ตอนที่ 250 ลูกศิษย์ฝึกงานที่มาจากฟะรังคี
หวังทงมองเห็นฝรั่งสวมชุดคลุมอยู่บ้านเดินเข้ามา ความรู้สึกประหลาดบางอย่างทำให้เขาต้องมองตาค้าง ตามมาด้วยกุมท้องหัวเราะดังลั่น
อากาศแม้ว่าอบอุ่นมากแล้ว แต่ฝรั่งพวกนี้เดินเท้าเปล่าเช่นนี้ ยามลมพัดมา ชายเสื้อเปิดออกก็มองเห็นเท้าขาวจั๊วะพร้อมขนมากมายโผล่ออกมา ภาพนี้สำหรับหวังทงแล้ว จะว่าน่าตลกเพียงใดก็น่าตลกเพียงนั้น
แต่ในสายตาคนอื่นๆ กลับไม่เห็นเช่นนี้ บรรดาชายรับใช้และสาวใช้ที่รับใช้ในจวนข้างหอกลองนี้ล้วนเป็นคนของฟานต๋าและว่านเต้า คนเหล่านี้ผ่านโลกมาไม่นับว่ามาก ชายรับใช้คนหนึ่งถือกะละมังเดินผ่านมาพอดี พอเห็นต่างชาติสามคนนี้ก็พากันอึ้งไปก่อนจะอุทานกรีดร้องดัง ปล่อยกะละมังร่วงลงพื้น
หวังทงหันหน้าไปมอง สีหน้าชายรับใช้ผู้นั้นตกใจจนซีดเผือด ถอยหลังไปสองก้าวก่อนจะล้มลงกับพื้น นี่ยังวุ่นวายไม่พอ ยังมีเสียงหวีดร้องดังขึ้นอีกสองเสียง ตามมาด้วยเสียงร้องไห้ดังลั่น ที่แท้เป็นสาวใช้สองคนของนางหม่าร้องอย่างตกใจ
ยามนี้ไม่ใช่ว่าน่าขำขนาดไหน แต่เรียกว่าน่าขำขั้นสุด กองกำลังพิทักษ์ประจำเทียนจินแม้ว่าเป็นเมืองท่า แต่ต่างชาติที่มาล้วนเป็นชาวเกาหลี และการติดต่อไปหาหาสู่กับชาวเกาหลีก็ใช่ว่าบ่อยนัก
ท่าเรือเปิดตลาดการค้าล้วนอยู่ที่เจ้อเจียงและฮกเกี้ยน ชาวฝรั่งต่างชาติก็ขึ้นท่าอย่างไม่รู้เรื่องกันที่เมืองกวางตุ้งและมาเก๊าแถบนั้น
ชาวฝรั่งตะวันตกน้อยมากที่จะมาถึงตอนเหนือ พวกที่มาถึงตอนเหนือได้ส่วนใหญ่ก็เป็นพวกเผยแผ่ศาสนา คนพวกนี้ส่วนใหญ่มักจะคลุกคลีกับคนมีความรู้ หากมิใช่ว่าไปทำกิจกรรมกับพวกชนชั้นสูง ชาวบ้านทั่วไปก็ยากจะได้พบได้เห็น
กองกำลังพิทักษ์ประจำเทียนจินยิ่งเป็นเมืองที่ตั้งกองกำลัง แม้ว่ารุ่งเรืองแต่ก็มิใช่ศูนย์กลางการค้าสำคัญ ย่อมไม่เคยพบเห็นชาวฝรั่งตะวันตกกัน ฝรั่งที่จมูกโด่ง เบ้าตาลึก นัยน์ตาสีฟ้าในสายตาชาวบ้านทั่วไปจึงไม่ต่างอะไรกับผีร้ายประหลาด
อย่าว่าแต่คนรับใช้พวกนี้เลย แม้แต่หลี่หู่โถวที่พอเห็นก็หันวิ่งกลับไปยังโถงกลางทั้นที หวังทงยังรู้สึกขบขันไม่รู้จะทำอย่างไร เจ้าเด็กน้อยที่แต่ไรก็ใจกล้า วันนี้กลับขี้ขลาดเช่นนี้ไปได้
คิดไม่ถึงว่าผ่านไปไม่นานก็วิ่งกลับมา ในมือมีทวนยาวราวเจ็ดเชียะมาด้วย กระโดดเข้ามาในลานบ้าน ตะโกนดังอย่างดุร้ายว่า
“หยุดนะ!!”
