ตอนที่ 275 อาศัยระเบียบธรรมเนียมอันใดเก็บค่าสงบสุข
วันที่ 5 เดือนเจ็ด ปีรัชสมัยว่านลี่ที่ 6 ขณะที่หยางซือเฉินกำลังเดินทางออกจากเมืองอยู่ ข่าวการโต้เถียงในที่ประชุมขุนนางได้แพร่มาถึงเมืองเทียนจินแล้ว
แท้จริงแล้วหลังการประชุมสองวัน กองกำลังพิทักษ์ที่เมืองเทียนจินก็รู้ข่าวแล้ว
เพราะแต่ละคนอยู่ในสถานะต่างกัน สิ่งที่เห็นจึงต่างกัน ที่จางจวีเจิ้งกับบรรดาขุนนางผู้ใหญ่เห็นก็คือ เรื่องนี้ปล่อยให้ผ่านไปแบบไร้ความกระจ่าง ไม่อาจขยายความต่อไป
หวังทงจะนำเสนอป้ายสงบสุขที่เทียนจินอย่างไร ทุกคนก็ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น ช่างเขา อย่างไรหวังทงก็ทำแค่ที่เมืองเทียนจินเท่านั้น
แต่ในสายตาของคนบางคนที่เทียนจิน เรื่องนี้เห็นได้ชัดว่าการที่องครักษ์เสื้อแพรสั่งให้แขวนป้ายสงบสุขนั้นไม่ถูกธรรมเนียม ตอนแรกที่ล้มกระถางธูปทิ้ง ทุกคนก็คิดว่านี่คือกฎธรรมเนียม ที่แท้ราชสำนักก็ไม่ได้เคยมีกฎธรรมเนียมเช่นนี้มาก่อน มีแต่นายกองพันองครักษ์เสื้อแพรเทียนจินผู้นี้ผู้เดียวที่เรียกเก็บเงินเช่นนี้
ราชสำนักหมิงเก็บเงินเก็บภาษีก็เป็นกฎหมายสมเหตุสมผล สำนักนาวาสุคนธ์อาศัยกำปั้นกับอำนาจมืด พวกเจ้าองครักษ์เสื้อแพรแค่แขวนป้ายก็เก็บเงินได้งั้นหรือ?
เรื่องความโหดเหี้ยมที่หวังทงสังหารหัวหน้านาวาสุคนธ์และนำกองกำลังขับไล่ชาวนาวาสุคนธ์ออกจากเมืองไปวันนั้นเกือบจะถูกลืมไปแล้ว
ในเมืองเทียนจินมีพลหทารองครักษ์เสื้อแพรหกร้อยนาย ทุกวันฝึกฝนกันอยู่กลางลานบ้าน บางครั้งมีคนออกมาจากบ้านซึ่งก็เป็นพวกมีมารยาทดี เรื่องที่จะลงไม้ลงมือด่าทอชาวบ้านเป็นไม่มี เรื่องขู่เข็ญบังคับหรือสัพยอกหญิงสาวชาวบ้านก็ไม่เคยพบ
คนมักลืมง่ายและยังมักรังแกคนอ่อนแอกลัวเกรงคนร้ายกาจ พลทหารองครักษ์เสื้อแพรรักษาระเบียบเช่นนี้ ความกลัวเกรงในคราแรกของทุกคนก็ค่อยๆ เลือนหายไป
คนของหวังทงที่เป็นคนงานในบ้านกับบรรดาเด็กจากลานฝึกหู่เวยนั้นไม่เข้าปฏิบัติงานจิปาถะ ให้ทุ่มเทฝึกยุทธ์เท่านั้น ส่วนกองกำลังองครักษ์เสื้อแพรสองร้อยนายเดิมที่เทียนจินเดิมกับคนที่เพิ่มเข้ามาภายหลังก็ให้มาปฏิบัติงานที่เกี่ยวกับป้ายสงบสุขหลังจากจัดการส่งมอบป้ายในเมืองแล้ว
คนพวกนี่ยอมอ่อนข้อมานาน นิสัยก็ดี หวังทงกำหนดกฎเข้มงวดว่า จะต้องประนีประนอมกับทุกฝ่าย เก็บเงินก็ต้องอ่อนน้อม ทุกวันต้องไปตรวจตราแต่ละร้าน ซักถามว่ามีอะไรให้ช่วยเหลือบ้างไหม
