ตอนที่ 427 เหมือนออกลาดตระเวน ระวังไว้ก่อน
“ยามนี้หากอยู่เทียนจินเรา ใส่เสื้อหนาวหนาๆ นี้ออกไปเดินกลางวันคงได้เหงื่อแตก ทำไมที่นี่มันหนาวอย่างนี้!”
ตอนนี้เริ่มเห็นมองเห็นป้อมจางเจียโข่วไกลๆ แล้ว ดวงอาทิตย์บนท้องฟ้าขึ้นสูงแล้ว ชาวกองกำลังหู่เวยแต่ละคนกำลังห่อตัวหดคอสั้น หนาวจริงๆ หม่าซานเปียวดูแข็งแรงเสียงดังไม่น้อย นายกองพันบนหลังม้าตะโกนดัง
“นายกองหม่า เมืองเซวียนฝู่เราอยู่ตอนเหนือ ป้อมจางเจียโข่วก็อยู่เหนือของตอนเหนือ เดือนสองในเมืองหลวงอบอุ่นแล้ว แต่ที่นี่เดือนสามเข้าเดือนสี่จึงจะอบอุ่นขึ้นหน่อย!!”
“ซานเปียว อ้าปากโหวกเหวกอะไรกัน กลัวลมหนาวไม่เข้าท้องหรือไง นำคนของเจ้าไปตระเวนด้านหลัง อย่าให้กองกำลังเราเดินแตกแถวหายไป!”
หวังทงหันกลับมาตำหนิ หม่าซานเปียวรีบสะบัดแส้ใส่ม้าวิ่งออกไป นายกองพันบนหลังม้าไม่ได้อยู่ในชุดของกองกำลังหู่เวย เป็นนายกองพันแห่งเมืองเซวียนฝู่ที่ตระกูลลี่ส่งมานำทาง ในเมื่อตระกูลลี่ส่งมา นายน้อยเขาก็อยู่ในกองกำลังด้วย คนที่มานี่ก็เป็นคนตระกูลลี่ชื่อว่าลี่เวย อายุราว 30
คนผู้นี้ก็คือนายกองพันคุมกำลัง หากดูเหมือนพ่อค้ามากกว่า พูดไปปากก็ยิ้มไป ไม่ว่ากับผู้ใดก็สุภาพมาก วาจายังนุ่มนวล หากก็คล่องแคล่ว ตลอดทางมาก็แนะนำมาตลอด ให้ทหารในพื้นที่ระหว่างทางเตรียมเสบียงไว้ แต่ละป้อมก็จัดการเรียบร้อย ทรงประสิทธิภาพเยี่ยม
มีเขาอยู่ กองกำลังหู่เวยสะดวกสบายไม่น้อย
บุคคลเช่นนี้ หวังทงย่อมมีวิธีรับมือ ทุกวันส่งไป 10 ตำลึง รับปากว่าพอกลับไปจะมีของขวัญชิ้นใหญ่ ลี่เวยย่อมยิ้มแก้มปริ ยิ่งกระตือรือร้นมากยิ่งขึ้น
ลี่เวยอยู่ที่เมืองเซวียนฝู่มานาน คุ้นเคยกับทุกอย่างที่นี่มาก ให้คำแนะนำมากมาย เช่นว่าทหารม้าต้องเพิ่มเสื้อคลุมอีกตัว เพราะว่าวันหนาวที่สุด หากม้าวิ่งออกเหงื่อจะทำให้ล้มป่วยง่าย พอคนลงจากม้าก็ให้ใช้ผ้าคลุมคลุมม้าเอาไว้ ก็จะป้องกันได้
เดิมบอกว่าเป็นวิธีการปกป้องม้า หากคิดไม่ถึงว่าหวังทงจะกล้าจ่ายเตรียมไว้ให้ม้าหลายร้อยตัวเลยทีเดียว ลี่เวยยังแนะนำว่า รถใหญ่พวกนี้เกะกะ ไม่ควรเอาไปด้วย
อย่างไรก็มีใบเบิกทางตระกูลลี่ ตลอดทางก็เป็นทหารในสังกัด ย่อมต้องมีเสบียงพร้อมสรรพ เอารถใหญ่ไปด้วยทำให้เดินทางได้ช้า เสียเวลา
นอกด่านนั้นหนาวมาก รีบไปรีบกลับดีกว่า วนสักรอบกลับเซวียนฝู่จะดีกว่า พวกกระโจมอันใดก็สามารถไปเอาที่ป้อมจางเจียโข่วได้
แต่หวังทงที่พูดง่ายและสุภาพมากกลับปฏิเสธความคิดนี้ ลี่เวยเตือนอยู่หลายรอบ เห็นหวังทงไม่เห็นด้วยจึงเงียบไป แอบมานินทาลับหลังสนุกปากกับทหารติดตามตนเองว่า ไม่ควรเอาแต่อ่านตำราพิชัยสงคราม บางเรื่องปรับตามสภาพการณ์ไม่ดีกว่าหรือ
