Skip to content

องครักษ์เสื้อแพร 444

ตอนที่ 444 รบนองเลือดสร้างกองทัพ ความชอบใหญ่กลับไม่ดี

ตอนจากเทียนจินไปนอกด่าน กองกำลังหู่เวยทุกคนต่างเต็มไปด้วยบรรยากาศตื่นเต้นที่จะได้ท่องเที่ยวตั้งค่าย ตลอดทางก็มีแต่เสียงสรวลเสเฮฮา

เส้นทางขากลับ จากเมืองเซวียนฝู่เข้าสู่เมืองซุ่นเทียนมา กองกำลังหู่เวยเริ่มผ่อนคลายลงเล็กน้อย แต่กลับไม่มีเสียงหัวเราะสรวลเสเฮฮา ทหารหลายพันนายสีหน้าเป็นผู้ใหญ่ขึ้นหลายส่วน เด็กหนุ่มเหล่านี้เริ่มเข้มแข็งเด็ดเดี่ยวเป็นผู้ใหญ่มากขึ้นแล้ว

เมืองเซวียนฝู่ติดกับเมืองซุ่นเทียน แต่อากาศที่เมืองซุ่นเทียนอบอุ่นกว่ามาก รถที่อัดแน่นไปด้วยเสบียงบดทับพื้นถนน ล้อรถกดลึกกว่าตอนขาไปมาก แต่ก็ยังไม่ถึงขั้นจมลงไปในพื้นผิวดิน

ได้เห็นภูเขาจิ่งซานข้างหน้า ทั้งขบวนทัพก็คลายกังวลลงได้อย่างแท้จริง เมืองหลวงอยู่เบื้องหนา เห็นชัดว่าจะถึงใจกลางแผ่นดินหมิงในไม่ช้า หลี่หู่โถวนำทหารม้านำไปก่อน ไปเมืองหลวงติดต่อขอนัดจางเฉิงกงกง รองหัวหน้าสำนักส่วนพระองค์

เทียบกับบรรดาทหารที่เป็นผู้ใหญ่ขึ้นแล้ว เด็กหนุ่มจากกองกำลังหู่เวยกลับดูผ่อนคลายมากกว่า ตอนไปก็ดูสบายๆ กลับมาก็ดูสบายๆ แต่เป็นคำว่าสบายที่ไม่เหมือนกัน ตอนไปไม่มีความกังวลอันใด ตอนกลับกลับเป็นหัวเราะครื้นเครง

**********

“ตั้งค่ายพักคืนนี้เสร็จ พรุ่งนี้ไม่ถึงเที่ยงก็ถึงเมืองหลวงแล้ว”

พระอาทิตย์ยังไม่ลับฟ้า กองกำลังหู่เวยก็เริ่มตั้งค่ายพัก แม้ว่ามาถึงใกล้ใจกลางแผ่นดินหมิงแล้ว แต่ยังคงทำตามแบบแผน ไม่มีประมาทแม้แต่น้อย

ถอดแผ่นไม้ลงจากรถใหญ่ แขวนแผ่นไม้ไว้นอกตัวรถ เชื่อมติดกันด้วยแผ่นไม้ แต่ครั้งนี้พวกสัตว์ที่นำมากลับไม่อาจให้อยู่ในวงล้อมรถได้ นับรถม้าลากรถ ขบวนม้าของกองทัพ ยังมีม้าดีหลายร้อยตัวที่นำกลับมาเทียนจิน ในค่ายไม่อาจมีที่พอให้อยู่ ได้แต่ให้อยู่นอกวงล้อม

ทหารจัดการตั้งค่ายรถศึกเสร็จ ด้านนอกแต่ละจุดก็ตั้งคานไม้ ขุดเป็นหลุม เริ่มตั้งหม้อต้มเตรียมทำอาหาร

พลม้าก็มิได้ว่างอันใด แม้ว่ารถใหญ่จะเต็มไปด้วยหญ้าแห้งเป็นเสบียงสัตว์เลี้ยง แต่สัตว์นับพันต้องกินก็นับได้ว่าไม่น้อย หญ้าแห้งบนรถเตรียมไว้ยามเร่งด่วน การตั้งค่ายทุกวันยังต้องออกลาดตระเวนเอาเงินไปซื้อหาจากชาวบ้านพ่อค้าในพื้นที่ จากนั้นก็นำกลับมาใช้เลี้ยงสัตว์

หวังทงและไช่หนานข้างๆ ก็คุยกันมาตลอดทาง พอเห็นเสียงพลม้าตะโกนเสียงดังอยู่ไกลๆ ก็ส่ายหน้าหันไปยิ้มกล่าวว่า