ในเมื่อบรรดาร้านค้าจ่ายเงินค่าป้ายสงบสุขแล้ว ก็ต้องให้อีกฝ่ายรู้สึกว่าเงินที่เสียไปนั้นคุ้มค่า งานพวกนี้เหมาะกับพวกหังต้าเฉียวพอดี ไปแล้วก็นอบน้อม ยังมีใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส
คนดีมักถูกรังแก องครักษ์เสื้อแพรนอบน้อมไปก็ถูกรังแก ครึ่งเดือนหลังจากหวังทงนำกำลังเข้าเมืองมา บรรดาร้านค้าก็เริ่มนินทากันมากขึ้นเรื่อยๆ
จนกระทั่งข่าวการประชุมในราชสำนักแพร่มาถึง ร้านค้าที่ใจกล้าก็เริ่มกล้าที่จะเหน็บแนมต่อหน้า นายกองร้อยองครักษ์เสื้อแพรหังต้าเฉียวจดจำที่หวังทงกำชับได้แม่นยำ อย่าได้ใส่อารมณ์กับคนที่จ่ายเงินให้ตน ต้องปฏิบัติต่อด้วยความนอบน้อม บรรดาองครักษ์เสื้อแพรเก่าที่เทียนจินกลัวหวังทงกันมาก ย่อมไม่กล้าขัดคำสั่ง
วันที่ 5 เดือนเจ็ด เรื่องราวเริ่มไม่ปกติ การจ่ายเงินต่างจากเมืองหลวงที่เป็นรายปี เทียนจินเป็นเมืองเล็ก ดังนั้นเพื่อความสะดวกรวดเร็ว หวังทงจึงเลือกใช้การจ่ายแบบรายเดือน หากร้านค้าหยุดทำการก็ไม่ต้องจ่ายเงินค่าป้ายอีกสองสามเดือนที่เหลือในปีนั้น
เงินทุกเดือนก็จะเก็บวันที่ 5 เดือนเจ็ด ทุกครั้งนายกองร้อยหังต้าเฉียวจะนำคนไปเก็บด้วยตนเอง นายกองร้อยหังเคยกล่าวว่า ทำตัวหดหัวรองรับอารมณ์มานานหลายปี กว่าจะมีวันได้เงยหน้าขึ้นสักครั้ง เก็บเงินแม้ว่าต้องคอยส่งรอยยิ้มไป อีกฝ่ายส่งเงินมาให้ด้วยสองมือ เก็บได้ร้านหนึ่ง ก็รู้สึกตัวลอยขึ้นครั้งหนึ่ง
จากที่ทำการองครักษ์เสื้อแพรเทียนจินไปทางขวาร้อยกว่าก้าวก็จะเป็นร้านสินค้าสามร้าน ทิศนี้ติดกับประตูปัจจิม ตำแหน่งดีมาก ร้านค้าก็อาศัยประโยชน์จากทำเลดี
นายกองร้อยหังกับทหารติดตามสี่นายล้วนเป็นพลทหารที่เป็นคนท้องถิ่น พวกเขาล้วนรู้สึกสบายๆ สีหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม เงินที่เก็บได้แม้ว่าต้องส่งมอบทั้งหมด แต่ยังพอมีเศษเงินให้พอยาไส้อยู่บ้าง บางร้านยังให้ของกินอะไรๆ ติดไม้ติดมือมาด้วยบ้าง คุ้มจริงๆ
ทำงานนี้มีหน้ามีตา นายกองร้อยหลายคนยังผลัดกันมาทำ วันนี้ต้องไปร้านค้าหนึ่งที่ชื่อว่า ‘ศิลป์ดังใจ’ ร้านนี้พิเศษกว่าร้านอื่นตรงที่เป็นร้านขายภาพและอุปกรณ์เครื่องเขียน
