Skip to content

องครักษ์เสื้อแพร 251

ตอนที่ 251 จัดการพวกสบคบคิดนอกเมือง

ในบรรดาลูกน้องในโรงตีเหล็กของหวังทง มีช่างตีเหล็กและผู้เรียนรู้งานย้ายมาจากสำนักอาวุธปืนไฟเทียนจินสิบกว่าคน พวกเขาล้วนคุ้นเคยกับที่นั่นอย่างดี

ในลานบ้านมีคนผ่านไปผ่านมา หวังทงนั่งอยู่บนเก้าอี้กลางห้องโถงอ่านสารที่มาจากเมืองหลวง นอกจากสารที่มาจากฮ่องเต้ว่านลี่และจางเฉิงแล้ว ยังมีจากหลี่เหวินหย่วน ซ่งฉานฉาน หลี่ว์วั่นไฉที่ส่งมาสม่ำเสมอ ที่นั่นเป็นศูนย์กลางการปกครองราชวงศ์หมิง ข่าวสารก็ย่อมรู้ดีกว่าที่นี่

ด้านข้างวางโต๊ะหนังสือไว้ตัวหนึ่ง ไช่หนานนั่งอยู่ที่นั่นเขียนสารฉบับหนึ่ง เขียนไปสองสามประโยคก็ไม่แน่ใจเงยหน้าขึ้นเอ่ยถามว่า

“ใต้เท้า ‘ทุกอย่างต้องดำเนินการด้วยเครื่องมือวัดมาตรฐาน หากฝ่าฝืนให้ลงโทษสถานหนัก ผู้กระทำผิดโทษตัดศีรษะ’ ประโยคนี้เหมาะหรือไม่ขอรับ”

หวังทงเงยหน้าขึ้น ครุ่นคิดครู่หนึ่งก็เอ่ยขึ้นว่า

“ความหมายไม่ผิด เขียนเสร็จแล้วเอาให้หม่าซานเปียวอ่านดู แก้เป็นภาษาพูด พอเขาอ่านเข้าใจแล้วก็ให้พวกคนงานตีเหล็กได้อ่านกัน”

ไช่หนานพยักหน้ารับคำ เขียนไปอีกหนึ่งประโยคก็เงยหน้าขึ้น ลังเลเล็กน้อยก่อนจะกล่าวขึ้นเบาๆ ว่า

“ข้าน้อยกับใต้เท้ารู้จักกันมาปีหนึ่ง ติดตามใต้เท้าทำงานมาไม่ถึงหนึ่งเดือน แต่ใต้เท้าก็เมตตาข้าน้อยมากมายเช่นนี้ มีวาจาล่วงเกินขอกล่าวเล็กน้อย ฝ่าบาททรงให้ความสำคัญกับใต้เท้า ใต้เท้ายังเป็นนายกองพันองครักษ์เสื้อแพรเทียนจิน พวกองครักษ์ที่นี่ก็ย่ำแย่เหลือจะทน ตอนนี้ก็จัดการได้ผลดี เบื้องบนก็เห็นอยู่ว่าเป็นผลงานชัดเจน ตอนนี้ใต้เท้าก็ควรจะมุ่งมั่นต่อในเรื่องนี้ อนาคตวันหน้าก็ย่อมมีความก้าวหน้ายิ่งใหญ่ แต่ใต้เท้า…”

“ไม่ต้องอ้ำอึ้ง ว่ามา ไม่ตำหนิเจ้า!”

“เช่นนั้นข้าน้อยก็ขอบังอาจแล้ว ไม่ว่าเป็นขุนนางใหญ่ราชสำนักหรือบรรดากงกงในวัง ทุกเรื่องล้วนว่าไปตามกฎธรรมเนียม กองกำลังองครักษ์เสื้อแพรเราผลิตอาวุธปืนไฟเป็นการทำลายธรรมเนียม พวกที่ไม่ลงรอยกับใต้เท้าพวกนั้นก็ยอมคอยแอบหาจังหวะเล่นงานท่านแน่ หากใต้เท้ามุ่งมั่นในเรื่องโรงตีเหล็กนี่ เกรงว่าจะเป็นการเพิ่มน้ำค้างแข้งลงบนพื้นหิมะนะขอรับ!”

