ตอนที่ 283 พบกันครั้งแรก แอบเสียเปรียบ
คณะเสนาบดีใหญ่ส่งคนมาพบตน หวังทงคิดแต่เรื่องนี้ตลอดทางกลับ
พลทหารที่มาส่งจดหมายก็ทำการไม่รอบคอบนัก ตนคิดว่าเป็นความลับแล้ว ไม่มีใครเอ่ยชื่ออันใด แต่เอ่ยคำว่าคณะเสนาบดีใหญ่ออกมา ยังมีอันใดไม่กล่าวอีกหรือ?
คณะเสนาบดีใหญ่ตอนนี้มีทั้งหมดห้าคน จางจวีเจิ้ง จางซื่อเหวย เซินสือหัง หม่าจื้อเฉียงและหลี่โย่วจือ ย่อมไม่ใช่จางจวีเจิ้ง ที่เหลือก็เป็นพรรคพวกจางจวีเจิ้ง
จะเป็นผู้ใดกัน ตั้งแต่เรื่องยับยั้งการไว้ทุกข์ครั้งนั้นแล้ว แม้ว่าหวังทงเป็นคนออกความเห็นให้ฮ่องเต้ยับยั้งไว้ แต่กลับทำให้หวังทงกลายเป็นตะปูเกะกะนัยน์ตาของจางจวีเจิ้ง
ตามมาด้วยเรื่องต่างๆ ที่หวังทงเสนอออกมา แต่ละมาตรการ หวังทงกับจางจวีเจิ้งก็ยิ่งอยู่กันคนละข้าง หวังทงเองไม่อยากปะทะด้วย หากมหาอำมาตย์จางยังเห็นเขาเป็นขุนนางชั่วคอยสอพลอฮ่องเต้อยู่เหมือนเดิม
ตอนนี้มหาอำมาตย์จางเป็นหัวหน้าขุนนางในราชสำนักหมิง เป็นปรปักษ์กับเขานั้นก็เท่ากับเป็นปรปักษ์กับขุนนางบุ๋นทั้งมวล ทำให้ก้าวเดินไปข้างหน้าแต่ละก้าวยากลำบาก การปกป้องจากฮ่องเต้ว่านลี่กับการกระทำการด้วยความระมัดระวังของหวังทง ในวันนี้จึงได้ไม่มีเรื่องอันใดเกิดขึ้น
แต่หากเป็นเช่นนี้ต่อไป หวังทงรู้สึกว่าตนเองช่างโดดเดี่ยวเดียวดาย คณะเสนาบดีใหญ่มีคนส่งจดหมายถึง ทอดสะพานมาให้เช่นนี้ ย่อมไม่ใช่งานหลวง
ผู้ใดส่งจดหมายส่วนตัวมาถึงตนกัน ผู้ใดต้องการคุยอะไรส่วนตัวกับตนกัน จางจวีเจิ้งย่อมมีจุดยืนที่จะคบหาเป็นส่วนตัวกับตนแน่นอน แต่อีกสี่คนที่เหลือ ไม่ว่าผู้ใดติดต่อมาหาตน ก็เท่ากับว่าฝ่ายนั้นลดการป้องกันแล้ว
ก่อนถูกมือธนูลอบสังหาร หวังทงเข้าออกเมืองมักมีแค่นายทหารติดตามสามถึงห้านาย แต่ตอนนี้มีถึงห้าสิบนายคอยอารักขา ล้อมเขาไว้ตรงกลาง
เมืองเทียนจินเดิมไม่ใช่สถานที่กว้างใหญ่อันใด หากมีการซุ่มโจมตีจริง ขอเพียงทหารห้าสิบนายนี้รวมกำลังป้องกัน ภายในครึ่งชั่วยามองครักษ์เสื้อแพรทั้งในและนอกเมืองก็ย่อมตามมาช่วยได้ทัน
พอเข้าเมืองมา ไม่ไกลมากก็มาถึงหอกลอง เห็นซุนต้าไห่ถือดาบปักวสันต์ยืนอยู่หน้าประตูเดินไปมา พลทหารองครักษ์เสื้อแพรก็กระจายกำลังกันประจำบนท้องถนนและตามจุดต่างๆ
พอเห็นหวังทงมาถึง มีคนรีบร้อนวิ่งออกมารับ หวังทงมาถึงหน้าประตูจวนลงจากหลังม้า ซุนต้าไห่ก็เข้ามากระซิบว่า
“บอกว่าเป็นชิงเค่อผู้ขายศิลปะที่ถูกขับออกจากจวนเซินสือหัง ได้เชิญให้เข้าไปนั่งรอในจวนแล้ว”
“เซินสือหัง เสนาบดีกรมพิธีการผู้นั้นหรือ?”