พู่กัน หมึก กระดาษและจานฝนหมึก ภาพอักษรขึ้นกรอบแล้ว แต่ละอย่างที่เกี่ยวพันกับการศึกษาหาความรู้ของบัณฑิต ที่นี่ล้วนมีครบ ว่ากันว่าหลายอำเภอทางตอนเหนือของเทียนจินล้วนมาซื้อของที่นี่ไปขาย
บัณฑิตจากแดนใต้จะเข้าเมืองหลวงมาลงเรือที่นี่คิดจะซื้อของใช้ ก็จะมีคนแนะนำให้พวกเขามาซื้อหาที่นี่ เพราะว่าที่นี่พอมีชื่อเสียงอยู่บ้าง
เถ้าแก่ร้านชื่อหลี่หยางเป็นบัณฑิตระดับซิ่วไฉอายุ 45 ปี สอบไม่ผ่านระดับจวี่เหรินสักที แต่พอมีหัวทางนี้ เคยเป็นเจ้าหน้าที่งานอักษรให้กับนายกองตรวจการคนก่อน ได้รับการชื่นชมอย่างมาก เป็นบุคคลที่มีหน้ามีตาในเมืองเทียนจินพอสมควร ตั้งฉายาให้ตนเองว่าหยางหลิ่วแดนไกล ในปีนั้นที่ปฏิบัติงานอยู่ ก็สั่งสมสายสัมพันธ์กับผู้คนไว้ไม่น้อย เครื่องเขียนของทุกที่ทำการในเมืองเทียนจินนี้ ของใช้ทางราชการ ก็ล้วนนำเข้าจากร้านนี้
เพราะความสัมพันธ์หลายระดับเช่นนี้ ที่บ้านเขาแม้จะมีกระถางธูป แต่สำนักนาวาสุคนธ์ก็ไม่เคยมาเก็บเงิน พอทำลายกระถางธูปเปลี่ยนเป็นป้ายสงบสุข กลับต้องจ่ายเงิน
วันนั้นได้เห็นบรรดาองครักษ์เสื้อแพรถือดาบท่าทางดุร้ายเอาเรื่อง ไม่ว่าเจ็บแค้นเพียงใดก็ต้องกล้ำกลืนวาจา รับมอบป้ายมาอย่างเชื่อฟัง
จ่ายเงินไปได้แค่เดือนเดียว หลี่หยางก็เริ่มแอบเขียนบทความด่าทอ รอจนมีข่าวจากการประชุมราชสำนักแพร่มาถึง หลี่หยางผู้นี้ก็เหิมเกริมกล้าด่าหวังทงออกหน้า แม้ว่าไม่ได้กล่าววาจาออกไปอย่างโจ่งแจ้ง แต่วาจาสี่คำว่า “คนชั่วโกงกิน” ก็ได้กล่าวออกมาแล้ว
“ขอให้เถ้าแก่ร้านศิลป์ดังใจร่ำรวยเงินทอง วันนี้ได้เวลาจ่ายค่าป้ายสงบสุขแล้ว!”
หังต้าเฉียวนำคนมาถึงหน้าประตู ตะโกนเสียงดังพอประมาณ ยังจำได้ว่าครั้งก่อนตอนเก็บเงิน ตนเองตะโกนดังเกินไป เถ้าแก่และลูกจ้างในร้านพากันวิ่งออกมาอย่างนอบน้อม กล่าววาจาสนทนากันสองสามประโยค ทำให้เขารู้สึกเบิกบานยิ่งนัก
ขณะรออยู่อย่างนอบน้อม ก็เห็นลูกจ้างที่ประตูกับเถ้าแก่ที่โต๊ะเก็บเงินมีสีหน้าเย็นชา หังต้าเฉียวปฏิกิริยาฉับไว รู้ได้ทันทีว่ามีเรื่องไม่ชอบมาพากลเกิดขึ้นแล้ว
ข่าวการประชุมราชสำนักแพร่มาถึงแล้ว หังต้าเฉียวสังเกตเห็นท่าทีของผู้บังคับบัญชาใต้เท้านายกองพันหวังก็เหมือนไม่สนใจ คิดว่าคงไม่กลัวอันใด และยังไม่มีใครมากระซิบส่วนตัวบอกให้หยุดเก็บเงินอีกด้วย อย่างไรกัน ต้องมาพบความยุ่งยากที่ร้านนี้อย่างนั้นหรือ!?
