Skip to content

องครักษ์เสื้อแพร 280

ตอนที่ 280 ริมฝั่งช่างประหลาด ปกป้องหรือลงทัณฑ์

คลองส่งน้ำยามกลางวันกำลังยุ่งกันวุ่นวาย ท่าเรือชายฝั่งทะเลยามกลางวันกลับเงียบสงบอยู่สักหน่อย แม้ว่าเรือใหญ่ไม่น้อยล้วนจอดเทียบท่า หากไม่มีการเคลื่อนไหวอันใด ราวกับว่านอนหลับกันหมด

คนแต่งกายเหมือนคนงานหลายคนมาจากทางทิศเหนือ หยุดอยู่ตรงท่าเรือชายฝั่งทะเลทิศเหนือชี้มือไปมา แรงงานที่ท่าเรือจำพวกเขาได้ก็ตะโกนทักทายไปว่า

“หวงซาน กลางวันแสกๆ ทำไมเจ้ายังต้องมาส่งข้าวอีก มาที่นี่ทำไมกัน!!”

“ที่ร้านการค้ายุ่งมาก กลางคืนคนงานส่งข้าวยุ่งกันจนมาไม่ได้ เลยรับคนงานใหม่มาสองสามคน พามารู้จักทางขอรับ!”

คนที่นำมาก็คือหวงซาน คนงานโรงเตี๊ยมเงินไหลมา ทุกคนคุ้นเคยกันดี ทักทายกันไปมาด้วยรอยยิ้ม คนงานใหม่พวกนี้ก็พยักหน้าก้มตัวทักทายดี

คนงานหลายคนดูแล้วอายุไม่น้อย เหมือนว่ามาจากชนบท ท่าทางชะเง้อมองไปมองมา ดูก็รู้ว่าไม่เคยเห็นสังคมโลกกว้าง หวงซานชี้ไปพูดไป

เรือทะเลริมทะเลไม่น้อย ทุกคนราวกับเห็นของแปลกใหม่ เดินกันอยู่แต่ริมฝั่ง

ระยะนี้กิจการโรงเตี๊ยมเงินไหลมาดีไม่น้อย ทุกคนรู้ว่าหวังทงในเมืองผู้นั้นตอนที่เพิ่งมาถึงเทียนจินก็เคยอยู่ที่นี่ แต่นั้นก็คุ้มครองดูแลดีมาก ว่ากันว่าตอนนี้อาหารที่ค่ายทหารใหม่ก็ให้โรงเตี๊ยมนี้เหมาทำไปด้วย เถ้าแก่ส่งคนงานไปทำที่ห้องครัวในค่าย มิน่าคนถึงไม่พอ

หากเป็นเมื่อก่อน บรรดาหัวหน้าสำนักนาวาสุคนธ์ย่อมไม่ยอมให้มีเรื่องขัดหูขัดตาเช่นนี้ ย่อมต้องไปเรื่องเป็นแน่ แต่ในเมืองหลังจากใช้ปืนใหญ่ถล่มร้านจิ้นเหอไป ศีรษะ 70 กว่าชีวิตแขวนอยู่บนกำแพงที่ทำการองครักษ์เสื้อแพร ใครจะไม่มีลูกกะตาไปหาเรื่องใส่ตัวกัน

ทว่าการค้าโรงเตี๊ยมเงินไหลมาก็เป็นการค้าที่รุ่งเรืองจริง ถึงเวลาร่ำรวยแล้ว ทุกคนวิพากษ์วิจารณ์กันคนละคำสองคำแล้วก็ไม่กล่าวอันใดต่ออีก เห็นกลุ่มคนจากโรงเตี๊ยมเงินไหลมาเริ่มเดินไกลออกไป เดินมุ่งไปปากทางออกทะเลทางนั้น

นี่ก็เป็นเรื่องปกติ ริมทะเลไม่มีทิวทัศน์อันใด มีแต่ปากทางออกทะเลเท่านั้นที่สวยงาม หลายปีนี้ต้องคอยเติมน้ำเข้าในคลองส่งน้ำ น้ำในทะเลเริ่มค่อยๆ ไหลย้อนเข้ามา เป็นภาพสวยงามอลังการไม่น้อย