อย่างไรก็ตามเรื่องนี้ก็เป็นเรื่องเล็ก ทุกคนปฏิบัติงานได้ดีไม่เลว ไล่ม้าหม่าซานเปียวไป หวังทงก็ลูบใบหน้าสองสามที ยิ้มกล่าวว่า
“ลมราวมีดกรีดๆ ลมนี้กรีดผ่านใบหน้าราวมีดกรีดจริงๆ”
ลี่เวยรีบขี่ม้ามาด้านหน้า กระซิบกล่าวว่า
“ใต้เท้ามาทางเหนือครั้งแรก สามารถทำนลมหนาวได้เช่นนี้ ทหารทุกคนก็ทนไหว นับว่าอดทนไม่เลวแล้ว กองกำลังมังกรฝ่ายซ้ายที่มาคราก่อน ใบหูกับนิ้วมือหนาวหลุดร่วงไปหลายสิบนาย รีบเดินเถอะ ถึงป้อมจางเจียโข่วเมื่อไร ก็จะได้ผิงไฟอุ่น ดื่มสุราคลายหนาว”
หวังทงพยักหน้า ลี่เวยหันกลับไปมองยิ้มพูดว่า
“คุณชายเราถูกครอบครัวเอาใจมาหลายปี ไม่เคยรับความลำบาก แต่ยอมมากับใต้เท้า ทนลำบากได้จริงๆ”
หวังทงหันไปมอง เห็นหลี่หู่โถวและลี่เทา ซุนซิงกับเด็กหนุ่มหลายคนขี่ม้าอยู่ด้านหลังขบวนรถใหญ่ อย่างไรรถก็คันสูงใหญ่ ย่อมสามารถบังลมหนาวได้อยู่
************
ขนาดของป้อมจางเจียโข่วนั้นไม่เล็ก แม้ว่าจะมีคนพักอยู่ได้เพียง 1,600 คนเท่านั้น แต่พวกหวังทงเกือบ 4,000 ก็พออยู่ได้
ป้อมเป็นค่ายทหารด่านสุดท้ายก่อนออกนอกด่าน ดังนั้นจึงมีกฎระเบียบให้เตรียมการพร้อมสำหรับกองทัพเซวียนฝู่ ไม่ว่าจะค่ายพักหรือเสบียงอาหารก็ล้วนมีเหลือเฟือ
หวังทงมาที่ป้อมนี้ สถานะสูงสุด นายกองพันที่นี่ก็ย่อมอุทิศที่พักตนให้พักอาศัย มีน้ำร้อนซุปร้อนส่งถึงที่ เป็นการพักผ่อนที่หาได้ยาก พอถึงกลางคืน ลี่เวยก็นำนายกองพันผู้นี้มาเข้าพบ
ทหารด้านนอกรายงานดังมา เชิญเข้าไป ลี่เวยเอ่ยขึ้นก่อนว่า
“ใต้เท้าหวัง ท่านนี้คือนายกองพันเลี่ยวเฉวียนจงประจำป้อมจางเจียโข่ว”
เลี่ยวเฉวียนจงนี้สูงใหญ่มีหนวดเคราเต็มหน้า ท่าทางองอาจกล้าหาญ ได้ยินลี่เวยแนะนำ ก็ก้มกายคำนับ กล่าวเสียงดังว่า
“คำนับใต้เท้า!”
ลี่เวยก้มลงยิ้ม กล่าวว่า
“ใต้เท้าหวัง นำพี่เลี่ยวมานี่ก็เพื่อให้เล่าเรื่องนอกด่านให้ใต้เท้าฟัง นายท่านเราสั่งมาว่า ทุกอย่างย่อมต้องให้ใต้เท้าสบายใจ พี่เลี่ยว พี่เล่าไป”
“ใต้เท้าหวัง ที่ใกล้ที่สุดนอกปากทางก็คือเผ่าหั่วเลย เผ่าเล็กราว 3,000 กว่าคน ยำเกรงเราอย่างมาก วันก่อนส่งทูตมากลับไปแล้ว ทักทายกันแล้ว ขอใต้เท้าวางใจ ไม่มีเรื่องใดเกิดขึ้นแน่นอน”
หลังจากเลี่ยวเฉวียนจงกล่าวตบ หวังทงก็สบายใจไม่น้อย ยิ้มพยักหน้า คิดไปคิดมาก็เปิดหีบไม้ใบหนึ่งออก หยิบเอาก้อนทองสองสามแท่งออกมาส่งให้กล่าวว่า
“กองกำลังหู่เวยมาไกล รบกวนนายกองพันเลี่ยวดูแลด้วย ลำบากทุกท่านแล้ว”
แท่งทองสองสามแท่งก็ราว 15 ตำลึง เลี่ยวเฉวียนจงดวงตาเปล่งประกาย ยิ้มกว้างรับไป หวังทงกล่าวต่อว่า
“ขากลับยังต้องพักที่นี่ รบกวนนายกองพันเลี่ยวด้วย ย่อมมีของขวัญขอบคุณมอบให้เพิ่ม!”