คิดถึงตรงนี้ หังต้าเฉียวก็ลังเลครู่หนึ่งก่อนจะตะโกนดังขึ้นว่า
“ร้านศิลป์ดังใจ ได้เวลาจ่ายเงินแล้ว!”
ยังกล่าวไม่ทันจบดี ก็มีของปลิววืดออกมา หังต้าเฉียวเอี้ยวตัวหลบด้วยสัญชาตญาณ ป้ายไม้สีดำอักษรแดงแผ่นหนึ่งตกลงบนพื้น เป็นป้ายสงบสุข
“กล้าทำลายป้ายสงบสุข เจ้าบัดซบ พวกเจ้าไม่อยากเปิดร้านแล้วหรือไง!?”
พอเห็นป้ายตกที่พื้น หังต้าเฉียวก็ตะโกนดังขึ้น แต่เสียงรู้สึกไม่ดังเท่าที่ควร ตั้งแต่เขาได้ยินข่าวนั้นจากเมืองหลวงมา ก็กลัวเรื่องนี้มาโดยตลอด คิดไม่ถึงว่าร้านแรกในวันนี้ก็เกิดเรื่องจนได้
“ข้าเปิดร้านทำการค้าเปิดเผยขายเครื่องเขียน แต่ไรไม่เคยทำเรื่องผิดศีลธรรม เหตุใดต้องมอบเงินค้าป้ายสงบสุขบ้าบอพวกนี้ให้องครักษ์เสื้อแพรเช่นเจ้าด้วย?”
หังต้าเฉียวเพิ่งตะโกนจบ เสียงคนในร้านก็ตะโกนตอบมาอย่างดุเดือด ขณะที่กล่าวอยู่นั้น ชายวัยกลางคนสวมชุดยาวผ้าต่วนสีครามแบบบัณฑิตก็ก้าวออกมา
คนผู้นี้ก็คือหลี่หยาง สนิทสนมกับทุกที่ทำการในเมืองเทียนจิน นับเป็นบุคคลอันดับหนึ่งในเทียนจิน หังต้าเฉียวเห็นเจ้าที่เจ้าทางออกมาเองเช่นนี้ก็รู้สึกหวาดกลัวขึ้นมา หลี่หยางไว้เคราสามแห่ง มองแล้วให้ภาพของบัณฑิตลัทธิขงจื๊อแสนยิ่งใหญ่ เดินมาถึงหน้าประตู มองหังต้าเฉียวด้วยสายตาเย็นเยียบกล่าวว่า
“องครักษ์เสื้อแพรเป็นกองกำลังในพระองค์ รับพระบัญชา ปราบปรามคนชั่ว มาวางอำนาจทำหน้าที่เรียกเงินเรียกทองชาวบ้านสุจริตเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไรกัน!?”
หังต้าเฉียวถูกถามเช่นนี้ ความองอาจก็หายไปทันที เดิมทีเขาเองก็ไม่ได้องอาจกล้าหาญสักเท่าไร ทำใจอยู่ครู่หนึ่ง จึงได้ตอบไปว่า
“นี่เป็นธรรมเนียมของนายกองพันเรา! ท่านหลี่อย่าได้…”
“นายกองพันเจ้าก็แค่ขุนนางระดับห้า ยังเป็นขุนนางบู๊อีก พื้นที่เทียนจินเรา เจ้ากรมกองคุมกำลังพลอย่างใต้เท้ากาวก็ระดับห้า ใต้เท้าฟานต๋าก็ระดับสี่ ทุกท่านยังไม่กล้าว่าอะไร ธรรมเนียมนายกองพันเจ้าสู้พวกท่านได้หรืออย่างไร เงินค่าป้ายสงบสุขนี้ ตามกฎหมายหมิงแล้ว เจ้าลองบอกข้ามาสิว่า มีระเบียบข้อไหนระบุถึงป้ายสงบสุขนี่บ้าง!”