หวังทงถามอย่างแปลกใจ ซุนต้าไห่พยักหน้าจริงจัง หวังทงส่ายหน้า คิดไม่ถึงว่าจะเกี่ยวข้องกับเซินสือหัง
ขุนนางใหญ่ในราชสำนัก จางซื่อเหวยอยู่กรมทหาร หม่าจื้อเฉียงอยู่กรมอากร หลี่โย่วจืออยู่กรมขุนนาง สามคนนี้แม้ว่าฟังแต่คำสั่งของจางจวีเจิ้ง แต่ก็มาจากหน่วยงานต่างกัน กรมทหาร กรมอากร กรมขุนนางล้วนเป็นกรมใหญ่ อำนาจเงินทองมากมายมหาศาล ก้าวขึ้นมาแต่ละชั้น แต่ละคนก็ย่อมมีผู้ติดตามมาเป็นลำดับ
แต่เซินสือหังมาจากกรมอาญา ไม่มีอำนาจแท้จริง ปลายรัชสมัยเจียจิ้งกับรัชสมัยหลงชิ่งเกิดคดีใหญ่หลายครั้ง กรมอาญาเปลี่ยนเสนาบดีไปหลายคน อย่าว่าแต่ตำแหน่งเลย รักษาตัวเองให้รอดอยู่ได้ก็นับว่าโชคใหญ่แล้ว
คนอื่นๆ มาร่วมคณะเสนาบดีแล้ว เห็นมหาอำมาตย์จางครองอำนาจผู้ดียว ตนเองเป็นได้แค่ตัวประกอบ บางทีในใจอาจรู้สึกคับแค้น บางทีอาจอยากหาทางต่อต้าน คิดอยากจะหากำลังหนุนที่ไม่อยู่ในอำนาจจางจวีเจิ้ง
เมืองหลวงมีคำกล่าวว่า “เรื่องใหญ่ถามจางใหญ่ เรื่องเล็กหาจางเล็ก” จางจวีเจิ้งตัดสินทุกอย่าง จางซื่อเหวยจัดการเรื่องเล็ก กล่าวอีกอย่างหนึ่งก็คือ หากไม่มีจางจวีเจิ้ง จางซื่อเหวยก็ยังยืนในตำแหน่งมั่นคงต่อไปได้ หม่าจื้อเฉียงกับหลี่โย่วจือไม่เหมือนกับจางซื่อเหวย แต่ก็มีสถานการณ์คล้ายกัน
เซินสือหังกลับไร้หนทางที่จะทำเช่นนี้ได้ เขาสามารถมาสู่ตำแหน่งนี้ได้ ล้วนอาศัยการสนับสนุนและให้เป็นรางวัลจากจางจวีเจิ้งทั้งสิ้น ในกรมพิธีการเขาเองก็เป็นคนใหม่ โดดเดี่ยวตัวคนเดียว
ก็เท่ากับทุกอย่างล้วนพึ่งพาจางจวีเจิ้ง แต่กลับส่งคนมาติดต่อหวังทงทางนี้ ในนี้ย่อมมีสาเหตุ อยากรู้เหลือเกินว่าเรื่องอะไรกัน
“ข้างนอกมีคนจับตาดูอยู่มาก พวกนั้นยังไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอันใด ย่อมต้องพยายามหาทางสืบข่าวกันสุดชีวิต พวกสาวใช้และเด็กรับใช้ในจวนเราก็ต้องจับตาดูไว้ให้ดี!”
