลิวโสวโหย่วรีบก้มตัวลงกล่าวว่า
“ฝ่าบาททรงพระปรีชายิ่ง แต่หวังทงอายุยังน้อย บุ่มบ่ามไปบ้าง แต่เรื่องอื่นๆ ก็ดี ได้รับการสั่งสอนเท่านี้ก็พอแล้ว”
ฮ่องเต้ว่านลี่ได้แต่ยิ้มพยักหน้า ในเวลานั้นเองก็ได้ใช้ทรงชมเชยขึ้นว่า
“ขุนนางหลิวน้ำใจกว้างใหญ่!”
ได้ยินเช่นนี้ หลิวโสวโหย่วก็รู้สึกโล่งใจ ฮ่องเต้ว่านลี่กำลังออกหน้าไกล่เกลี่ยแทนหวังทง หรือวันนั้นการกระทำของท่านจางในการประชุมคณะเสนาบดีใหญ่ทำให้ฮ่องเต้น้อยทรงเป็นกังวล และเส้นทางการเลื่อนตำแหน่งของหวังทงก็ถูกดึงรั้งไปเล็กน้อย ในวงราชการยังมีการแก้แค้นรั้งตำแหน่งคนอื่นมากกว่านี้อีก นี่ก็นับว่าเพียงพอแล้ว ยามนี้มิสู้ไปตามน้ำ หลิวโสวโหย่วกำลังจะเอ่ย แต่ฮ่องเต้ว่านลี่ชิงตรัสก่อนว่า
“หวังทงอายุยังน้อย ขุนนางหลิวก็ต้องใส่ใจดูแลให้มาก ตอนนี้เขามีคนในบังคับไม่น้อย และมีม้าอยู่บ้าง ต้องการหาที่ทางนอกเมืองเพื่อจัดสรรให้ลงตัว โรงบ้านที่ขุนนางหลิวถูกโจมตีนั้น ในเมื่อได้รับความเสียหายหนัก เช่นนั้นก็คงใช้การไม่ได้ ตามความเห็นเรา มิสู้ยกให้หวังทงไปเป็นอย่างไร จะได้แสดงให้เห็นถึงความใจกว้างของขุนนางหลิว ใส่ใจดูแลผู้น้อย”
ผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพรหลิวโสวโหย่วในที่สุดก็เข้าใจว่าฮ่องเต้เรียกมาพบทำไม นี่เรียกว่าออกหน้าไกล่เกลี่ยที่ไหนกัน เห็นชัดว่าช่วยหวังทงเอาคืน
เดิมโรงบ้านของเขาถูกหวังทงปิดหน้ามาลอบโจมตี คนที่การข่าวฉับไวในเมืองก็โจษจันกันไปทั่ว เขาก็เสียหน้ามากแล้ว ถึงได้ไปฟ้องจางจวีเจิ้ง ไม่ว่าด้วยจุดประสงค์ใดที่จางจวีเจิ้งจะรั้งตำแหน่งหวังทงไว้ แต่คนนอกต่างคิดว่ามหาอำมาตย์กำลังระบายโทสะแทนเขา
ความมีหน้ามีตานี้มีได้ไม่ถึงสองวัน วันนี้ฮ่องเต้ก็ให้เขามอบโรงบ้านนั้นให้หวังทง ก็เท่ากับโดนตบหน้าฉาดใหญ่
“เอกสารสิทธิ์ที่ดิน ม้าในโรงบ้าน คนงาน ทุกอย่างก็ยกให้หวังทงไปเถอะ ราชวงศ์หมิงเราหาได้ยากที่จะมีคนที่ตั้งใจภักดีปฏิบัติหน้าที่เช่นนี้ ยังควรจะให้การสนับสนุนให้มากถึงจะถูกต้อง”
ดำรัสของฮ่องเต้ก็คือราชโองการ หลิวโสวโหย่วพยายามคิดหาทางแต่ก็ไร้หนทางโต้กลับ ได้แต่แต่สรรเสริญอย่างนอบน้อมว่า
“ฝ่าบาททรงพระปรีชายิ่งแล้ว กระหม่อมจะกลับไปดำเนินการทันที”
“เรามีฎีกาต้องอ่านอีกหน่อย เชิญท่านกลับไปได้แล้ว!”