ในเวลาสั้นๆ พวกหม่าซานเปียวยังตกใจอยู่ ก็ชักดาบกันกรูออกมา ฝรั่งสามคนนั้นตกใจไม่น้อยไปกว่าคนของหวังทง เห็นอีกฝ่ายถืออาวุธกรูเข้ามา ก็ตกใจจนขวัญหนีดีฝ่อ พากันคุกเข่าลงกับพื้น โขกศีรษะติดๆ กันกล่าวว่า
“ใต้เท้า ใต้เท้า ข้าน้อยเป็นคนดี ข้าน้อยเป็นคนดีนะขอรับ!”
ภาษาจีนชัดเจน แต่ยังคงมีสำเนียงแถบเมืองเหอเจียน หวังทงแทบกลั้นยิ้มไม่อยู่ แต่ต่อหน้าคนจำนวนมากเช่นนี้ไม่อาจเสียกิริยา ใบหน้ากลั้นจนแดงก่ำ ยากที่จะอดกลั้นไว้จริงๆ
“ยุคสมัยนี้ พวกฝรั่งมือเท้าช่างอ่อนเสียจริง!”
หวังทงเอ่ยออกมาสองสามประโยคที่คนฟังไม่เข้าใจ ก้าวเท้าลงจากเวที ตอนนั้นเอง ไช่หนานก็วิ่งกระหืดกระหอบเข้ามา พอเห็นฝรั่งสามคนคุกเข่าอยู่ที่พื้น เห็นท่าทางคนในที่นั้นล้วนมองราวกับเป็นศัตรู ก็รู้สึกตกใจ เดิมก็คิดว่าปฏิบัติงานพลาดแล้ว คิดไม่ถึงว่ากลับถึงยังมาสร้างความวุ่นวายเช่นนี้อีก
ไช่หนานรีบเข้าไปบอกว่า
“ใต้เท้าหวัง สำนักอาวุธปืนไฟแต่ละแห่งมีรายการสั่งผลิตมากมายๆ แบ่งคนมาให้ไม่ได้ บอกว่าจะหาช่างตีเหล็กที่ชำนาญงานมาให้สามคน ให้พวกเราไปเลือกเอา คิดไม่ถึงว่าจะมอบผีฝรั่งลอกคราบสามคนนี้มาให้ นี่มัน…ข้าน้อยก็เลยได้แต่พากลับมา ขากลับไปร้านเสื้อผ้าเลือกซื้อชุดคลุมอยู่บ้านเก่าๆ สองสามชุดมาให้ใส่ นี่ยังต้องทิ้งทองก้อนของข้าน้อยเป็นประกันไปก้อนหนึ่งด้วย เมื่อครู่กำลังไปจัดหาที่พักให้ จึงทำให้ใต้เท้าต้องตกใจเช่นนี้…”
ไช่หนานลนลานไม่รู้ทำเช่นไร หวังทงยิ้มยกมือขึ้นโบกไปมา เอ่ยว่า
“ข้าเคยตามบิดาไปแถบกวางตุ้งมาเก๊ามาเมื่อสามปีก่อน ที่นั่นไม่รู้ว่าได้พบเจอกับผีฝรั่งมากมายเท่าไร สามคนนี้ก็ปกติดี ไม่ได้ทำให้ข้าตกใจ พวกเจ้าเอาของไปเก็บ ท่าทางตกใจเหมือนไม่เคยเห็นนี่มันใช้ได้ที่ไหนกัน ไปจัดหาเสื้อผ้ามาให้พวกเขาสามคนเดี๋ยวนี้!”