พอลงจากหลังม้า หวังทงก็ยิ้มกระซิบกับซุนต้าไห่ ซุนต้าไห่พยักหน้ากระซิบตอบว่า
“ใต้เท้าสั่งการได้ถูกต้อง ด้านในที่ไว้ใจไม่ได้พวกนั้นได้จัดไปดูงานอื่นแล้ว พี่น้องเราคอยดูแลด้านใน คนผู้นั้นกำลังรออยู่ที่ห้องรับแขกด้านใน!”
ตบบ่าซุนต้าไห่ก่อนจะเดินเข้าไป พอเดินไปถึงก็เห็นบัณฑิตในชุดสีน้ำเงินเข้มนั่งรออยู่ในห้องรับแขก
พอเข้าไปถึง ซุนต้าไห่ก็กล่าวเสียงดังขึ้นว่า
“ท่านหยาง ท่านนี้คือนายกองพันเรา!”
บัณฑิตในชุดน้ำเงินเข้มตัวยาว ผิวพรรณขาวผ่อง หนวดเคราและเล็บล้วนเล็มเรียบร้อย ท่าทางนุ่มนวลมีมารยาท แสดงว่าฐานะทางบ้านไม่เลว เป็นพวกเคยออกงานออกหน้าออกตา
หวังทงมองแวบแรกก็วิเคราะห์ในใจได้ทันที แต่บัณฑิตผู้นั้นเห็นหวังทงแวบแรกกลับมีท่าทางตกใจอย่างมาก ท่าทางเช่นนี้ก็ไม่แปลกอันใด
พวกที่พอจะรู้จักสังเกตพอเห็นหวังทงแล้วก็จะอึ้งและตกใจเช่นนี้ อายุหวังทงไม่มาก แต่รัศมีที่ฉายออกมากับอากัปกิริยาท่าทางกลับเหมือนว่าอายุ 30 กว่าขึ้นไป เหมือนว่าอายุเช่นนั้นจึงจะมีท่าทีเป็นผู้ใหญ่เช่นนี้ได้
บัณฑิตผู้นั้นก้มตัวคำนับอย่างนอบน้อมพอดีพองาม เอ่ยขึ้นว่า
“ข้าน้อยหยางซือเฉิน คารวะใต้เท้า”
“ท่านมีสถานะอันใด?”
การแต่งกายลักษณะเช่นนี้ย่อมมีสถานะ หากหวังทงได้คบค้าสมาคมกับพวกบัณฑิตลัทธิขงจื่อมากหน่อย ก็ย่อมมองสถานะออกได้ในทันที คำถามที่ถามอย่างไม่ทันตั้งตัวเช่นนี้ หยางซือเฉินกลับไม่ได้ตกใจ ยังคงรักษาท่าทีดังเดิมตอบกลับไปว่า
“เรียนใต้เท้า ข้าน้อยเป็นบัณฑิตระดับจวี่เหริน”
หยางซือเฉินตกใจกับอายุของหวังทง นายกองพันอายุ 16 ปี ไม่นับว่ากระไร เมืองหลวงลูกหลานชนชั้นสูงออกจากท้องมารดามาบางคนก็เป็นนายกองพันแล้ว ตามที่ได้ยินมาแต่ละเรื่องในเมืองหลวง หวังทงที่พยายามใช้เล่ห์อุบายหลอกล่อให้ฮ่องเต้พอพระทัยแล้วค่อยๆ ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่ง เป็นพวกเจ้าเล่ห์ชั่วร้าย เป็นพวกนักเลงเหิมเกริมอวดเบ่ง แต่พอได้พบหน้า หยางซือเฉินกลับไม่รู้สึกถึงความชั่วร้ายอันใด
นอกจากใบหน้าที่ยังคงเด็กน้อยของหวังทงแล้ว ที่เหลือนั้นก็เป็นผู้ใหญ่สงบนิ่งอย่างยิ่ง และยังไม่ใช่ท่าทางเหมือนแสร้งทำ ตั้งแต่เข้ามาในจวนนี้กับที่ได้พบได้ยินมาในเมืองเทียนจินนี้หลายวันนี้ หวังทงผู้นี้ก็ไม่เหมือนดังที่ได้ยินมา หวังทงผู้นี้ไม่ธรรมดา
หวังทงถามคำถามทั่วไปสองสามประโยค เช่นว่าที่บ้านยังมีผู้ใดอีกบ้าง ที่เมืองหลวงมีญาติอีกหรือไม่ แต่กลับไม่เอ่ยถึงเซินสือหัง
หยางซือเฉินคิดในใจว่าใต้เท้าผู้นี้รู้จักเก็บงำความรู้สึกได้ดี รอหวังทงถามจบ หยางซือเฉินกำลังจะเอ่ยต่อ หวังทงก็โบกมือยิ้มกล่าวว่า
“ท่านหยาง รออีกสักสองสามวัน รอให้ข้าส่งคนไปเมืองหลวงสอบถามความเป็นมาของท่านก่อน เราค่อยสนทนากันก็ไม่สาย กลับไปพักที่จวนในเมืองก่อน ทางข้าจะส่งคนไปคอยรับใช้สองสามคน ก่อนข้าได้ข่าวกลับมา ขอท่านอย่าได้ออกไปไหน เชิญกลับไปก่อน!”