*****
ตอนบ่ายวันก่อนหวังทงกล่าวกับฮ่องเต้ว่านลี่ด้วยท่าทีน่าสงสารครู่หนึ่ง ใจความหลักก็คือต้องการโรงบ้านนั้นของหลิวโสวโหย่ว มิเช่นนั้นคนและม้าจำนวนมากไม่มีที่อยู่
และยังแอบบอกเป็นนัยว่า ความคิดที่ฮ่องเต้ต้องการจะเลื่อนตำแหน่งให้ตนถูกพวกอำมาตย์จางจวีเจิ้งตีตกไป เป็นเรื่องเล็ก แต่พระเกียรติของฝ่าบาทจะทำเช่นไร อำมาตย์จางคิดการเพื่อแผ่นดินล้วนเป็นเรื่องดี แต่ข้างนอกลือกันไปอาจจะไม่เหมือนกัน กลายเป็นผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพรขอร้องให้มหาอำมาตย์กดฝ่าบาทไว้
ไม่เลื่อนตำแหน่งให้ตนนั้นเป็นเรื่องส่วนรวม ไม่ใช่เพราะเกียรติยศหน้าตาของเจ้า–หลิวโสวโหย่ว ไม่เลื่อนให้ ก็ต้องส่งมอบโรงบ้านออกมา เพื่อให้คนอื่นได้เห็นกัน
ฮ่องเต้ว่านลี่เป็นคนมองการณ์ทะลุปรุโปร่ง และยังมีประสบการณ์ในราชสำนักไม่รู้ว่าผ่านร้อนหนาวมามากเท่าไร ก็เข้าใจความหมายของหวังทงทันที
ฮ่องเต้ในเมื่อรับปากแล้ว แต่กลับไม่มีข่าวคราวเลย หวังทงตอนบ่ายอยู่ที่ลานฝึกหู่เวยก็ลองจับสังเกต พบว่าฮ่องเต้ว่านลี่ก็เหมือนกับทุกวัน ตอนก่อนเสด็จกลับยังตบหวังหวังทงอีกด้วย รอยยิ้มบนใบหน้าดูมีเลศนัย ทำเอารู้สึกมึนงง
เพิ่งกลับถึงบ้าน จางซื่อเฉียงก็นำคนเข้ามาอย่างนอบน้อม คนผู้นี้แต่งกายคล้ายหลี่ว์วั่นไฉ อายุราว 40 ที่เอวเหน็บป้ายตำแหน่ง เขียนไว้ว่า ‘กองเอกสาร สำนักงานองครักษ์เสื้อแพร’ ในมือคนผู้นี้มีถุงอยู่ใบหนึ่ง พอเข้ามาก็ยิ้มกล่าวว่า
“ข้าน้อยแซ่โหว เป็นนายกองร้อยประจำหน่วยสอบคุณสมบัติ กองเอกสารสำนักงานองครักษ์เสื้อแพร ก่อนอื่นต้องขอแสดงความยินดีกับใต้เท้าหวัง!”
