Skip to content

องครักษ์เสื้อแพร 249

ตอนที่ 249 ปืนไฟที่ต้องการ ดังมัจฉาดิ่งลงวารี ยากจับ

“กงกงที่ดูแลสำนักอาวุธปืนไฟ หากลองคิดดูก็แค่ระดับเจ้าพนักงานเลือกซื้อสุราและซอสเปรี้ยวนอกวังเท่านั้นกระมัง!”

ที่ค่ายฝึกใหม่ เรือนพักที่สร้างขึ้นจากไม้ที่พอใช้ได้ ไว้ให้หวังทงได้พักอาศัยจัดการงานชั่วคราว

หลังการสอบและมอบรางวัลการฝึกเสร็จ หวังทงกับไช่หนานก็มาที่นี่ อากาศในเดือนห้าเริ่มอบอุ่นแล้ว หน้าต่างเรือนไม้เปิดกว้างทุกบาน พัดม่านแพรบางปลิวไปมา

พัดเอากลิ่นอายทะเลเข้ามาในห้อง ทำให้รู้สึกสบายยิ่ง กองกำลังเทียนจินตอนนี้ห่างจากทะเลไม่ไกล ยืนอยู่ทางประตูตะวันออกก็ย่อมมองเห็นทะเลได้

หวังทงนั่งอยู่บนเก้าอี้ด้วยท่วงท่าสบายๆ ยิ้มถามไช่หนานที่ดูสับสนวุ่นวายใจ ตอนนี้ไม่มีเก้าอี้สำหรับไช่หนาน เขายืนก้มตัวหยักหน้าตอบว่า

“หลูกงกงเป็นคนเก่าคนแก่ สมัยฮ่องเต้ซื่อจงก็มีหน้าที่ผลิตอาวุธปืน ปฏิบัติงานที่กรมโยธา สิบกระบอกมีแปดกระบอกใช้การไม่ได้ ทหารเหนือใต้ต่างไม่อยากได้ วันเวลาเช่นนั้น กรมทหารยังไปหาเรื่องที่กรมโยธาทุกวัน หกปีก่อนสำนักอาชาหลวง สำนักเครื่องใช้ส่วนพระองค์กับกรมโยธาจึงได้ตั้งสำนักอาวุธปืนไฟหลายแห่งในเขตปกครองเหนือขึ้น ที่อื่นๆ ก็ทำได้ไม่แตกต่าง แต่ที่เทียนจินภายใต้การดูแลของหลูกงกงกลับทำออกมาได้ดีถึงสี่ส่วน นับว่าเป็นผลงานอันดับหนึ่ง ทำให้เฝิงกงกงได้หน้าได้ตาไปมาก มิเช่นนั้นผู้ที่จัดการตนเองเข้าวังในวัยกลางคน ไหนเลยจะได้มาทำงานเช่นนี้ จะมีวันนี้ได้อย่างไร”

นี่ก็เหมือนกับการที่บัณฑิตระดับจวี่เหรินส่วนใหญ่ที่ไม่อาจเป็นถึงผู้ว่ามณฑลได้นั่นเอง หากไม่ใช่ขันทีที่เติบโตมาจากสำนักศึกษา ชาตินี้ก็ไม่อาจขึ้นตำแหน่งบริหารดูแลอะไรได้

แต่หลูกงกงดูแล้วเหมือนได้รับความโปรดปราน ทำให้ไม่ยอมลงให้ผู้ใด สำหรับไช่หนานที่เพิ่งมาใหม่และเจอกับตอเช่นนี้ คนที่เมื่อก่อนไม่เคยได้สานสัมพันธ์อะไรนัก ก็ย่อมไม่ไว้หน้ากัน

หวังทงได้ยินเช่นนี้ก็โบกมือกล่าวว่า

“เจ้านั่งลงดื่มชาก่อน ค่อยคิดวางแผน!”