“ยินดีๆ ใต้เท้าเกรงใจแล้ว ค่ำแล้ว ใต้เท้าพรุ่งนี้ต้องเดินทางอีก เข้านอนให้เร็วหน่อยๆ”
ขากลับยังมีของขวัญขอบคุณ ย่อมมีผลประโยชน์มอบให้อีก ลี่อวิ๋นเซิ่งสั่งการมา เลี่ยวเฉวียนจงเป็นแค่นายกองพันเล็กๆ ย่อมไม่กล้าชักช้า หากก็ยังกังวลอยู่บ้าง ขุนพลหนุ่มกำลังฮึกเหิม ไม่รู้ว่าจะรับรองยากไหม คิดไม่ถึงว่าใต้เท้าท่านนี้ “เข้ากับคนง่าย” ยังมีทองแท่งหนักๆ ในมือ เลี่ยวเฉวียนจงได้รับประโยชน์เช่นนี้ ย่อมรู้สึกซาบซึ้งยิ่ง
“พี่เลี่ยวมองอันใดอยู่ ใต้เท้าหวังคนกันเอง ดูแลให้ดีย่อมได้รางวัลไม่น้อย!”
เป็นลี่เวยที่เข้ามาลากตัวออกไป ก่อนออกไป หวังทงยังหยิบก้อนทองคำโยนไป ลี่เวยรีบรับไว้ ยิ้มแก้มปริ
ยมบาลเจ้าของพื้นที่ใหญ่ แต่ใช่ว่าจะมองข้ามผีน้อยในพื้นที่ตัวจริง ลี่อวิ๋นเซิ่งฝากฝังมา ไม่ได้หมายความว่าตนเองจะอวดเบ่งได้ ตนเองแปลกถิ่น สร้างสายสัมพันธ์กับขุนนางท้องที่ให้ดีย่อมไม่ผิด เรื่องใหญ่ช่วยไม่ได้ แต่เรื่องเล็กก็ช่วยดูแลกันได้
ในโลกก่อนต้องติดต่อลูกค้า กับเลขาหรือลูกน้องของลูกค้าก็ต้องสร้างสายสัมพันธ์ที่ดี มักจะมีเรื่องที่ต้องขอความช่วยเหลือที่คาดไม่ถึง มาถึงยุคนี้ หวังทงแต่ไรมาจึงได้ให้ความสำคัญกับการซื้อใจคนผู้น้อยรอบกายคนใหญ่คนโต มอบผลประโยชน์ให้มากมาย
การมาเมืองเซวียนฝู่ครานี้ ดูแล้วก็เหมือนเดินทัพ ลี่อวิ๋นเซิ่งจัดการกระชับความสัมพันธ์ทั้งภายในและภายนอกให้อย่างดี หวังทงกับกองกำลังหู่เวยเดินทางแสดงแสนยานุภาพสักรอบก็พอ
คิดไม่ถึงเลยว่าชายแดนกับนอกด่านจะมีความสัมพันธ์เช่นนี้ ในเมืองหลวงหรือที่เทียนจินเองก็ยังเป็นทุกข์กับงบประมาณชายแดนกันอยู่ทุกปี เงินมากมายเพียงนั้น ยังคิดว่าจะรบกันเอาเป็นเอาตาย คิดไม่ถึงว่ากลับอยู่กันอย่างสามัคคีเพียงนี้ แม่ทัพใหญ่รวยเทียบได้กับท่านอ๋อง ท่านโหวเลยทีเดียว คนอื่นเล่าเรื่องราวกันสมจริง แต่วันๆ กลับสุขสบายเช่นนี้
*************
วันที่ 25 เดือนหนึ่งแล้ว เมื่อวานยังตากลมแรงอยู่แถวป้อมจางเจียโข่ว วันนี้กลับรู้สึกอบอุ่นเล็กน้อย
พักหนึ่งคืนมาก็เริ่มมีกำลังฮึกเหิมไม่น้อย อากาศวันนี้อุ่นขึ้นเล็กน้อย ทำให้ขวัญกำลังใจทหารฮึกเหิมขึ้นมาก ลี่เวยออกจากห้องมาก็ยิ้มตาหยีกล่าวว่า
“ใต้เท้าหวังช่างมีวาสนาใหญ่ ลมถึงกับหยุดพัด หากเป็นเช่นนี้ เดินทางผ่านหุบเขาย่อมไม่เป็นไร”
*************
พอออกจากหุบเขามาได้ราวครึ่งวันก็เข้าสู่ทุ่งหญ้า ทุ่งหญ้ากว้างไกลสุดลูกหูลูกตา หิมะกองเพนินยังไม่ละลาย หากออกมาจากป้อมจางเจียโข่ว ยังมองเห็นรอยล้อรถเป็นทางมุ่งสู่ทุ่งหญ้ากว้างใหญ่