หวังทงยิ้มส่ายหน้า เอ่ยตอบว่า

“งานจะดีได้ ต้องใช้อุปกรณ์ดี วันหน้าเจ้าจะรู้เอง”

ไม่ได้อธิบายมากนัก ไช่หนานแอบถอนหายใจ แต่ก็ไม่พูดต่ออย่างรู้งาน อย่างไรก็เพิ่งมาขอพึ่งพาหวังทง วาจาบางอย่างไม่อาจพูดออกมาตรงๆ ได้

ไม่นาน เฉียวต้ากับช่างที่ย้ายมาจากสำนักอาวุธปืนไฟก็มาถึงลานบ้าน โรงตีเหล็กตั้งอยู่ในเมือง เรียกมาก็สะดวกมาก

ชายสองสามคนมองฝรั่งที่คุกเข่าอยู่กลางลานด้วยความแปลกใจ ก่อนจะเข้าไปคุกเข่าโขกศีรษะในห้องอย่างนอบน้อม หวังทงค่อยๆ เล่าถึงเรื่องที่ได้ยินอีกรอบ

กล่าวจบ ช่างตีเหล็กสองคนก็โขกศีรษะรับรองว่าที่เขาเหล่านั้นเล่ามาเป็นเรื่องจริง ยังกล่าวเสริมอีกว่า

“ทั้งสามมีความสามารถอยู่ เครื่องเหล็กที่พวกเขาหลอมออกมานั้นแตกต่างจริง และก็รู้วิธีว่าจะติดไฟเตาหลอมให้ดีได้อย่างไร เพียงแต่รักสนุก ทั้งวันเอาแต่เข้าเมืองไปเที่ยวเล่นดื่มกิน ไม่ทำงานทำการ”

ในเมื่อมีความสามารถก็คุยกันได้ หวังทงพยักหน้าให้ช่างสองคนออกไป เหลือไว้เพียงเฉียวต้า หวังทงตบโต๊ะไปสองสามทีก่อนจะยิ้มถามว่า

“เหล็กที่เจ้าซื้อหามาด้วยตนเองนั้นไม่เลวนะ!”

ได้ยินคำชม เฉียวต้าก็หน้าบานคุกเข่าลงโขกศีรษะ กล่าวอย่างนอบน้อมว่า

“ล้วนทำงานเพื่อใต้เท้า ข้าน้อยจะต้องทำให้ดีที่สุด”

“ไม่เพียงแต่คุณภาพดี แต่ราคายังถูก เจ้าก็ต่อราคาเป็นนี่นะ ไหนบอกว่าราคาสูงขึ้นหกเท่า เจ้าต่อลงไปสองส่วน อีกสี่ส่วนก็แบ่งกับคนขายเจ็ดสามงั้นหรือ หากหักออกสี่ส่วน เจ้าว่าจะถูกลงได้อีกเท่าไรกัน!”

เฉียวต้าเพิ่งฟังออกว่าหวังทงหมายความว่าอะไร รอยยิ้มหวังทงเริ่มเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มเย็นเยียบ พิงพนักเก้าอี้กล่าวต่อด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบว่า

“มาเทียนจินไม่ถึงครึ่งปี ได้ยินว่าเจ้ามีอนุอีกหลังแล้วหรือ? ยังเป็นบุตรสาวของบัณฑิตระดับซิ่วไฉของอำเภอเซียงเหอเสียด้วย ก้าวหน้าไม่น้อยเลยนะเจ้า!”

พื้นในห้องปูด้วยหินดาดสีเขียว เฉียวต้าตัวสั่นโขกศีรษะเสียงดังปัง หน้าผากเต็มไปด้วยโลหิตสด หวังทงมองด้วยความรังเกียจแวบหนึ่ง เอ่ยเสียงเย็นว่า

“ช่างทำปืนใหญ่ข้าหามาให้เจ้าแล้ว พากลับไป ในหนึ่งเดือนต้องทำปืนใหญ่ให้ข้าให้ได้ ทำไม่ได้ จะตัดหัวเจ้า ทำได้ เงินทองที่เจ้ากลืนไปถือเป็นรางวัล!”

