ตอนที่ 282 ค่อยๆ เขยิบเข้าใกล้
“เฝิงต้าปั้น วันหน้าให้ท่านจางแจ้งมาล่วงหน้า อย่าได้ทำอะไรที่เดาได้ยากเช่นนี้ หากไม่บอกกล่าวให้ชัดแจ้ง เราไหนเลยจะกล้าตัดสินใจอะไรเอง!”
หลังเลิกประชุม พระอารมณ์ของฮ่องเต้ว่านลี่ไม่เลวนัก ขณะเดินทางกลับตำหนักก็บ่นกับเฝิงเป่า เฝิงเป่าอมยิ้มก้มกายน้อมรับ เอ่ยทูลว่า
“ฝ่าบาททรงตำหนิได้ถูกต้องแล้ว กระหม่อมจะต้องกล่าวกับท่านจางให้กระจ่าง”
ฮ่องเต้ว่านลี่ทรงพยักพระพักตร์รับ ตามธรรมเนียมในวัง ฮ่องเต้เสด็จออกจากหอประชุมเหวินเหยียนเก่อก็จะประทับเกี้ยว แต่ตั้งแต่กลับมาจากลานฝึกหู่เวย ก็ทรงชอบที่จะเสด็จพระดำเนินเอง ไม่ทรงโปรดประทับเกี้ยว
พระองค์เสด็จพระดำเนินอย่างไรก็ต้องมีขันทีและองครักษ์ติดตามด้านหลัง เสด็จไปได้สองก้าว ฮ่องเต้ว่านลี่ก็ตรัสถามว่า
“เฝิงต้าปั้น จางปั้นปั้น เรื่องเงินก้อนจินฮวาทำไมไม่ถกกันแล้ว เราจำได้ว่าเมื่อเดือนก่อนมีเรื่องนี้นี่!?”
เฝิงเป่ารีบน้อมกายลงต่ำกราบทูลว่า
“ฝ่าบาททรงความจำดีเยี่ยม กระหม่อมสั่งให้สำนักส่วนพระองค์และสำนักเครื่องใช้ส่วนพระองค์ร่วมกันคำนวณพร้อมกับกรมอากรแล้ว รอให้ตัวเลขออกมาจึงค่อยกราบบังคมทูลฝ่าบาท ตอนนี้ทุกฝ่ายกำลังยุ่งกับงานใหญ่ เรื่องภาษีที่ดินกำลังเก็บงานสุดท้าย ทุกฝ่ายยุ่งกันมาก ต้องใช้เวลาสักระยะหนึ่งพะยะค่ะ”
ฮ่องเต้ว่านลี่พยักพระพักตร์เงียบๆ เสด็จมาถึงประตูหน้าห้องทรงอักษร เฝิงเป่าก็ทูลว่าไทเฮาฉือเซิ่งมีรับสั่งให้เข้าเฝ้า จึงขอถวายบังคมลาไป
ลานหน้าห้องทรงอักษรเงียบมาก บ่าวรับใช้ต่างรู้ดีว่า ฮ่องเต้ไม่ทรงโปรดให้ที่นี่มีคนอยู่รับใช้มาก ผู้เดียวที่ได้รับพระราชานุญาตก็คือเจ้าจินเลี่ยงที่อายุไม่ถึง 10 ขวบ
ดูแล้วเจ้าเด็กนี่หน้าตาก็ปกติดี นอกจากซื่อสัตย์เงียบขรึมแล้วก็ดูอะไรไม่ออก หากมิใช่ว่าฮ่องเต้ว่านลี่มักทรงเรียกนางกำนัลรับใช้ในห้องบรรทมแล้วล่ะก็ คนอื่นคงได้คิดเขวไปอีกทางเป็นแน่
ฮ่องเต้ว่านลี่เสด็จเข้ามา เจ้าจินเลี่ยงก็รีบส่งผ้าซับพระพักตร์สะอาดมาให้ ว่านลี่ซับพระพักตร์เสร็จ ก็ทอดพระเนตรไปยังประตูด้านหลังที่ปิดลงก่อนจะตรัสถามด้วยรอยแย้มสรวลว่า