“กล่าวกับใต้เท้าตามตรง ฤดูหนาวเช่นนี้ การค้าเกลือให้กำไรสูงมาก พวกม้าวัวนอกด่านก็ถูกมาก พ่อค้าไปมาไม่น้อย”
หวังทงถามขึ้น ลี่เวยไม่ปิดบังอันใด
ขณะเดินทางอยู่บนทุ่งหญ้า เห็นทุ่งหญ้ากว้างไกล หวังทงรู้สึกไม่สบายใจนัก ที่เรียกว่าฝึกซ้อม ก็คืดระยะทางออกนอกด่านมาทางเหนือระยะหนึ่ง จากนั้นก็ตั้งพักค่ายหนึ่งคืนแล้วก็กลับ
ไม่ว่าโลกก่อนหรือโลกนี้ หวังทงก็มาเยือนทุ่งหญ้าเป็นครั้งแรก รอบด้านว่างเปล่ากว้างไกลไร้จุดหมายทำให้รู้สึกถึงไอเข่นฆ่า ทำให้เขารู้สึกไม่ค่อยสบายใจ เดินไประยะหนึ่ง เห็นพระอาทิตย์ค่อยๆ เคลื่อนต่ำลง ปากทางด้านหลังก็เริ่มเป็นภาพเล็กลง หวังทงสั่งให้คนตามหม่าซานเปียวมา
พอมาถึง หวังทงก็ให้คนรอบๆ ถอยออกไป กล่าวอยู่บนหลังม้าว่า
“นำอาหารแห้งหนึ่งวัน นำกำลังของเจ้ากลับไปที่ปากทางวนสักรอบค่อยกลับมา ห้ามให้ผู้ใดพบเห็น เจ้านำกำลังม้าติดตามอยู่รอบๆ รู้ว่าทัพใหญ่อยู่ไหนก็พอ”
คำสั่งนี้ทำให้หม่าซานเปียวงง กำลังคิดถาม หวังทงก็กล่าวว่า
“ทหารม้าเจ้าให้ออกมาตระเวนทุกครึ่งชั่วยาม ต้องมาพบข้าจึงค่อยกลับไปหาเจ้าเปลี่ยนคนมาได้ หากครึ่งชั่งยามไม่เห็นคนของเจ้ามา หรือเจ้าไม่เห็นทหารกลับไป ก็รีบนำพลม้ามารวมตัวที่กองทัพใหญ่เราทันที ที่บ้าบอที่ไม่เห็นแม้แต่กระต่ายสักตัวเช่นนี้ อันตรายเกินไป แย่งกันเป็นการเตรียมพร้อม”
ได้ยินหวังทงสั่งการอย่างรอบคอบ หม่าซานเปียวก็จริงจังขึ้นมาทันที รับคำทันที ก่อนจะรีบนำทหารม้าวิ่งกลับไปตามคำสั่ง ทหารคนอื่นๆ พากันแปลกใจ บ้างก็มองอย่างอยากรู้อยากเห็น หวังทงสั่งคนตะโกนบอกไปว่า
“พรุ่งนี้เราจะกลับไปที่เซวียนฝู่ ให้พี่น้องพลม้าเราไปเตรียมการก่อน”
กล่าวจบ ทุกคนก็วางใจ
ถานเจียงที่อยู่ในกองม้าลาดตระเวนก็ขี่ม้าเข้ามาใกล้ ถามว่า
“นายท่านพบเห็นสิ่งใดหรือ?”
“ทุกอย่างเรียบร้อยดี หากที่นี่อย่างไรก็แดนศัตรู ระวังไว้ก่อน แยกทหารเป็นสองส่วนเตรียมไว้ก่อน ข้ากังวลคืนนี้ อาจมีคนโจมตีกลางดึก……”
“ไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับการโจมตีกลางดึก กลางคืนเรามองไม่เห็น คนอื่นก็มองไม่เห็นเหมือนกัน ระวังไว้ก็ดี พวกนอกด่านหากเคลื่อนไหวจริง ก็ต้องรอพรุ่งนี้พระอาทิตย์ยังไม่ขึ้น”
************
เช้าวันรุ่งขึ้น ชื่อเฮยในกระโจมอยู่ๆ ก็เด้งขึ้นจากเตียง จากนั้นหมอบลง หูแนบพื้น……