“นายกองไช่ พรุ่งนี้ส่งคนเราสองสามคนกลับไปเทียนจินก่อน ให้พวกเขาไปสร้างโรงม้าที่เมืองซุ่นเทียนใกล้กับเมืองหย่งผิง ให้พวกนาวาสุคนธ์และชาวบ้านทำคอกม้าให้เสร็จก่อน พวกหญ้าเลี้ยงสัตว์ที่เทียนจินน่าจะมีกักตุนไม่น้อย เมืองจี้โจวกับเมืองหย่งผิงก็ไม่ขาดแคลน ให้พวกจางซื่อเฉียงไม่ต้องประหยัดเงิน”

ไช่หนานมองทหารยุ่งกับงานไปก็ยิ้มพยักหน้ารับคำไป

“ม้าดี 500 ตัวนี้จะต้องดูแลให้ดี กองกำลังหู่เวยเราวันหน้าทัพม้าก็จะพึ่งพาพวกมันแล้ว ใต้เท้าพักก่อน ข้าไปดูการเตรียมอาหารค่ำก่อน”

“หัวหน้าค่ายอื่นเป็นพวกวางตัวชั้นสูง หัวหน้าค่ายเราเหมือนกับพ่อบ้านเสียอย่างนั้น ไช่กงกงอายุ 20 กว่า ขยันขันแข็งเช่นนี้ หาได้ยากยิ่ง”

“กองกำลังอื่นถูกส่งมาจากในวัง ไช่กงกงเป็นคนกันเอง จะเหมือนกันได้อย่างไร?”

ถานเจียงไม่ได้จะมาพูดสิ่งนี้ หันกลับไปมองทหารที่ยุ่งวุ่นวายกันการงาน ก็เอ่ยด้วยความรู้สึกพลุ่งพล่านว่า

“ผ่านศึกทุ่งหญ้ามา เด็กๆ กองกำลังหู่เวยเราก็เป็นทหารแท้จริง วันหน้าไม่กลัวการฆ่าฟัน ไม่กลัวสนามรบ เรียนได้เป็นทหารชั้นดี!”

ทหารหลายพันคนในวงล้อมค่ายรถศึก ควรจะชุลมุนวุ่นวาย หากที่นี่กลับเป็นระเบียบเรียบร้อย ทุกอย่างเป็นไปตามกระบวนการไม่สับสน ทหารไม่มีสีหน้าเหน็ดเหนื่อยอันใด ทุกคนต่างทำภาระหน้าที่ตนไป แสงสุดท้ายของพระอาทิตย์ฉายแสงอาบร่างพวกเขา ทำให้คนที่มองไปแล้วก็รู้สึกถึงกลิ่นอายความน่าเกรงขาม

หวังทงมองไปรอบ ๆ รู้สึกภาคภูมิใจล้นปรี่ออกมาจากใจ กองทหารเช่นนี้เป็นกองกำลังที่เขาสร้างขึ้นมาจากมือเปล่า และยังมีชัยชนะ มีแสนยานุภาพ รู้สึกภาคภูมิใจมาก ยิ้มกล่าวถ่อมตัวว่า

“หากสามารถเหมือนพวกลี่เทำได้ จึงจะเรียกได้ว่าทหารดี!”

“นายท่านก็ใจร้อนไปหน่อย หากเป็นเช่นนั้นได้ก็เรียกได้ว่าชั้นยอด ไหนเลยจะแค่ทหารดีธรรมดา……นายท่าน มีเรื่องหนึ่งขอเรียนว่า เมื่อเช้าวานนี้มีทหารม้าในเมืองหลวงมานำทาง ใต้เท้ารู้หรือไม่?”

ผ่านภูเขาจิ่งซานไปทางตะวันออกก็จะถึงเมืองหลวง พื้นที่ใกล้เมืองหลวงเช่นนี้ มีกองทหารผ่านมา ย่อมมีธรรมเนียมปฏิบัติ เหมือนเช่นตอนขาไป เมืองหลวงจะส่งทหารม้ามานำทาง และบังมีการเตรียมป้องกันพิเศษ เรื่องนี้หวังทงย่อมรู้ดี ตอนนี้กองทัพรถศึกกำลังตั้งค่ายพัก ระยะห่างไม่ถึงร้อยกว่าก้าวก็เป็นที่ตั้งกองกำลังจากเมืองหลวง ไช่หนานยังส่งคนนำสุราและเนื้อสัตว์ไปมอบให้

เห็นหวังทงพยักหน้า ถานเจียงสีหน้าลำบากใจ หากก็กระซิบไปว่า

“นายท่านตัดมาได้ 2,000 กว่าหัว รวมกับพวกที่นำกำลังไปโจมตีถึงค่าย รวมแล้ว 5,000 หัว แต่นายท่านเหลือไว้ที่กองกำลังหู่เวยเพียงแค่ 200 ที่เหลือขายให้ขุนพลเมืองเซวียนฝู่ไป เรื่องนี้จะ……”

หรือว่าคิดว่าเหลือหัวให้กองกำลังหู่เวยน้อยไป ทุกคนความดีความชอบไม่พอแบ่ง นี่คือวาจาตำหนิ? แล้วมันเกี่ยวอันใดกับกองกำลังจากเมืองหลวงที่มานำทางกัน?