นายกองร้อยประจำหน่วยสอบคุณสมบัติ กองเอกสารสำนักงานองครักษ์เสื้อแพร หวังทงอึ้งไป รีบลุกขึ้นประสานมือคำนับ การสอบคุณสมบัติก็คือการสอบตำแหน่ง หากเทียบกับยุคปัจจุบันก็คือเป็นหัวหน้างานฝ่ายบุคคลที่รับหน้าที่ด้านทรัพยากรบุคคล คนเช่นนี้ไม่อาจต้อนรับบกพร่องได้
จางซื่อเฉียงเตรียมของว่างและน้ำชาวางไว้บนโต๊ะเสร็จ ก็ออกไป นายกองร้อยโหวผู้นั้นล้วงป้ายประจำตำแหน่งในถุงออกมา ป้ายเหน็บประจำตำแหน่งนี้เป็นป้ายทองเหลือง ส่งของสองสามอย่างให้หวังทงแล้วก็ยิ้มกล่าวว่า
“องครักษ์เสื้อแพรเราอายุแค่ 14 ก็เป็นถึงนายกองร้อยแล้ว ใต้เท้าหวังนับว่าเป็นคนแรก ผู้กล้าอายุน้อยจริงๆ วันหน้าท่านและข้าต้องไปมาหาสู่กันให้มากหน่อย”
“แน่นอนๆ ใต้เท้าโหวให้ข้าไปรับที่กองเอกสารสำนักงานองครักษ์เสื้อแพรก็ได้ มาด้วยตนเองเช่นนี้ รู้สึกเกรงใจจริง”
“เรียกว่าเกรงใจได้อย่างไร แค่ผ่านมาส่งมอบให้เท่านั้น”
นายกองร้อยหยางจากกองเอกสารสำนักงานองครักษ์เสื้อแพรล่วงเกินหวังทง ผลก็คือถูกส่งไปชายแดน เรื่องนี้หัวหน้าทุกคนในกองเอกสารล้วนรู้กันในใจ และบอกต่อกันให้ระวัง อย่าได้ล่วงเกินนายกองธงใหญ่เล็กๆ ผู้นี้ ในเมื่อล่วงเกินไม่ไหว ก็ย่อมเข้าข่ายดึงไว้เป็นพวกเดียวกันแทน
ป้ายตำแหน่งนายกองร้อยธรรมดา คนของกองเอกสารย่อมไม่เห็นเป็นเรื่องใหญ่ มารับไปเองก็พอ แต่สำหรับหวังทง นายกองร้อยโหวที่ดูแลรับผิดชอบก็ต้องมาด้วยตนเองสักครั้ง
ขณะสองฝ่ายกำลังกล่าววาจาเกรงอกเกรงใจตามมารยาทอยู่นั้น จางซื่อเฉียงก็รายงานดังมาจากด้านนอกว่า
“ใต้เท้า ท่านหลิวเฉวียนไฉมาขอพบ!”
ได้ยินชื่อก็อึ้งไป ด้วยมิเคยได้ยินมาก่อน นายกองร้อยโหวกลับมีสีหน้าเปลี่ยนไป ยิ้มกล่าวว่า
“ไม่เป็นไร ใต้เท้าให้พบได้เลย!”
ไม่นาน ชายอายุราว 50 กว่า รูปร่างอ้วนเล็กน้อยก็เดินเข้ามา คนผู้นี้สวมชุดสีครามกับหมวกใบเล็ก เห็นชัดว่าเป็นชายรับใช้ แต่ดูแล้วก็เหมือนคหบดี
พอได้พบหน้า หวังทงก็ยังไม่รู้สึกคุ้น คนที่เอ่ยทักก่อนกลับเป็นนายกองร้อยโหว นายกองร้อยโหวประสานมือคำนับนอบน้อมยิ่งกว่าเมื่อสักครู่นี้อีก กล่าวว่า
“ลุงหลิว ข้าน้อยโหวเจ๋อแห่งกองเอกสาร คิดไม่ถึงว่าจะได้พบท่านผู้อาวุโสที่นี่!”
หลิวเฉวียนไฉผู้นั้นเพียงแค่พยักหน้ารับการทักทายอย่างนอบน้อมของนายกองร้อยโหว ล้วงเอาเอกสารสองสามแผ่นออกมา แล้วหยิบพวงกุญแจออกมาจากซองหนังข้างๆ วางลงบนโต๊ะ ก้มตัวลงกล่าวว่า
“ใต้เท้าหวัง นี่เป็นเอกสารสิทธิ์โรงบ้าน ยังมีกุญแจโรงเสบียง ม้าและคนงานทั้งหมด มีคนรอใต้เท้าไปจัดการอยู่ที่นั่นแล้ว”
หวังทงเข้าใจแล้วว่าเป็นเรื่องใด มิน่าฮ่องเต้ว่านลี่ตอนบ่ายถึงได้ทำท่าทางมีเลศนัย ที่แท้ทำเรื่องเช่นนี้ไว้นี่เอง นิสัยเด็กน้อยโดยแท้
สีหน้าหลิวเฉวียนไฉผู้นั้นแข็งกระด้าง วางของแล้วเห็นหวังทงพยักหน้ารับก็อำลาจากไป นายกองร้อยโหวที่อยู่ตรงนั้นอ้าปากค้าง จ้องหวังทงอย่างเสียมารยาท ถามว่า
“เมื่อครู่เป็นพ่อบ้านของใต้เท้าหลิวโสวโหย่วมิใช่หรือ!!?”