หวังทงกล่าวได้นุ่มนวล กล่าวจบ พลทหารองครักษ์เสื้อแพรสองนายก็มายืนอยู่หลังหยางซือเฉิน หยางซือเฉินอึ้งไปก่อนจะกล่าวอำลาด้วยท่าทางไม่ทุกข์ร้อน
ในใจหยางซือเฉินประเมินหวังทงไว้สูงไม่น้อย ไม่เชื่ออันใดง่ายๆ ไม่รีบร้อน นี่เป็นคุณสมบัติประการหนึ่งที่ต้องมีของผู้คิดทำงานใหญ่ ตามหลักการกับตามอายุหวังทงแล้ว หากได้ยินว่าคณะเสนาบดีใหญ่ส่งคนพร้อมจดหมายส่วนตัวมา ควรต้องรู้สึกตื่นเต้นถึงจะถูก แต่อีกฝ่ายกลับแสดงท่าทีสงบนิ่งได้เช่นนี้
รอจนคนออกไป หวังทงเดินไปยังตู้หนังสือคว้ากระดาษและพู่กันออกมา บันทึกสิ่งที่หยางซือเฉินกล่าวมาลงไป คิดไปคิดมา แล้วก็เขียนสิ่งที่ตนสังเกตเห็นลงไป พับเก็บเข้าซองส่งให้ซุนต้าไห่กล่าวว่า
“ต้าไห่ ส่งคนไปเมืองหลวงหาใต้เท้าหลี่ว์ ให้ใต้เท้าตรวจสอบคนผู้นี้ให้ละเอียด ส่งคนสิบกว่าคนไปจับตาดูหยางซือเฉินไว้ ให้เงินใช้จ่ายไว้มากหน่อย คนในครอบครัวเขาไม่ให้ออกไปข้างนอกแม้แต่คนเดียว จากนั้นก็ให้น้าหม่าหาคนที่ไว้ใจได้ไปคอยรับใช้ จับตาดูทุกคนในบ้านไว้ มีการเคลื่อนไหวใดก็ให้รีบมารายงานทันที!”
ซุนต้าไห่รับคำแล้วกำลังจะออกไป หวังทงก็เรียกไว้กล่าวว่า
“อย่าได้ทำเหมือนเขาเป็นนักโทษ ต้องปรนนิบัติเหมือนเป็นนายท่าน รอให้ผลตรวจสอบเมืองหลวงส่งกลับมาค่อยจัดการ”
รับคำอีกครั้งก่อนจะก้าวเท้าออกไป หวังทงก็เรียกไว้อีก ซุนต้าไห่งงมาก มองหวังทงกล่าวน้ำเสียงราบเรียบว่า
“ในเมืองเทียนจินมีพวกแมลงตอมมากไป หากมีคนคิดใช้หยางซือเฉินมาเป็นเหตุหาเรื่อง ก็ต้องสังหารให้หมดทั้งบ้านดีกว่าให้คนนอกได้พบ เข้าใจไหม!?”