ไช่หนานกลับไม่กล้านั่ง งานทำจนเป็นเช่นนี้ก็รู้สึกเสียหน้า ในใจรู้สึกแปลกใจ ใต้เท้าน้อยผู้นี้ปกติทำงานไม่อ้อมค้อมไปมาให้เสียเวลา ไยจึงมานั่งทำงานอยู่ในเรือนไม้ปลูกสร้างธรรมดาสามัญด้วยท่าทางไม่ร้อนใจเช่นนี้

น่าจะผ่านไปราวครึ่งชั่วยาม ไช่หนานก็รู้สึกทนต่อไปไม่ไหว เสียงฝีเท้าม้านอกเรือนหยุดลง ด้านนอกมีเสียงคนรายงานดังเข้ามาว่า

“ใต้เท้า นำเฉียวต้ามาแล้วขอรับ”

หวังทงเอ่ยอนุญาต ชายฉกรรจ์มือไม้หยาบกร้านอายุราว 40 กว่าก็เข้ามา พอเข้ามาก็คุกเข่าคำนับ เป็นหัวหน้าเฉียวต้าแห่งโรงตีเหล็กของหวังทงนั่นเอง

“เรื่องที่ให้เจ้าไปถามนั้นได้ความว่าอย่างไร?”

“เรียนใต้เท้า ตอนนี้คนงานโรงตีเหล็กเราล้วนบอกว่าทำไม่ได้ สองวันนี้ข้าน้อยกับพวกเขาก็ออกไปสอบถามที่ต่างๆ ช่างที่สามารถทำสิ่งนี้ได้ตอนนี้ทั้งหมดล้วนกินเบี้ยหวัดอยู่ที่สำนักอาวุธปืนไฟ มีชีวิตที่สุขสบาย ไม่อยากออกมาทำงานข้างนอกกัน”

หวังทงพยักหน้า หันไปทางไช่หนานกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า

“ดูแล้วอาศัยแต่พวกเราคงไม่สำเร็จ อีกเดี๋ยวเจ้าตามข้ากลับไปเอาเทียบไปด้วย เฉียวต้าเจ้ากลับไปก่อน สอบถามเรื่องนี้ต่อไป”

รอจนทุกคนออกไปหมด ถานเจียงกับจางซื่อเฉียงและคนสนิทคนอื่นๆ ก็เข้ามา ถานเจียงลังเลกล่าวว่า

“นายท่าน นายกองพันองครักษ์เสื้อแพรมีคนในสังกัดแค่พันคน อาวุธก็มีเพียงดาบ เพราะประสิทธิภาพของกองกำลังองครักษ์เสื้อแพรก็เพื่อคุมสถานการณ์พื้นที่และตรวจสอบทางการ ตอนนี้นายท่านไปสอบถามเรื่องปืนไฟที่สำนักอาวุธปืนไฟเช่นนี้ หากมีคนจับตาอยู่ เกรงว่าจะเป็นความผิดฐานล่วงละเมิดข้อห้ามนะขอรับ!”

หม่าซานเปียวยืนถูดาบอยู่ตรงนั้น ไม่สนใจสิ่งที่กำลังหารือกันอยู่แม้แต่น้อย จางซื่อเฉียงกลับมีสีหน้าตกใจ หลี่หู่โถวเบิกตากว้าง สีหน้าเหมือนไม่อยากจะเชื่อ

หวังทงกล่าวเสียงเรียบว่า

“พวกนักเลงไม่ได้เรื่องในและนอกเมืองเทียนจิน รับมือพวกเขายังต้องใช้ปืนใหญ่หรือ กองกำลังทหารในค่ายใหม่เราตอนนี้ก็ไม่กลัวพวกนั้นแล้ว หากปืนใหญ่ยังมีประโยชน์ในเรื่องอื่น ไม่มีอาวุธร้ายกาจ อะไรก็ทำไม่ได้!”