เฉียวต้าหยุดสั่น เรื่องที่เขาคิดมาตลอดว่าไร้ช่องโหว่กลับถูกหวังทงเปิดโปง เดิมคิดว่าวันนี้คงไม่อาจมีชีวิตต่อไปได้อีกแล้ว คิดไม่ถึงว่าจะยังเหลือทางรอดไว้ให้เช่นนี้

สำหรับเขาแล้ว เท่ากับจุดหักเหระหว่างความเป็นความตาย ได้แต่นิ่งค้างอยู่ตรงนั้นอย่างไม่รู้จะทำเช่นไรต่อ หวังทงแค่นเสียงเย็นดังขึ้น เฉียวต้าจึงได้สติ โขกศีรษะลงแรงกว่าเดิม กล่าวด้วยน้ำเสียงสะอื้นว่า

“ข้าน้อยแม้ต้องโดดลงเตา ก็ต้องหลอมปืนใหญ่ออกมาให้ใต้เท้าให้ได้”

“หลอมปืนใหญ่ต้องการเงินทอง ต้องการคน ก็ไปขอที่จางซื่อเฉียง ที่ต้องใช้จ่ายก็ใช้ไป เงินที่เจ้ากลืนกินไปเดี๋ยวค่อยไปรายงานที่จางซื่อเฉียง วันหน้าไม่ว่ามอบรางวัลให้เจ้าหรือตัดหัวเจ้า ก็จะได้เป็นหลักฐาน นำคนไปได้แล้ว!”

หวังทงโบกมืออย่างรำคาญ เฉียวต้าโขกศีรษะอีกสองสามที ร้องไห้ขอบคุณก่อนจะถอยออกไป ฝรั่งสามคนที่คุกเข่าอยู่ด้านนอกแอบเห็นภาพในห้องโถงกลาง สีหน้าหวังทงเป็นปกติ เสียงดังสั่งการขึ้นว่า

“เตรียมม้า ก่อนฟ้ามืด ข้าจะต้องถึงโรงเตี๊ยมเงินไหลมา!”

การสั่งสอนเมื่อครู่ของหวังทงล้วนอยู่ในสายตาของไช่หนาน เห็นหวังทงปรับสีหน้าโมโหเป็นปกติอย่างรวดเร็ว คุยปกติทั่วไปก็เปิดโปงความลับของเฉียวต้า แต่กลับไม่ลงโทษตามธรรมเนียม ทำให้ไช่หนานไม่เข้าใจ หวังทงผลักเอกสารไปกองไว้ทางหนึ่ง จัดลวกๆ ก่อนจะออกไป

เดินไปถึงประตู หวังทงก็หันกลับมายิ้มกล่าวว่า

“หากมิใช่เร่งทำปืนไฟ วันนี้คงได้ตัดหัวเฉียวต้าไปแล้ว แต่ช่างโรงตีเหล็กล้วนเป็นคนบ้านเดียวกับเขาหรือไม่ก็ศิษย์ที่ติดตามเขามา เหล็กและถ่านหินกับของอื่นๆ ก็ล้วนเป็นเขาติดต่อหาซื้อมา สังหารเขาทิ้ง เกรงว่าโรงตีเหล็กก็คงได้ปิดลงทันที เรื่องเร่งด่วน ก็ถือว่าเป็นแรงผลักดันละกัน!”