บริเวณสบกันระหว่างคลองส่งน้ำและทะเลนั้นมีเรือใหญ่ลำหนึ่งมาจากทางเหนือ หยุดอยู่ที่จุดบรรจบนั้นและปล่อยเรือเล็กออกมา เรือเล็กมีคนสี่คน คนหนึ่งในนั้นยกท่อนไม้ขึ้นพาด จากนั้นก็มัดเชือกแน่ อีกสามคนกำลังพายเรือ มีหนึ่งคนยกเชือกโยนออกไปด้านนอก

บนเรือจะต้องมีเชือกอยู่มัดใหญ่ ไม่เช่นนั้นเรือพายไปยังท่าที่อยู่ทิศใต้เชือกคงไม่พอ แต่ทว่าเชือกยังไม่หมดมัด เชือกไม่หนานัก คนบนเรือใช้แรงดึงเชือก เรือก็พายเลียบท่าทิศใต้ไปกลับรอบหนึ่ง แล้วก็พายกลับมาอีก ยกไม้พาดออก ม้วนเชือกเก็บขึ้นฝั่ง

นี่ไม่ใช่ว่าไม่มีคนเห็น แต่มองแล้วก็งง ไม่รู้ว่าคนพวกนี้ทำอะไรกันแน่ ทุกคนยุ่งกับการทำมาหาเลี้ยงชีพ มองไม่เข้าใจ ผู้ใดอยากจะไปคิดให้มาก ช่างพวกเขาเถอะ

ตอนนี้ที่ทุกคนสนใจที่สุดก็คือ นายกองพันองครักษ์เสื้อแพรหวังทงจะออกมาสั่งแขวนป้ายสงบสุขนอกเมืองหรือไม่ ในเมืองมีกำลังพันนาย นอกเมืองยังมีค่ายฝึกทหารที่มีกำลังเกือบสามพัน

ว่ากันว่าบ้านผุพังด้านทิศใต้ของค่ายทหารใหม่นั้นถูกรื้อถอนออกหมดแล้ว คนที่นั่นก็ไม่มีข่าวคราว ไม่รู้เป็นตายร้ายดีอย่างไร หินหมาสือที่กองกันอยู่ทางนั้นก็ถูกซื้อไปหมดแล้ว ว่ากันว่าเอาไปใช้ทำประโยชน์ใหญ่อะไรสักอย่าง

คนทำการค้าทุกสารทิศในเมืองเทียนจินต่างไปยังที่ทำการองครักษ์เสื้อแพรกันด้วยตนเอง ไปขอซื้อป้ายสงบสุขกัน บัญชีค้าขายก็ยังคุ้มกำไรอยู่

เงินไม่จ่าย ก็ต้องไปปักธูปกับสำนักนาวาสุคนธ์ พวกทำการค้าในเมืองต่างว่ากันว่า ป้ายสงบสุขไม่แพง จ่ายแล้วก็ไม่มีเรื่องยุ่งยากมากมายอะไร พลทหารองครักษ์เสื้อแพรรับเงินไปก็ทำงาน ไม่ได้มาขูดรีดอะไรอีก ซึ่งก็ไม่เลว

แต่การค้านอกเมืองกลับไปรับป้ายนี้กันไม่ได้ คำตอบขององครักษ์เสื้อแพรก็ง่ายมากว่า

“รอไปก่อน!”

ทว่าคนในพื้นที่เทียนจินนี้รู้กันกระจ่างอยู่เรื่องหนึ่งว่า ล่วงเกินผู้ใดก็ได้ เพียงองครักษ์เสื้อแพรที่ไม่อาจล่วงเกินเด็ดขาด นายกองพันหวังทงที่มาใหม่ยิงปืนใหญ่สังหารผู้คน ไม่มีเรื่องชั่วร้ายอะไรไม่กระทำ อย่าได้ล่วงเกินได้เป็นดี