ได้ยินหวังทงกล่าวหนักแน่นเช่นนี้ คนอื่นๆ ก็ไม่กล้าตักเตือนต่อ แต่สีหน้ายังคงมีความสงสัย หวังทงนิ่งเงียบตกอยู่ภวังค์ความคิด

การฝึกบนสนามฝึกเริ่มอีกครั้ง เสียงคำสั่งดังเข้ามาในห้อง หม่าซานเปียวและหลี่หู่โถวต่างก็นั่งไม่ติด สบตากัน กำลังคิดจะออกไป หวังทงกลับสั่งขึ้นว่า

“ให้สองสามคนไปคอยบนหัวถนน พอสารจากเมืองหลวงมาถึง ก็รีบนำมาให้ถึงมือข้าในทันที”

********

กองกำลังพิทักษ์ประจำเทียนจินเป็นพื้นที่เปลี่ยนถ่ายสินค้าทางน้ำไปยังเมืองหลวง ตั้งแต่รัชสมัยหงจื้อเป็นต้นมา จากเมืองเทียนจินไปเมืองจี้โจว จากนั้นค่อยขึ้นไปตามเส้นทางแม่น้ำของแถบปกครองตอนเหนือ

ราชสำนักตั้งสำนักอาวุธปืนไฟที่นี่ก็เพราะคิดถึงการขนส่งที่สะดวก นำเข้าทั้งเหล็กและถ่านหินก็สะดวก อาวุธที่ผลิตออกมาได้ก็นำส่งไปยังเมืองจี้โจว เมืองหลวง เมืองเซวียนฝู่ และอาจไปถึงเมืองเหลียวโจว ก็ล้วนไปตามเส้นทางน้ำและทางทะเลได้

เช่นกัน ค่าใช้จ่ายในเรื่องปืนไฟ เหล็ก ถ่านหินและอื่นๆ ที่ทางการต้องสนับสนุนให้แก่พื้นที่ทางเหนือในเมืองต่างๆ ค่าจ้างแรงงาน ค่าขนส่งทางเรือ ค่าใช้จ่ายจำนวนมากเหล่านี้ ทุกปีราชสำนักต้องจ่ายก้อนโต ทำให้งานดูแลสำนักอาวุธปืนไฟเทียนจินนี้เป็นงานที่มีรายได้ก้อนโตอวบอ้วนยิ่ง

ฟ้าสูง ฮ่องเต้อยู่ไกล ไร้คนควบคุม เงินทองสิ่งของปริมาณมากเช่นนี้ก็ย่อมมีค่าน้ำร้อนน้ำชามาก หากได้ดำรงตำแหน่งนี้ก็ย่อมมีกินมีใช้ไม่หมดไปชั่วชีวิต เงินทองมากมายมหาศาล

หลูกงกงทำงานต่างจากขันทีคนอื่นๆ ที่เอาแต่หน้าด้านตักตวงเงินทอง และอาวุธที่สำนักเขาผลิตออกมานั้นก็ใช้ได้ถึงห้าส่วน

แม้ว่าใช้ได้แค่ห้าส่วน แต่ก็ได้รับการชมเชยอย่างมากจากกองกำลังเมืองต่างๆ และค่ายแต่ละแห่ง เพราะอาวุธปืนที่กรมโยธาผลิตออกมากลับใช้ไม่ได้แม้แต่ส่วนเดียว สำนักอาวุธปืนไฟในความดูแลของขันทีคนอื่นๆ อย่างมากก็ใช้ได้แค่สามส่วน

แม้หลูกงกงร่ำเรียนหนังสือมาน้อย แต่การแบ่งเงินตามน้ำก็เป็นเองโดยไม่ต้องมีผู้ใดสอน เข้าใจกระจ่างแจ้งอย่างมาก เงินทองที่ต้องนำส่งมอบให้กับมหาขันทีใหญ่แต่ละคนในวัง แต่ไรมาก็ไม่เคยขาดตกบกพร่อง กลับมากกว่าปกติถึงหนึ่งเท่า ไปๆ มาๆ ตำแหน่งของหลูกงกงในสำนักอาวุธปืนไปเทียนจินก็มั่นคงยาวนาน กลายเป็นบุคคลที่พูดแล้วไม่มีผู้ใดกล้าขัด

พูดจาไม่มีผู้ใดกล้าขัดก็ใช่ว่าจะราบรื่นดังใจทุกเรื่อง อากาศดีเช่นวันนี้ หลูกงกงกำลังโมโหใหญ่อยู่ในที่ทำการของตน สูงส่งในตำแหน่งนี้มานาน แต่หลูกงกงก็ไม่ได้ผิวขาวใสละเอียดเหมือนบรรดาขันทีในวัง หากกลับดำคล้ำแบบชายฉกรรจ์ หากไม่ใช่ว่าไม่สีหนวดเคราสักเส้น เกรงว่าผู้คนคงคิดว่าเป็นคนงานเดินเรืออยู่กลางแม่น้ำเป็นแน่