“เรื่องสำนักศึกษาไม่รู้ว่าต้องการจัดการผู้ใด แต่ก็ทำให้หวังทงพลอยได้ไปด้วย เดิมหวังทงเขียนมาว่า พฤติกรรมของเขานั้นรุนแรงเกินเลย แต่ก็ถูกต้องตามกฎหมาย หลิวโสวโหย่วแม้ว่าไม่อยากจะปกป้องก็ต้องปกป้อง คิดไม่ถึงว่าท่านจางจะโยงไปถึงสำนักศึกษาได้”
จางเฉิงคิดครู่หนึ่งก็ก้าวขึ้นหน้ามากราบทูลเบาๆ ว่า
“ทางสำนักบูรพาสืบได้ข่าวมาว่า ในราชสำนักมีคนสร้างฐานอำนาจในสำนักศึกษา คิดจะใช้เสียงตีกระทบต่อราชสำนัก ล่วงเกินขอบเขตที่มหาอำมาตย์ขีดเส้นไว้ จึงได้มีเรื่องเช่นนี้ในวันนี้”
ฮ่องเต้ว่านลี่เสด็จเข้าไปด้านใน ส่ายพระพักตร์ตรัสขึ้นว่า
“ช่างไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ ควรถูกลงโทษ จางปั้นปั้น เรื่องเงินก้อนจินฮวา ท่านกับต้าปั้นคำนวณเสร็จแล้วกระมัง ได้เท่าไรกันแน่?”
จางเฉิงน้อมกายลงทูลว่า
“ทูลฝ่าบาท กระหม่อมและเฝิงกงกงได้ร่วมกับฝ่ายในแต่ละหน่วยงานคำนวณแล้ว เงินก้อนจินฮาต้องเพิ่มอีกสามแสนตำลึงจึงจะพอใช้พะยะค่ะ”
“พวกท่านว่ามาให้กระจ่าง แม้ว่าปิดบังเรา เราก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี ฝ่ายในเราก็ไม่มีผู้ใดรับฟัง ฮ่องเต้นี่เป็นแล้วก็ไม่รู้ว่ามีความหมายอันใด!?”
สุรเสียงฮ่องเต้ว่านลี่เหมือนไม่พอพระทัย แต่จางเฉิงก็ชินชาเสียแล้ว ไม่ได้คุกเข่ารับผิดอะไร ได้แต่ยิ้มแห้งๆ ทูลว่า
“ทูลฝ่าบาท ในวังพิจารณาแล้วว่าสามแสนตำลึง แต่คณะเสนาบดีใหญ่กับกรมอากรยังคำนวณอยู่ ดูว่าจะกดลงอีกหน่อยได้หรือไม่ วันนี้เฝิงกงกงก็จะไปเข้าเฝ้าไทเฮาด้วยเรื่องนี้พะยะค่ะ”
“เงินทองที่อ้างว่าเป็นน้ำแข็งหน้าร้อน ถ่านหินหน้าหนาวจากแต่ละมณฑลที่พวกเขาอ้างว่าผลิตกันเอง ค่าน้ำร้อนน้ำชานอกใน ใช้ชีวิตกันสบายพอๆ กับเรา ในวังคนตั้งมากมาย เพิ่มเงินอีกหน่อย พวกเขากลับบอกไม่ได้ นี่มันอะไรกัน จางปั้นปั้น เงินสามแสนจะไปพออะไร เราคิดว่า เพิ่มอีกสักหนึ่งล้านถึงจะพอไหว”