ได้เห็นบรรดาคนมุงกันวันนั้นทุกคนถูกซ้อมในคุกอเนจอนาถมาก ต้องให้คนที่บ้านหาคนไปค้ำประกันจึงออกมาได้ ยังมีหลายสิบคนที่ตัวคนเดียวไร้ญาติมิตร ถูกส่งไปใช้แรงงานที่ค่ายทหารใหม่กันหมด ทุกวันต้องขนย้ายหินหมาสือ มีชีวิตอยู่ไม่สู้ตาย ทุกอย่างนี้ล้วนเป็นการสั่งสอน

*********

เทียบกับความสงบเงียบที่เทียนจินแล้ว ทางเมืองหลวงนี้คึกคักกว่ามาก ใต้หล้าเหนือใต้สิบกว่ามณฑล จุดสนใจของบรรดาขุนนางในราชสำนักก็ย่อมไม่อาจเอาแต่สนใจเมืองเทียนจิน

ทุกคนต่างบอกว่า มหาอำมาตย์จางเปลี่ยนวิธีแล้ว บอกว่าตั้งแต่สมัยฮ่องเต้หงจื้อแห่งราชวงศ์หมิง คลังหลวงก็ต้องรัดเข็มขัดแน่นมาโดยตลอด รัชสมัยฮ่องเต้เจียจิ้งก็ปราบโจรสลัดทะเล ทางเหนือก็ต้องรบ ทำให้ใช้เงินในท้องพระคลังละลายเร็วราวกับสายน้ำ ตั้งแต่ท่านจางขึ้นมา ก็เก็บภาษีที่นา คลังหลวงเต็มเปี่ยมขึ้นมาทันที ตอนนี้เปลี่ยนอีก ว่ากันว่าหลังจากเปลี่ยนวิธี คลังหลวงก็จะมีเงินทองใช้กันไม่มีวันหมดแล้ว

แต่ก็มีคนบอกว่า หลังจากท่านจางบริหารประเทศ เก็บภาษีที่นาก็เป็นนโนบายดี แต่ก็รัดเข็มขัดหลายอย่างขั้นสุด หน่วยงานราชการปฏิบัติหน้าที่ต้องใช้คน กองทัพทำสงครามก็ต้องใช้อาวุธยุทโธปกรณ์ ท่าทีท่านจางในเรื่องนี้ก็คือ อย่ามีเรื่องเป็นดี ข้างนอกต้องปรองดองไว้ ส่วนในวังใช้จ่ายรัดเข็มขัดให้มากที่สุด

เข้าคลังมาก ใช้จ่ายน้อย ย่อมทำให้คลังเต็ม แต่การใช้จ่ายของราชสำนักหมิง ประชาชา การปกครองและการทหารเรื่องใดที่ไม่ต้องจัดการ ที่ไหนที่ไม่ต้องใช้เงิน การประหยัดเช่นนี้ก็ใช่ว่าเป็นนโยบายที่จะกระทำยั่งยืนได้

วาจาพวกนี้ไม่อาจกล่าวกันเปิดเผย ปีก่อนมีคนยื่นฎีกา ต่อมามีจุดจบเช่นไร ทุกคนล้วนเห็นกันอยู่ ไยต้องไปขัดกับมหาอำมาตย์ใหญ่ด้วยเล่า

ตั้งแต่จางจวีเจิ้งขึ้นบริหารมา นโยบายแผ่นดินที่ดำเนินการไปก็ไม่เคยล้มเหลว ไม่ว่าผู้ใดก็ย่อมไม่โดดออกหน้ามาหาเรื่องโชคร้ายใส่ตนเป็นแน่

บรรดาชนชั้นสูงทรงอิทธิพลในเมืองหลวงสามารถรับการปฏิรูปเช่นนี้ได้ ย่อมไม่กล่าวอันใด ที่ไม่รู้ก็จะไหว้วานหาคนไปสืบทางอ้อมมา ดูว่าสามารถได้ประโยชน์อันใดในเรื่องพวกนี้บ้างหรือไม่

ที่ขัดกับความสนใจของทุกคนก็คือที่ชนชั้นสูงตำแหน่งองครักษ์เสื้อแพรอย่างผู้บัญชาการหลิวโสวโหย่วสนใจอยู่ตอนนี้กลับต่างไปจากทุกคน เขากังวลเรื่องกองพันองครักษ์เสื้อแพรที่เทียนจิน