ขันทีที่รอรับใช้และคนงานในสำนักต่างก็อยู่ในสำนักอาวุธปืนไฟกัน ทุกคนยืนก้มหน้า ไม่กล้าหายใจแรงแม้แต่น้อย

“เจ้าพวกสมควรตาย เมืองเซวียนฝู่เร่ง ‘ปืนไฟสามหัว’ ห้าพันกระบอกมา ทำได้กี่กระบอก วันนี้กลับหยุดงาน หรืออยากให้สำนักอาชาหลวงมาที่นี่เอง ตัดหัวพวกเจ้าสักสองสามหัวถึงจะยอมทำกัน!”

ทุกคนก้มหน้ายิ่งต่ำลง ไม่มีผู้ใดกล้าพูดอะไร เห็นท่าทางเช่นนี้ก็รู้ว่าหลูกงกงกำลังโมโหหนัก ชี้มือไปที่คนท่าทางเหมือนซือเหยียตวาดว่า

“ฟั่นต้าจุ่ย ปกติเจ้าพูดเก่งไม่ใช่หรือ ตอนนี้ทำไมใบ้กิน เจ้าว่ามา เจ้าอธิบายให้ข้าฟัง!?”

‘ฟั่นต้าจุ่ย’ ที่ถูกตวาดเรียก เงยหน้าขึ้นเผยสีหน้าลำบากใจ มองไปยังคนรอบข้างสองสามคน เหมือนรู้สึกว่าเขามองจ้องมา ทุกคนก็พากันหดหัว ‘ฟั่นต้าจุ่ย’ คิดด่าในใจ กล่าวขึ้นเสียงอ่อยๆ ว่า

“หลูกงกง อันนี้คือว่า…ช่างผีฝรั่งสามคนของเรานั้น วันก่อนไม่ใช่มาหาท่านหรอกหรือ บอกว่าขอเพิ่มเงินเดือน…”

“ตอนรับเข้ามาแรกๆ ไม่ใช่ว่าเดือนละ 25 ตำลึงหรือไง เงินขนาดนี้แม้แต่เบี้ยหวัดรายปีของราชบัณฑิตคณะเสนาบดีใหญ่ยังน้อยกว่า พวกมันยังจะเอาอะไร…หืม ทำไมข้าไม่รู้เรื่องนี้??”

ฟั่นต้าจุ่ยกล่าวเสียงอ่อยลงอีกว่า

“วันก่อนกงกงไปดื่มกับว่านกงกง พอกลับมาก็เข้านอน พวกข้าน้อยคิดจะปรึกษาเรื่องผีฝรั่งสามคนนั้นว่าจะสามารถรั้งคืนมาได้หรือไม่ ก็….”

ขณะที่พูดอยู่นั้น อยู่ๆ ก็มีของปลิวว่อนมา หลบได้หวุดหวิด หากใบหน้าถูกแฉลบไปหน่อย เป็นพู่กันที่ถูกขว้างมา หลูกงกงตบโต๊ะเสียงดัง ตวาดด่าขึ้นว่า

“ต้องการเท่าไร!?”

“ปีละ 2,400 ตำลึง ปลายปียังต้องให้เงิน ‘อั่งเปา’ เพิ่มด้วย เงินจำนวนมากเกินไป พวกข้าน้อยก็ไม่กล้ารับปาก ใครจะไปคิดว่าพวกผีฝรั่งนั่นจะไม่รู้จักธรรมเนียม ถึงกลับนัดคนงานหยุดงาน ยังบอกอีกว่า หากไม่มีพวกเขาคอยดูแล สำนักเราก็ผลิตปืนมาตรฐานออกมาไม่ได้”

พอว่าตัวเลขมา หลูกงกงก็แทบพ่นไฟออกทางดวงตา เด้งตัวลุกขึ้นคำรามเสียงดังว่า

“2,400 ตำลึง สามคนก็ 7,200 ข้าปีหนึ่งแค่…!”