ขณะประทับนั่งอยู่นั้น ฮ่องเต้ว่านลี่ก็ตรัสด้วยอาการฮึดฮัด จางเฉิงจัดเก็บฎีกาไปทูลไปพลางด้วยรอยยิ้มว่า
“ฝ่าบาท ตัวเลขนี้ออกมา เกรงว่าไทเฮาเองก็ทรงไม่อาจยอมรับได้ อย่าได้ตำหนิคณะเสนาบดีใหญ่เลยพะยะค่ะ”
พระพักตร์ฮ่องเต้ว่านลี่มีรอยแย้มสรวลประหลาด คิดจะตรัสอะไรสักอย่าง แต่พอจะตรัสก็กลับเงียบลง
****
“ใต้เท้า เตาหลอมเหล็กของเราที่นี่ไม่ดี มักจะต้องระวังลมและไฟเล็ดลอดออกมา ทางนั้นหลอมปืนใหญ่ไป ทางนี้ก็ให้ช่างมาหลอมเตาใหม่ไปด้วย จึงต้องใช้จ่ายเงินทองไม่น้อย”
เฉียวต้าหัวหน้าโรงตีเหล็กนำหวังทงอยู่ในโรงตีเหล็ก ในโรงตีเหล็กนอกจากพวกช่างมีฝีมือเกือบร้อยคนกับคนเรียนรู้งานกำลังยุ่งวุ่นวายกันแล้ว ชายฉกรรจ์จากค่ายฝึกที่แขวนตำแหน่งงานเป็นคนงานในร้านค้าหลายร้อยคนก็ช่วยงานกันอยู่ที่นี่ด้วย
เมืองเทียนจินในเดือนเจ็ดนี้อากาศก็ร้อนชื้นแล้ว ด้านนอกและด้านในโรงตีเหล็กยังมีคลื่นความร้อนมหาศาลจากเตาหลอมเหล็กผสมโรงเข้าอีก เดินอยู่ในนั้น หวังทงกับผู้ติดตามสองสามคนก็เริ่มเหงื่อไหลโซมกาย แผ่นหลังเปียกแฉะไปทั้งแถบ
ร้อนจนยากจะทนก็ไม่สน หวังทงจดจ่อดูงานต่อ ความมุ่งมั่นเช่นนี้ของเขาทำให้คนอื่นๆ ไม่กล้าชักช้า เฉียวต้ายิ่งต้องตั้งสมาธิให้มั่น
“ใต้เท้า ปืนใหญ่หลอมออกมามีข้อบกพร่องไม่น้อย สามกระบอกมีหนึ่งกระบอกได้มาตรฐาน ใช้เวลาไปไม่น้อย ช่วงก่อนหน้าที่ทดลองยิงก็เกือบเกิดเรื่อง ยังดีที่ช่างเป้ยอันคว้าถังน้ำมาดับดินปืนได้ทัน”
“เรื่องนี้ข้าได้รับรายงานแล้ว ไช่กงกง มอบรางวัล 100 ตำลึง จัดแต่งด้วยผ้าแดงให้ม้าเดินวนรอบค่ายหนึ่งรอบ”
หวังทงสั่งการน้ำเสียงนิ่งเรียบ ไช่หนานปาดเหงื่ออยู่ข้างๆ ก็รีบหยิบสมุดออกมาจด
เดินไปได้สองสามก้าว เฉียวต้าก็เห็นหม่าซานเปียวกับพวกตระกูลถานสองสามคนปาดเหงื่อกันไม่หยุด จึงรีบเข้ามายิ้มกล่าวว่า
“สถานที่หลอมปืนใหญ่ก็เป็นเช่นนี้ เข้าไปด้านในอีกหน่อยเป็นเตาหลอมเหล็ก ยิ่งร้อนกว่านี้ และก็ไม่มีอะไรให้ดู ใต้เท้าทุกท่านกลับไปที่เรือนไม้ที่นอกค่ายก่อนเถอะ ที่นั่นอย่างไรก็เย็นกว่าที่นี่หน่อย!”