เห็นฝรั่งสามคนท่าทางขลาดกลัวคุกเข่าโขกศีรษะกับพื้นเช่นนี้ บรรดาลูกน้องหวังทงก็ค่อยๆ สงบลง แต่ละคนหันไปทำงานของตนต่อ
สำหรับหวังทงแล้ว โลกก่อนนั้นได้พบชาวผิวขาวที่วางท่าสูงส่งเหนือผู้อื่นมาก่อน ชาวผิวขาวในสมัยนี้พบเห็นได้น้อยมาก พอบังเอิญมาพบพวกเผยแผ่ศาสนาไม่กี่คนนี่ ก็ล้วนวางท่าทางต่ำกว่าผู้อื่น ทำให้หวังทงรู้สึกแปลกใจอยู่บ้าง
ฝรั่งสามคนไม่ได้รับอนุญาตให้ยืนขึ้น ยังคงคุกเข่าอยู่กับที่อย่างนอบน้อม หวังทงเดินเข้าไปเบื้องหน้า เอ่ยถามเสียงเรียบว่า
“พวกเจ้าชื่ออะไรกัน ไม่ต้องพูดชื่อฝรั่ง พูดชื่อที่ตอนอยู่แผ่นดินหมิง คนทั่วไปเรียกพวกเจ้าว่าอะไร?”
“เรียนใต้เท้า ข้าน้อยชื่อข่าลั่วซือ” “…ข้าน้อยชื่ออาไซ่หลัว….” “…เป้ยอัน…”
“พวกเจ้าเป็นคนที่ไหน?”
“พวกข้าน้อยเป็นชาวฟะรังคี ก็คือพวกที่อาศัยอยู่ที่ชาวหมิงเรียกว่าต้าหลี่ว์ซ่ง”
หลี่ว์ซ่งที่อยู่มหาสมุทรตอนใต้ (ประเทศฟิลิปปินส์ในปัจจุบัน) ปัจจุบันที่นั่นป็นอาณานิคมของชาวยุโรป บรรดานักแผนที่ยังคงไม่ชัดเจนในแผนที่โลกจึงคิดว่า ในเมื่อหลี่ว์ซ่งถูกครอบครองไปแล้ว เช่นนี้ประเทศคุมอาณานิคมนี้ก็เพิ่มคำว่า ต้า มาเรียกขาน ดังนั้นจึงใช้ชื่อว่า ต้าหลี่ว์ซ่ง
คำว่าฟะรังคีในราชวงศ์หมิงนี้ใช้เรียกสองประเทศ ก็คือประเทศสเปนและโปรตุเกสในปัจจุบัน แต่หลี่ว์ซ่งกลับเป็นอาณานิคมของประเทศสเปน
คำตอบของข่าลั่วซือเช่นนี้ หวังทงที่มีความรู้เดิมกับความรู้ในยุคนี้ต่างกันก็เรียกสติคืนมาอย่างเร็ว บ่นพึมพัมขึ้นว่า
“ที่แท้เป็นสเปน…”
เสียงไม่ดังนัก แต่ฝรั่งสามคนกลับเงยหน้าขึ้นมองอย่างตื่นตะลึง การออกเสียงของหวังทงใกล้เคียงกับชื่อจริง น่าจะเป็นเพียงคนเดียวและคนแรกที่พวกเขาได้เคยพบมาบนแผ่นดินราชวงศ์หมิงนี้
“เมื่อก่อนพวกเจ้าทำอะไรกันมา ทำไมจึงมาราชวงศ์หมิง และมาถึงกองกำลังพิทักษ์เทียนจินนี้ได้อย่างไร และไปทำงานที่สำนักอาวุธปืนไฟของทางการได้อย่างไร?”