ที่แท้พวกพลทหารแห่งกองกำลังพิทักษ์ที่เทียนจินนี่ก็มีประโยชน์อยู่บ้าง พวกเขาเป็นคนในพื้นที่ เรื่องซุบซิบในครอบครัวก็ยากที่จะพ้นหูพ้นตาพวกเขาไปได้

เรื่องเฉียวต้ารับภรรยาน้อยก็เป็นพวกเขาสืบมาได้ พอข่าวไปถึงหังต้าเฉียว นายกองพันหังก็รู้ทันทีว่าเป็นโอกาสแสดงฝีมือแล้ว จึงส่งคนไปสืบข่าวมา เฉียวต้าผู้นั้นกลืนกินเงินคืนไปก้อนโต และก็คิดว่าตนนั้นทำได้ไร้ช่องโหว่แล้ว พอสอบถามคนรอบข้าง สิ่งใดก็ล้วนรู้หมด

รายงานข่าวไปถึงหวังทง พอดีกับเรื่องช่างตีเหล็กต่างชาติสามคน หวังทงจึงได้ถือโอกาสกำราบสั่งสอนไปด้วย

เฉียวต้านั้นเดิมเป็นช่างตีเหล็กของกู่จื้อปิน ไม่ได้มีความสัมพันธ์ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมา ยิ่งไม่มีสัมพันธ์กันทางสายเลือด พอเห็นหวังทงมีเงิน ก็ย่อมหวั่นไหวคิดการไม่ซื่อ

หวังทงขี่ม้าออกไป ตัดสินใจแล้วว่าจะให้กู่จื้อปินและไช่หนานดูแลโรงตีเหล็ก กำลังจะเริ่มทำปืนใหญ่แล้ว เงินทองและสิ่งของเข้าออกมากมาย ไม่จับตาดูไว้ก็รู้ว่าพวกจะก่อเรื่องอะไรอีก

*******

ตอนฟ้าใกล้จะมืด เถ้าแก่ไฉฝูหลินแห่งร้านสินค้าทงไห่ก็นั่งรถม้าไปที่จวนฟานต๋า ตามธรรมเนียมต้องส่งคนไปแจ้งก่อน ไม่นานนัก พ่อบ้านก็วิ่งเหยาะๆ ออกมาต้อนรับ

นายกองตรวจการฟานต๋าเป็นขุนนางระดับสี่ ไฉฝูหลินอย่างมาก็แค่เจี้ยนเซิง[1] ตามธรรมเนียม ไฉฝูหลินจะเข้าพบก็ต้องคุกเข่าโขกศีรษะ

หากแต่ไรมาฟานต๋าที่มักเคร่งธรรมเนียมกลับไปรอรับที่ประตูชั้นสองด้วยตนเอง พอเห็นไฉฝูหลินมา ก็ประสานมือยิ้มทักทายว่า

“เถ้าแก่ไฉ ไม่เจอกันมาครึ่งเดือนกระมัง!”

“ครึ่งเดือนได้ วันนี้ตอนบ่ายเพิ่งถึงบ้านก็มาเยี่ยมคารวะใต้เท้าเลย”

บทสนทนาสองฝ่ายไม่แสดงสถานะที่แตกต่างกันแต่อย่างใด ล้วนเป็นท่าทีของผู้ที่สถานะเสมอกัน พอเข้าไปในห้องนั่งลง เถ้าแก่ไฉก็ควักผ้าเช็ดหน้าออกมาซับเหงื่อ ยิ้มถามว่า

“สามวันก่อนสินค้าจากเมืองหยางโจวส่งมาที่จวนใต้เท้าแล้วกระมัง เป็นที่พอใจหรือไม่?”

ปกติฟานต๋ามักแสร้งทำตัวสงบนิ่ง แต่พออยู่ต่อหน้าไฉฝูหลินก็กลับไม่รักษาท่าที ได้ยินคำถามก็ยกถ้วยชาขึ้นยิ้มกล่าวว่า

“สาวงามเจียงหนานไม่ธรรมดาจริงๆ อรชรอ้อนแอ้น รสชาติพิเศษยิ่ง!”