หวังทงส่ายหน้า ก้าวเท้ายาวไปข้างหน้าต่อ เฉียวต้าจึงไม่อาจกล่าวอะไรต่อ ได้แต่รีบเดินตามไป
มองสังเกตรอบๆ อย่างละเอียด หวังทงเดินออกไปข้างนอก เฉียวต้าก็ปาดเหงื่อบนหน้าผาก เพราะเขาโกงเงินถูกหวังทงจับได้และมีคำสั่งคาดโทษไว้หนัก เรื่องดีร้ายในโรงเหล็ก เรื่องปืนใหญ่หลอมออกมาได้หรือไม่ เป็นการตัดสินว่าศีรษะนี้จะได้อยู่ต่อไปหรือไม่ จึงได้ขยันขันแข็งเช่นนี้ แต่หวังทงปีนี้ยังอายุไม่ถึง 16 กำลังอยู่ในวัยชอบเล่นไปตามประสา แต่กลับมีจิตใจสงบนิ่งได้เช่นนี้ ทุกคนคิดแล้วก็ล้วนรู้สึกเหนือความคาดหมาย
“ถ่านหินกับฟืนไม้ที่นำมาเป็นเชื้อเพลิงต้องเก็บห่างจากเชื้อดินปืนไกลสักหน่อย อย่าได้เกรงความยุ่งยาก ข้ารู้ว่ารถใหญ่บรรทุกเชื้อเพลิงมาไกลหลายลี้ มาถึงค่ายค่อยขนถ่ายลง ลำบากมาก แต่หากเกิดเพลิงไหม้ขึ้นก็จะเป็นภัยอัคคีใหญ่ ระวังไว้ก่อนดีกว่า”
เฉียวต้ารีบรับคำ หวังทงมองรอบๆ อย่างละเอียดอีกรอบก่อนจะหันมายิ้มกล่าวว่า
“ก็อยู่ที่นี่อีกไม่กี่วัน อีกไม่นานเราก็จะย้ายโรงตีเหล็กนี้ไปริมแม่น้ำแล้ว ถึงตอนนั้นนำเข้าวัตถุดิบก็จะสะดวกมาก”
หากไปอยู่ริมแม่น้ำ ไม่เพียงแต่ใช้น้ำได้สะดวก แต่พวกเชื้อเพลิงและแร่เหล็กก็นำเข้ามาได้อย่างสะดวกเช่นกัน ย่อมเป็นเรื่องดี แต่หวังทงกลับกล่าวขึ้นมาลอยๆ ทุกคนก็ไม่เข้าใจอยู่บ้าง
พอพ้นออกจากเขตเตาหลอม หวังทงก็ส่งสัญญาณบอกให้เฉียวต้าไม่ต้องตามมา เห็นเฉียวต้าจากไปแล้ว ก็กล่าวกับถานเจียงเบาๆ ว่า
“เรื่องที่ข้าสั่งไปได้ความเช่นไร?”
“เรียนนายท่าน ตามคำสั่งนายท่าน เมื่อคืนนี้แรงงานและรถเทียมวัวเทียมม้าลงมือพร้อมกัน ไม่ให้ใครทันสังเกตเห็น ทำตามที่นายท่านสั่ง ตอนนี้ขนไปได้หกแล้ว!”
ได้ยินถานเจียงรายงาน หวังทงก็พยักหน้า กล่าวน้ำเสียงราบเรียบว่า
“พลทหารที่แม่ทัพชีส่งมาก็ต้องเลี้ยงดูให้ดี พลทหารเราก็ต้องรีบเรียนรู้ให้ไว ถึงตอนนั้นต้องใช้งานก็อย่าได้ทำให้เสียงานใหญ่”
หวังทงกำชับจริงจัง ถานเจียงรีบรับคำ ขณะที่สนทนาก็เดินมาถึงข้างโรงตีเหล็ก หม่าซานเปียวด้านหลังก็ถอนหายใจยาว แหวกคอเสื้อออกแสยะยิ้มสบถขึ้นว่า
“ร้อนจะตายอยู่แล้วเนี่ย เดินไปรอบเดียวแทบย่างสุกแล้วเนี่ย”
ทุกคนฮาครืนขึ้นพร้อมกัน หลี่หู่โถวสบตากับหวังทง กำลังคิดจะทำตามแหวกเสื้อด้านบนออกก็กลับถูกหวังทงเคาะหัว ตำหนิว่า
“รักษาภาพลักษณ์หน่อย ตนเองละเลยตนเอง วันหน้าจะนำกองทัพให้ดีได้อย่างไร”
หลี่หู่โถวได้แต่จัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อยด้วยสีหน้าฝืดเฝื่อน หม่าซานเปียวเองก็จัดเสื้อผ้าให้เข้าที่อย่างไม่อยากจะทำนัก หวังทงถามขึ้นว่า
“งานทางเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง!”