หวังทงถามรวดเดียวติดต่อกัน ตามความรู้ประวัติศาสตร์อันแสนเลือนลาง เทคโนโลยีการผลิตอาวุธปืนไฟในยุโรปได้เริ่มนำหน้าราชวงศ์หมิงไปมากแล้ว ประเทศสเปนเป็นประเทศใหญ่ฝั่งยุโรปที่ติดทะเล มาตรฐานการผลิตอาวุธปืนไฟก็ย่อมก้าวล้ำนำสมัย สามคนนี้มาจากที่นั่น ก็ย่อมเป็นขนมเปี๊ยะที่ฟ้าโปรยประทานลงมาให้แท้ๆ
แต่ในสมัยนี้ ตะวันออกตะวันตกห่างกันหลายหมื่นลี้ ข่าวสารระหว่างกันก็ยังสื่อสารถึงกันไม่เร็วนัก พวกที่ชอบแต่งเรื่องลวงก็ไม่น้อย ย่อมต้องถามให้กระจ่าง
“เรียนใต้เท้า พวกข้าน้อยเป็นคนตอนเหนือของประเทศฟะรังคี เป็นศิษย์เรียนรู้งานในโรงตีอาวุธ เพื่อหนีเกณฑ์ทหารจึงได้ลงเรือมาเป็นคนงาน เดินทางมาถึงราชวงศ์หมิง…”
กล่าวถึงตรงนี้ หนวดเคราเต็มหน้าของข่าลั่วซือก็ปลิวไปมา คุกเข่าอยู่กับพื้นกล่าวต่อว่า
“พวกข้าน้อยไม่เคยเห็นประเทศที่มีอารยธรรมและร่ำรวยเช่นนี้มาก่อน เทียบกับประเทศฟะรังคีแล้ว ที่นี่เหมือนสวรรค์ พวกข้าน้อยเลยปักหลักที่นี่ หวังจะใช้ชีวิตที่นี่ เป็นประชาชนคนหนึ่งของประเทศอารยธรรมนี้ แต่นอกจากมาเก๊าและงานบนเรือแล้ว ข้าน้อยหางานอื่นทำไม่ได้ หลูกงกงแห่งสำนักอาวุธปืนไฟตอนนั้นมาปฏิบัติหน้าที่ที่กวางตุ้ง ติดประกาศหาช่างที่รู้งานผลิตอาวุธปืนไฟ พวกข้าน้อยได้ยินคนบอกว่า ตอนเหนือของราชวงศ์หมิงเป็นเมืองที่รุ่งเรืองมาก ก็เลยสนใจเข้าไปดึงประกาศมาสมัคร”
หวังทงได้ยินดังนี้ก็หันไปเรียกหาหม่าซานเปียว สั่งเบาๆ ไปสองสามคำ หม่าซานเปียวพยักหน้ารีบออกไป ไม่นานก็ได้ยินเสียงฝีเท้าม้าดังขึ้น คนจากไปไกลแล้ว
“หลูกงกงตอนนั้นก็เป็นผู้คุมงานผลิตอาวุธที่นี่ หากไม่ใช่ข้าน้อยสามคนแล้ว เขาเองไหนเลยจะได้รับบำเหน็จรางวัลจากฮ่องเต้และคณะเสนาบดีใหญ่มากมายเพียงนั้น แต่เจ้าคนใจแคบนี่ หลายปีไม่เคยขึ้นเงินเดือนให้พวกข้าน้อยสักแดงเดียว เขาเองก็แอบโกงวัสดุและลักลอบซื้อขายปืนไฟได้เงินมาตั้งมากมายไม่รู้เท่าไร ดังนั้นพวกข้าน้อยจึงได้ยุให้คนงานหยุดงานประท้วง เขากลับลอกคราบพวกข้าน้อยแล้วขับไล่ออกมา พวกข้าน้อยยังมีเงินอีกหลายร้อยตำลึงเก็บอยู่ที่นั่นด้วย”
“พวกเจ้าทำปืนไฟเป็นงั้นหรือ?”
ก็เหมือนกับพวกคนในประเทศที่ออกไปต่างประเทศในโลกก่อนหน้า มักจะชมว่าต่างประเทศดีอย่างนั้นอย่างนี้ ฝรั่งในสมัยนี้ที่เคยมาถึงราชวงศ์หมิง ไม่มีผู้ใดจะไม่ชมเชยว่าแผ่นดินประเทศตะวันออกมีอารยธรรมและร่ำรวยอย่างไร ในบันทึกของบรรดานักเผยแผ่ศาสนาและพ่อค้าก็ล้วนใช้วาจาดีที่สุดในการชื่นชม ทว่าพอถึงสมัยราชวงศ์ชิง คำชมเชยเหล่านี้กลับแปรเปลี่ยนเป็นคำด่า ล้วนดูถูกเหยียดหยามว่าล้าหลัง สกปรก ไร้อารยธรรม
ได้ยินฝรั่งสามคนนี้กล่าวมา ไม่มีจุดน่าสงสัยอะไร ที่มาของพวกเขาก็เหมือนไม่ได้ต้องสร้างเรื่องโกหกอะไรขึ้นมา หวังทงจึงได้ถามประเด็นสำคัญทันที
“…พวกข้าน้อยทำเป็น!”