*********
ราชโองการปิดสำนักศึกษาส่งไปทั้งเขตปกครองเหนือใต้และแต่ละมณฑล ในเมื่อเป็นความต้องการของจางจวีเจิ้ง ขุนนางแต่ละพื้นที่ก็ย่อมจัดการให้อย่างเด็ดขาด มีผลงานให้ราชสำนักประจักษ์
เมืองหลวงย่อมมีข่าวลือเกินเลย ว่ากันว่าสำนักศึกษาที่มณฑลเจียงซีและเจ้อเจียงเป็นสำนักที่บรรดาลูกศิษย์ของจางซื่อเหวยตั้งขึ้น ขณะถกกันเรื่องในราชสำนักก็จะกล่าวกันมากมายเช่นว่า มหาอำมาตย์ทุ่มเทเพื่อบ้านเมือง เพื่อส่วนรวม งานมากมาย ย่อมมีเรื่องหลุดรอดไปบ้าง จางซื่อเหวยเป็นขุนนางมีความสามารถ เหตุใดจึงไม่แบ่งเบาภาระท่านบ้าง
ตั้งแต่รัชสมัยเจียจิ้ง ขุนนางในราชสำนักมาจากมณฑลเจียงซีและเจ้อเจียงไม่น้อย สำนักศึกษาในสองพื้นที่นี้คึกคักมาก เมืองหลวงก็เริ่มมีเสียดสีใส่กันบ้าง
เรื่องการบ้านการเมืองไม่อาจเข้าใจได้จากตัวหนังสือที่ปรากฏ “เรื่องหลุดรอดไปบ้าง” “แบ่งเบาภาระบ้าง” ความหมายซ่อนอยู่ภายใต้ตัวหนังสือนั้นกระจ่างชัดมากว่า จางซื่อเหวยไม่พอใจตำแหน่งรองอำมาตย์ในตอนนี้
ตั้งแต่มีคณะเสนาบดีใหญ่มา มหาอำมาตย์มีอำนาจในการเสนอความเห็นในฎีกาที่จะทูลเกล้า สั่งการให้คนใดคนหนึ่งในคณะเสนาบดีร่วมเสนอความเห็นกับมหาอำมาตย์ ซึ่งปกตินั้นคนผู้นี้ก็จะเป็นคนที่จะได้เป็นมหาอำมาตย์คนต่อไป จางซื่อเหวยได้ชื่อว่ารองอำมาตย์ในยามนี้ แต่อำนาจเสนอความเห็นกลับยังคงอยู่กับจางจวีเจิ้งเพียงผู้เดียว
มหาอำมาตย์จางจวีเจิ้งอาจจะใจกว้าง แต่บางเรื่องก็มีขีดจำกัด ไม่อาจแตะต้องได้ อำนาจในคณะเสนาบดีใหญ่เป็นเรื่องต้องห้ามของจางจวีเจิ้ง
การปิดสำนักศึกษาก็เพราะล่วงล้ำเส้นที่ขีดไว้ เดิมจางซื่อเหวยก็มีอำนาจเท่ารองอำมาตย์แล้ว ขาดแต่ชื่อเท่านั้น ก่อนหน้าก็กำหนดไว้แล้วว่าพอจางจวีเจิ้งกลับเมืองหลวงก็จะมีราชโองการให้เป็นที่แน่ชัด แต่บัดนี้ในวังนอกวังกลับเงียบไร้ข่าวคราว
จางซื่อเหวยภายนอกเหมือนไม่มีอะไร แต่ความจริงกำลังถูกบีบให้จนแต้ม ในเมืองหลวงล้วนเป็นคนฉลาด ทุกคนล้วนกระจ่างใจดี คนระดับจางซื่อเหวยย่อมไม่ใช้สำนักศึกษาในบังคับบัญชาตนมาออกหน้าเช่นนี้ วิธีการไม่รอบคอบเอาเสียเลย
คิดจะสืบเรื่องให้ถึงที่สุดก็ไม่รู้เริ่มจากไหน ปิดสำนักศึกษาไป อาจารย์และศิษย์ก็กระสานซ่านเซ็น จะไปสืบเรื่องจากไหน….