“คัดเลือกพลทหารที่ขี่ม้าเป็นออกมาได้สองร้อยนาย ทั้งวันฝึกกันบนหลังม้า แต่ละคืนออกไปวิ่งรอบหนึ่ง ตอนแรกๆ ยังเห็นเงาดำๆ แวบไปมาว่ามีคน ครั้งหลังๆ ก็ไม่เห็นแล้ว ใต้เท้าอวี๋กับพี่ถานยังนำพลทหารราบออกลาดตระเวนอยู่เป็นระยะ หมาแมวเล็กน้อยพวกนั้นไม่กล้ามาแล้ว เล็กกว่านั้นก็ไม่รู้แล้ว”
หวังทงชี้หม่าซานเปียวสบถด่าไปหลายประโยค เจ้านี่ทำตัวสบายจนเคยชิน ไม่ว่าตอนไหนก็ไม่เคยมีท่าทีเป็นการเป็นงาน แต่งานที่รับหน้าที่ก็ทำได้ไม่เลว จึงไม่ค่อยได้จำกัดกิริยาอันใด
ทางนี้กล่าวจบ ทุกคนก็เดินเข้าไปในเรือนไม้ ไช่หนานตามมาด้านหลังกล่าวว่า
“ใต้เท้า ตอนนี้หลอมได้สิบกว่ากระบอกแล้ว ตรงตามจำนวนที่กำหนดไว้ก่อนหน้าแล้ว หากหลอมต่อไป เกรงว่าจะกินเงินกินทองอีกมหาศาล เงินทองที่ส่งมาจากเมืองหลวงยังไม่มา หยุดไว้ก่อนได้หรือไม่”
หวังทงโบกมือ กล่าวน้ำเสียงจริงจังว่า
“ไม่มีเงินก็ใช้เงินที่เก็บไว้ ยังไม่พออีกข้าก็จะไปหยิบยืม ปืนใหญ่พอแล้วก็จริง แต่ก็ต้องเตรียมการต่อ ไม่ใช่ว่าพอพังแล้วไม่มีทดแทน!”
ทางนี้กำลังคุยกัน ด้านนอกก็มีเสียงฝีเท้าคนวิ่งมาอย่างเร็ว เป็นทหารรักษาการณ์ประจำวันนี้คนหนี่ง มาถึงเบื้องหน้าก็ทำความเคารพก่อนจะรายงานว่า
“ใต้เท้า ในเมืองมีแขกมีขอพบ นายกองร้อยซุนบอกว่าแขกเร่งด่วนให้มาตามใต้เท้ากลับไป”
“แขกเร่งด่วนอะไร!?”
หวังทงงง พลทหารผู้นั้นหยิบจดหมายลงครั่งส่งให้หวังทง กล่าวว่า
“ใต้เท้าโปรดตรวจสอบครั่งก่อนแล้วค่อยเปิดอ่านก็จะรู้ขอรับ นายกองร้อยซุนกำชับข้าน้อยว่าต้องปิดเป็นความลับ ยังตามใต้เท้าถานท่านหนึ่งที่ประจำอยู่ที่นั่นมาเขียนชื่อให้”
ซุนต้าไห่ไม่รู้หนังสือ ทำเช่นนี้ก็เพื่อเป็นความลับ ครั่งยังคงเรียบร้อยดี พอเปิดจดหมายออกอ่าน ในนั้นเขียนเพียงไม่กี่ประโยคง่ายๆ
“เมืองหลวงคณะเสนาบดีใหญ่มีคนนำจดหมายมา ให้แขกรออยู่ที่จวน รีบกลับ!”
คณะเสนาบดีใหญ่ หวังทงได้ยินชื่อนี้แล้วก็อึ้งค้างไปเล็กน้อย คณะเสนาบดีใหญ่ล้วนเป็นคนสนิทของมหาอำมาตย์จางจวีเจิ้ง มาหาตนพร้อมจดหมายมีเรื่องอันใดกันแน่
พออ่านจบ หวังทงก็ขยำเป็นก้อนกลมยัดลงกระเป๋าเสื้อ ยิ้มกล่าวกับหลี่หู่โถวว่า
“หู่โถว ตอนนี้เจ้าเป็นพลทหารคนหนึ่งของค่ายหนึ่งแล้ว ตั้งใจทำให้ดี หากทำได้ดี ก็จะให้เจ้าเป็นหัวหน้าหน่วย หากทั้งค่ายยอมสยบให้เจ้า ถึงตอนนั้นก็จะให้เป็นหัวหน้าค่าย!”
อยู่ๆ ก็มีภารกิจเช่นนี้ หลี่หู่โถวยืนงงอยู่ตรงนั้นไม่รู้จะทำเช่นไรดี หวังทงยิ้มตบบ่าเขากล่าวว่า
“ไปหาศิษย์พี่เจ้าให้ช่วยเจ้าจัดการ ข้ามีเรื่องด่วนต้องเข้าเมืองแล้ว!”