หวังทงจับสังเกตเห็นความลังเลในการตอบของอีกฝ่ายเล็กน้อย น้ำเสียงจึงอดดุเดือดขึ้นไม่ได้
“อย่าใช้วาจาลวงมาหลอกข้า ข้าเคยทำงานที่โรงตีเหล็กฟะรังคีที่มาเก๊ามา พวกเจ้าหลอกข้าได้ตอนนี้ รอให้ทำปืนที่ต้องการออกมาไม่ได้ หลูกงกงให้เจ้าไร้เสื้อผ้า ข้าจะให้พวกเจ้าไร้ศีรษะ!”
ขุนนางราชวงศ์หมิง อายุน้อยเช่นหวังทงเห็นได้น้อยมาก ได้ฝึกงานที่โรงตีเหล็กฝรั่งที่มาเก๊าเกรงว่าคงมีเขาแค่คนเดียว
ได้ยินหวังทงเสียงดังเช่นนี้ ฝรั่งสามคนก็พากันส่งเสียงขึ้นพร้อมกัน ข่าลั่วซืออึ้งอ้าปากค้างกล่าวอะไรไม่ออก เป็นเป้ยอันที่เงยหน้าขึ้นอย่างกลัวๆ กล้าๆ เอ่ยว่า
“ใต้เท้า ปืนใหญ่พวกข้าน้อยทำเป็น ปืนไฟเร็วกับปืนไฟสามหัวก็ทำเป็น…”
“ปืนสลักนกล่ะ!?”
ปืนไฟเร็วและปืนไฟสามหัวก็เหมือนกับประทัดบรรจุในท่อเหล็ก ปืนสลักนกเป็นปืนที่เลียนแบบปืนเชือกดึงแบบฝรั่งตะวันตก ชิ้นส่วนค่อนข้างยุ่งยาก ผู้ที่สามารถในเทคนิคนี้ได้ก็จะเป็นช่างที่เก่งมาก
ต่อหน้าหวังทงที่รู้เรื่องปืนเช่นนี้ ฝรั่งสามคนก็เริ่มเครียด พากันเหงื่อตก การบีบคั้นถามเช่นนี้ทำให้พวกเขาแต่งเรื่องหลอกไม่ทัน ความเชี่ยวชาญหวังทงทำให้พวกเขาไม่กล้าแต่งเรื่องหลอก เป้ยอันรีบตอบว่า
“พวกข้าน้อยไม่กล้าบอกว่าทำเป็น แต่หากให้ตัวอย่างมา พวกข้าน้อยสามารถทำเลียนแบบได้!”
หวังทงจ้องมองพวกเขาครู่หนึ่ง จ้องจนพวกเขาสามคนหมอบติดกับพื้นไม่กล้าเงยหน้า หวังทงกล่าวน้ำเสียงเย็นเยียบว่า
“ข้าเองก็มีโรงตีเหล็ก ก็จะทำปืนไฟเหมือนกัน เงินเดือนค่าตอบแทนทุกอย่างคุยกันได้ ย่อมดีกว่าที่เป็นคนของหลูกงกงเป็นแน่ แต่มีธรรมเนียมบางอย่างต้องบอกไว้ก่อน หากทำงานชั้นเลวออกมา ตัดหัว หากยุให้คนงานหยุดงาน ตัดหัว หากวาจาในวันนี้ถูกตรวจพบว่าเป็นเท็จ ตัดหัว”
บทลงโทษมีเพียงสถานเดียว ‘ตัดหัว’ ทั้งสามคนได้ยินก็พากันหลั่งเหงื่อเย็น นอกจากโขกศีรษะติดต่อกันแล้ว ก็พูดอะไรไม่ออกอีก
“เปลี่ยนเสื้อผ้าซะ แล้วกลับมาคุกเข่าที่นี่ต่อ วาจาพวกเจ้าเมื่อครู่ รอสักครู่จะมีคนมาตรวจสอบความจริง!”
กล่าวจบ หวังทงก็หันหน้าเดินเข้าห้องไป ฝรั่งทั้งสามคนได้แต่คุกเข่าสงบเสงี่ยมอยู่ตรงนั้น ไม่กล้าขยับไปไหน