ยิงปืนใหญ่ใส่ร้านค้ากลางท้องถนนสังหารไป 70 กว่าชีวิต เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล็ก ถานเจี้ยนได้ทำตามคำสั่งหวังทงรีบนำวัตถุพยาน บุคคลพยานและคำให้การกับบรรดาหลักฐานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องมาส่งมอบให้ที่สำนักองครักษ์เสื้อแพรฝ่ายเหนือ

สำนักองครักษ์เสื้อแพรฝ่ายเหนือรับผิดชอบดูแลทุกข์สุขประชา นายกองพันที่ส่งไปประจำนั้นนอกจากที่เมืองหนานจิงแล้วล้วนอยู่ใต้การดูแลของที่ทำการนี้ หัวหน้าสำนักองครักษ์เสื้อแพรฝ่ายเหนือเห็นเรื่องที่หวังทงทำไปที่เทียนจินแล้วก็ไม่กล้ารอช้า รีบรุดมาถึงจวนผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อหลิวโสวโหย่วทันที

ไม่ต้องกล่าวถึงว่าเบื้องหลังหวังทงว่าคือผู้ใด เพราะอย่างไรก็ไม่ใช่เรื่องที่สำนักองครักษ์เสื้อแพรฝ่ายเหนือจะจัดการได้ แม้ว่าเป็นนายกองพันทั่วไป หากทำเรื่องใหญ่เช่นนี้ก็ได้แต่ส่งไปให้ผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อหลิวโสวโหย่วสั่งการอยู่ดี

หลิวโสวโหย่วเป็นศิษย์ที่ภักดีต่อจางจวีเจิ้งอย่างมาก ผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อเป็นตำแหน่งสูงสุดของขุนนางบู๊ที่ดูแลประชาใต้หล้า ยืนอยู่แถวหน้าสุดในที่ประชุมขุนนาง หลิวโสวโหย่วปกติย่อมปฏิบัติตัวราวกับม้าใช้ของมหาอำมาตย์จาง

เขาเองก็รู้ว่าในราชสำนักไม่ว่าคณะเสนาบดีใหญ่หรือหกกรมกอง ขุนนางบุ๋นใหญ่น้อยในเมืองหลวงก็ล้วนมองหวังทงเป็นขุนนางชั่ว เป็นคนชั่วไร้ยางอาย

หวังให้หวังทงก่อเรื่องขึ้น ทางเมืองหลวงจะได้มีเหตุ ทุกคนร่วมกันยื่นฎีกา แม้ว่าฮ่องเต้จะทรงปกป้อง ก็ต้องให้เขาดิ้นไม่หลุด

ว่ากันว่าเมืองเทียนจินยิงปืนใหญ่สังหารผู้คนแม้ว่าเป็นความผิดใหญ่ หลิวโสวโหย่วควรจะรายงานเรื่องนี้ให้มหาอำมาตย์จางจวีเจิ้งทราบในทันที นี่มิใช่ความผิดที่ทุกคนใฝ่ฝันให้เกิดกันหรือไร?

ทว่าผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อหลิวโสวโหย่วไม่ได้ทำเช่นนั้น เขากลับรู้สึกลำบากใจอย่างมาก ตอนเช้าเห็นเอกสาร ผ่านไปหนึ่งชั่วยามก็ตามรองผู้บัญชาการสำนักองครักษ์กับผู้ช่วยผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพรทั้งหมดสี่นายมาพร้อมกัน

ตั้งแต่ตั้งราชวงศ์หมิงมา ขุนนางบู๊ให้ตำแหน่งเป็นบำเหน็จรางวัล ชนชั้นสูงให้ตำแหน่งขุนนาง ตำแหน่งที่มีค่าที่สุดก็คือตำแหน่งขุนนางบู๊องครักษ์เสื้อแพร ทั่วหล้ามีรองผู้บัญชาการและผู้ช่วยผู้บัญชาการองครักษ์เสื้อแพรหลายสิบนาย หากทำงานจริงเพียงแค่ไม่กี่นายนี้เท่านั้น

หลิวโสวโหย่วไม่ได้กล่าวอันใดมาก เพียงแค่สิ่งที่หวังทงส่งมอบมาให้ทุกคนได้อ่าน ทุกคนอ่านเสร็จก็มองหน้ากันไปมา

“ผู้บัญชาการหลิว ตามที่สายลับเราที่เทียนจินรายงานมา นายกองพันหวังเขียนมานี้เป็นเรื่องจริงหรือไม่?”