นายกองร้อยหังต้าเฉียวผงะถอยหลังไปก้าวหนึ่ง พลทหารด้านหลังยิ่งไม่กล้าก้าวขึ้นหน้า คนของทั้งสองร้านต่างตีวงล้อมเข้ามา สีหน้าส่อแววร้ายมากกว่าดี
“ว่ามาธรรมเนียมอะไร ฮ่องเต้ทรงพระปรีชา ขุนนางผู้ใหญ่จงรักภักดี ใต้เท้าหลายท่าน ขุนนางหลายกรมต่างบอกว่าเงินป้ายสงบสุขนี้เหลวไหลสิ้นดี ไม่มีธรรมเนียมเช่นนี้ พวกหนูมดปลวกเช่นพวกเจ้านี่ คิดว่าพวกเราไม่รู้เรื่องหรือไง ทุกคนรู้จักกันมานานหลายปี ข้าขอเตือนว่า ยังรู้ตัวทัน เจ้าคิดว่าใต้เท้าฟาน ใต้เท้ากาวไม่มีความเคลื่อนไหวหรือไง นั่นต้องเพราะกำลังรอดูว่าพวกเจ้าจะสำนึกหรือไม่ รอให้พระอาญามาถึง ลงดาบคนเลวนั่น พวกเจ้าคิดจะหัวหลุดไปด้วยหรือไง!”
วาจากล่าวออกมาเช่นนี้ หังต้าเฉียวกับผู้ติดตามด้านหลังต่างก็พากันหนาวสั่น หลี่หยางเอ่ยถึงใต้เท้าฟาน ใต้เท้ากาว ยังมีฮ่องเต้และพระอาญา คิดถึงข่าวที่แพร่มาสองสามวันนี้ คิดถึงหลี่หยางที่คบหาผู้คนกว้างขวาง ไปมาหาสู่กันขุนนางมากมาย ที่กล่าวมาดูเหมือนไม่ใช่ความเท็จ เทียนจินนี้เดิมพลทหารองครักษ์เสื้อแพรก็เป็นพวกยอมก้มหัวเอวอ่อนมืออ่อนราวกับเส้นหมี่ พอกลัวขึ้นมา ความไม่พอใจที่มีอยู่ในใจก็พลันมลายสิ้นไป
หังต้าเฉียวถอยหลังไปสองก้าว อึ้งไปครู่หนึ่ง ก็ยิ้มตอบกลับไปว่า
“ท่านหลี่ไยต้องโมโหเช่นนี้ พวกเราก็รับคำสั่งปฏิบัติงาน ไม่อาจขัดคำสั่งได้!”
หลี่หยางแค่นเสียงดังไม่สนใจ หันหน้ากลับเข้าร้านไป หังต้าเฉียวกับลูกน้องยืนอยู่หน้าร้านมองซ้ายมองขวา ร้านนี้เสียทีไปแล้ว อีกสองร้านก็ย่อมไม่ไว้หน้า พากันหันกลับเข้าร้านตนไป
ได้ยินวาจาเมื่อครู่ คิดจะเก็บเงินอีกสองร้านก็ยากอยู่สักหน่อย มาเสียทีเช่นนี้ หาทางลงก็ไม่ได้
กำลังเก้ๆ กังๆ อยู่นั่นเอง ก็มีคนวิ่งมาจากทิศใต้อย่างเร็ว เป็นพลหทารที่ไปเก็บเงินที่อื่นมา ตะโกนวิ่งมาด้วยสีหน้าลนลานยิ่ง
“พี่หัง ใต้เท้าหัง แย่แล้ว หยางเจี๋ยปาถูกรุมตีที่หน้าร้านจิ้นเหอ พี่น้องที่ไปกับเขาถูกรุมอยู่ รีบไป…”