“ใต้เท้าชอบก็ดี หญิงสาวจากเจียงหนานสองสามนางนี้จัดว่าเป็นสินค้าอันดับต้นเลยทีเดียว มาครั้งนี้ก็เพราะได้ยินข่าวมา ต้องมาเล่าให้ใต้เท้าฟัง”

กล่าวสัพเพเหระไปไม่กี่ประโยค ไฉฝูหลินก็วกเข้าประเด็น ฟานต๋าวางถ้วยชาลง เขยิบเข้าไปนั่งใกล้ๆ

“หวังทงผู้นั้นหลายวันนี้กำลังคิดจะหลอมปืนใหญ่ ไปขอคนและของจากทางเหล่าหลู เหล่าหลูทางนั้นรับมือไม่ไหว ก็เลยให้ผีฝรั่งที่วันๆ ไม่รู้จักสำรวมไปสามคน ตอนนี้โรงตีเหล็กเขาย้ายออกไปนอกเมืองแล้ว ทุกวันติดเตาหลอม ยังรับแรงงานเพิ่ม ฮาๆ อย่างไรก็แค่เด็กน้อยที่ยังไม่โตเป็นผู้ใหญ่ สงบได้ไม่กี่วัน เริ่มหาเรื่องเล่นอีกแล้ว”

ได้ยินดังนี้ ฟานต๋าก็แค่นเสียงเย็น กล่าวอย่างไม่พอใจว่า

“คนชั้นต่ำ นอกจากทำเรื่องประหลาดพวกนี้แล้ว ยังจะรู้จักทำอะไรอีก ก็คงได้แต่สิ้นเปลืองเงินทองไปก็เท่านั้น”

“การหลอมปืนใหญ่ล้วนเป็นช่างของกรมโยธาและสำนักเครื่องใช่ส่วนพระองค์หลอมกัน เขาจะหลอมอะไรออกมาได้ แต่มีเรื่องให้ยุ่งก็ดี จะได้ไม่ต้องวิ่งวุ่นสืบข่าว”

ฟานต๋าพยักหน้าเงียบๆ ยกถ้วยชาขึ้นเป่า กล่าวเสียงเบาว่า

“เรือสำเภา 730 ลำ เสบียง 5.8 แสนสือ พรุ่งนี้ข้าส่งคนไปตรวจ เศษๆ ก็คงต่างไม่เท่าไร”

หลินฝูไฉได้ยินดังนี้ สีหน้าก็เผยรอยยิ้ม ลุกขึ้นยืนประสานมือคำนับอย่างเป็นการเป็นงานกล่าวว่า

“ลำบากใต้เท้าแล้ว”

ฟานต๋าดื่มชาไปอึกหนึ่ง ก่อนจะกล่าวอย่างเป็นห่วงว่า

“องครักษ์เสื้อแพรนั่นอย่างไรข้าก็ไม่วางใจ ยังไงก็ส่งคนไปจับตาดูไว้ให้ดีจะดีกว่า หวังทงอาศัยอำนาจบารมีจากเมืองหลวงคุมกะลา อย่าได้ก่อเรื่องอะไรขึ้นอีกเลย!”

“ขอใต้เท้าโปรดวางใจ ทุกสิ่งที่หวังทงทำล้วนมีคนคอยจับตาดูอยู่ สองชั่วยามกลับมารายงานครั้งหนึ่ง”

********

ฟ้าค่อยๆ มืดลง ประตูเมืองปิดลง สองริมฝั่งคลองส่งน้ำเงียบสงบลง โถงกลางโรงเตี๊ยมเงินไหลมาคราคร่ำไปด้วยบรรดาพ่อค้าจากที่ต่างๆ และผู้ที่เดินทางผ่านมา หวังทงกับลูกน้องนั่งอยู่ในมุมที่ไม่เป็นที่สังเกตนัก

“นายท่าน มีคนสองสามคนคอยจับตาดูพวกเราอยู่ตลอดเวลา…”

ถานปิงอยู่ๆ ก็เอ่ยขึ้นเบาๆ

…………….

[1] เจี้ยนเซิง เป็นคำเรียกย่อของ นักเรียนจากสำนักศึกษากั๋วจื่อเจี้ยน เป็นสำนักศึกษาระดับสูงในสมัยราชวงศ์หมิง คำเรียกขานนี้อาจได้มาด้วยการบริจาคเงินทองเช่นกัน

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version