เงียบไปพักหนึ่ง สุดท้ายก็มีคนถามขึ้น

นอกจากพวกที่อยู่ในกองพันหวังทงแล้ว ยังมีองครักษ์เสื้อแพรที่ซ่อนตัวอยู่ในเทียนจินด้วยวัตถุประสงค์อื่นๆ อีกหลายนาย ได้ยินคำถามนี้ หลิวโสวโหย่วก็พยักหน้ากล่าวว่า

“เป็นเรื่องจริง”

พอกล่าวว่าเป็นเรื่องจริง ทุกคนก็มองหน้ากันอีก กลับไม่ยอมพูดอันใด หลิวโสวโหย่วมองซ้ายทีขวาที ผู้ช่วยผู้บัญชาการสำนักองครักษ์ที่เขาส่งเสริมขึ้นมาคนหนึ่งก็ถามอย่างสงสัยว่า

“ใต้เท้าหมายความว่า?”

“เดิมหากคิดได้ ไยต้องเชิญทุกท่านมาด้วย หวังทงผู้นี้ทุกท่านก็รู้ว่าเป็นผู้ใด หากเป็นนายกองพันทั่วไปไยต้องยุ่งยากเพียงนี้!”

หลิวโสวโหย่วกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ ผู้ช่วยผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพรผู้นั้นยิ้มเก้กังเล็กน้อย ก่อนจะกล่าวว่า

“ใต้เท้า ราชสำนักแต่ไรก็ไม่ค่อยพอใจหวังทง ในเมื่อเขาทำเรื่องที่ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงเช่นนี้ขึ้น เราก็รายงานขึ้นไปเบื้องบน รอความเห็นก็พอ คณะเสนาบดีและหกกรมย่อมสนใจเรื่องนี้”

พอกล่าวจบ หลิวโสวโหย่วก็พยักหน้า รองผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อผู้หนึ่งหยิบเอกสารขึ้นมาอ่านอย่างละเอียด ทางนี้พูดจบ เขาก็เงยหน้าถามว่า

“ใต้เท้า เจ้าหน้าที่สี่คนถูกตีจนพิการ เรื่องนี้จริงหรือ?”

“สายลับที่เทียนจินวันนั้นได้ตามไปดู ถูกพวกคุ้มครองร้านค้าพวกนั้นรุมทำร้ายจริง หลังเกิดเรื่องก็ไปสอบถามหมอมา มีสองคนพิการ ยังมีอีกสองคนก็ต้องพักรักษาตัวนานถึงครึ่งปี”

รองผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อที่ถามคำถามวางเอกสารลงบนโต๊ะกล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า

“หวังทงผู้นี้ทำงานไม่เป็น ในเมืองนอกเมืองล่วงเกินคนไปไม่น้อย เขารนหาที่ตายก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับพวกเราเท่าไร ช่างเขาเถอะ”

กล่าวถึงตรงนี้ รองผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพรกลับหักมุม กล่าวต่อว่า

“แต่เรื่องชองพี่น้ององครักษ์เสื้อแพรเราต้องปกป้อง จะว่าไป คนของเราปฏิบัติหน้าที่แต่กลับถูกทำร้าย หวังทงออกหน้าทวงความยุติธรรมแทนพวกเขาเท่านั้น หากไม่สนใจดูแล พี่น้องใต้บังคับบัญชาวันหน้าจะมีผู้ใดยอมเสียสละแรงกายแรงใจปฏิบัติหน้าที่กัน ใต้หล้านี้จะมีผู้ใดให้เกียรติองครักษ์เสื้อแพรอย่างเราอีก”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version