กล่าวไม่ทันจบก็หยุด เกือบจะพ่นตัวเลขรายรับปีหนึ่งของตนออกไป ทันใดก็มีคนแต่งกายเหมือนคนเฝ้าประตูคนหนึ่งวิ่งเข้ามา

คนเฝ้าประตูเห็นสภาพตึงเครียดในห้อง สีหน้าทุกคนดูสุดจะทนกล้ำกลืน ก็รีบยิ้มเดินไปเบื้องหน้าหลูกงกง กล่าวเสียงเบาๆ สองสามประโยค หลูกงกงที่กำลังหอบหายใจอยู่ก็เบิกตากว้าง ตวาดเสียงดังว่า

“ข้าไม่พบ เจ้าสมควรตายที่รนหาที่มาถึงขั้นนี้ยังมีหน้ามาขอร้องให้ข้าช่วย คนคุ้มกะลาพวกมันดึงคนเราไป 10 กว่าคนแล้วไม่ใช่หรือ ให้พวกมันทำเอง มันทำงานในวังมานานเพียงนั้น สำนักองครักษ์เสื้อแพรต้องการใช้ปืนใหญ่ที่ไหนกัน สมองพิการไปแล้วจริงๆ รีบไล่มันไป!”

สบถด่าไปสองสามประโยค คนเฝ้าประตูก็วิ่งออกไป หลูกงกงถูกเรื่องนี้เบี่ยงเบนความคิด ความโกรธหายไปบางส่วน ถามน้ำเสียงเย็นชาว่า

“คิดว่าไม่มีพวกมัน พวกเราจะจุดเตาหลอมทำงานไม่ได้หรือไร เหล่าสือ เจ้าจัดหาศิษย์หัวไวไปเรียนรู้มาพวกนั้น สองปีนี้เรียนได้อะไรมาบ้างไหม?”

คนอื่นๆ พากันยิ้มกล่าวว่า

“เรียนกงกง พวกผีฝรั่งนั่นอุบายมาก ก็ไม่รู้ว่าพวกมันซ่อนฝีมืออะไรไว้ แต่พวกมันทำได้ พวกเราก็ทำได้…”

ขณะที่พูดอยู่นั้น คนเฝ้าประตูก็วิ่งเข้ามาอีกครั้ง หลูกงกงคิ้วกระดกขึ้นกำลังจะด่า คนเฝ้าประตูก็รีบรายงานขึ้น สีหน้าหลูกงกงจากโมโหอยู่กลายเป็นตกใจ จ้องคนเฝ้าประตูพลางถามขึ้นเบาๆ ว่า

“เจ้าอ่านชัดแล้วใช่ไหม เป็นเทียบแนะนำจากจางเฉิงกงกง?”

คนเฝ้าประตูพยักหน้าหงึกอย่างแรง หลูกงกงหงายหลังพิงพนักเก้าอี้ทันที อึ้งไปครู่หนึ่งก่อนจะลุกขึ้นยืน กัดฟันถามว่า

“ฟั่นต้าจุ่ยเจ้าไปตอบหน่อยว่า รายการผลิตปืนจากราชสำนักมีมาก ทางนี้ยุ่งจนผลิตไม่ทัน ไม่อาจส่งคนไปช่วยได้ แต่ในเมื่อจางกงกงถามมาเอง ก็จะกัดฟันส่งช่างที่รู้งานให้ไปสักสามคน เดี๋ยวจะส่งคนไปให้ เจ้าออกไปถ่ายทอดคำสั่งก่อน!”

ฟั่นต้าจุ่ยออกไป หลูกงกงกล่าวเสียงเยียบเย็นว่า

“เหล่าสือตอนนี้เจ้าส่งทหารไปจับตัวผีฝรั่งจอมละโมบสามคนนั่นลอกคราบให้หมดแล้วขับไล่ออกไป จากนั้นก็บอกคนงานทุกคนของเราให้เริ่มทำงานได้ ผู้ใดไม่ยอมก็ลากออกไปลงดาบ!!”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version