หวังทงมองถานเจียงที่พูดแปลก ๆ แวบหนึ่ง นายทหารอายุ 40 ต้นๆ ผู้นี้แต่ไรก็พูดจาหนักแน่นเป็นการเป็นงาน เหตุใดวันนี้จึงอ้ำๆ อึ้งๆ ถานเจียงเห็นหวังทงมองมา ก็เอียงหน้าไปด้านข้างส่งสัญญาณ หวังทงมองตามไป ก็เห็นถานปิงถานเจี้ยนสองคนกำลังวุ่นกับงานอยู่

พวกเขาสองคน หนึ่งคนเป็นสายลับจากสำนักองครักษ์เสื้อแพร อีกหนึ่งคนเป็นคนของสำนักบูรพาจัดมา หวังทงเข้าใจความหมายของถานเจียง ถานเจียงกดเสียงให้ต่ำลงอีก อธิบายว่า

“พี่น้องเราสองคนนี้ แม้ว่ามีภารกิจลับอื่น แต่นิสัยนับว่าไว้ใจได้ นายท่านก็เห็นบนท้องทุ่งหญ้าที่ตั้งใจรบเต็มที่ แต่ก็มีภารกิจลับติดตัว ข่าวก็ย่อมไปถึงเมืองหลวง เมื่อวานทหารม้าที่มาจากกองกำลังเมืองหลวงก็ได้สนทนากับเขาสองคน วันนี้ยังไม่เห็นพวกนั้น เกรงว่าน่าจะกลับเมืองหลวงไปแล้ว ในวังและในราชสำนักรู้ อย่างไรก็คง……”

หวังทงยิ้มยกมือโบกไปมา กระซิบถามว่า

“ถานเจียง ราชสำนักตอนนี้เห็นความดีความชอบจากหัวศัตรูอันดับหนึ่ง เห็นหัวโจรมองโกลแล้ว พิสูจน์แล้ว ก็จะมีปูนบำเหน็จรางวัลใช่หรือไม่ จากที่ท่านประเมิน พวกเรา 2,200 หัวรายงานขึ้นไป ข้าจะได้เลื่อนตำแหน่งถึงระดับไหนกัน?”

“……หัวกับป้ายประจำตัวประกอบกัน พิสูจน์แล้วว่าจริง นายท่านรับรองได้ว่าได้บรรดาศักดิ์ระดับป๋อแน่ ตำแหน่งผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพรก็อาจได้ด้วย หากต้องเป็นทหารนอกเมืองหลวง อย่างไรก็ย่อมได้ตำแหน่งแม่ทัพใหญ่……”

ระดับป๋อ ผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพร แม่ทัพใหญ่ทั้งสามตำแหน่ง เป็นตำแหน่งสูงสุดที่ขุนนางบู๊ต่างปรารถนา

“……ทางนายท่านไม่จำเป็นต้องกล่าวถึงเลย ทุกคนในกองกำลังหู่เวยย่อมได้เลื่อนตำแหน่ง……”

แม้ว่าถานเจียงจะมีนิสัยสมถะ แต่กล่าวถึงเรื่องนี้ก็เริ่มตื่นเต้นไม่น้อย อย่างไรทหารที่ออกรบเสี่ยงชีวิตนั้นทำไปเพื่ออะไร หากไม่ใช่เพื่อเกียรติยศ ยศถาบรรดาศักดิ์ หวังทงเสมองไปยังที่อื่น กล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า

“ตัวข้าในใจของขุนนางผู้ใหญ่ในราชสำนักแต่ละคนแล้วอยู่ในฐานะอันใด ถานเจียงท่านก็น่าจะรู้ดี หากสามารถรับข้าได้ ไยต้องขับไล่ข้าออกจากเมืองหลวงด้วย หากยอมรับข้าได้ ไยต้องเปลืองแรงมากมาย ให้กองกำลังหู่เวยเราออกไปซ้อมรบทางเหนือนอกด่านด้วย ในวังและนอกวังเป็นเช่นนี้ หากข้ารายงานหัวที่ได้มาขึ้นไปตามจริง ไม่ปูนบำเหน็นไม่เลื่อนยศก็จะเสียธรรมเนียมปฏิบัติ ทำลายขวัญทหาร แต่หากให้ จะมีตำแหน่งให้ข้าได้ที่ไหนกัน ในเมืองไม่อยากให้รางวัลข้าหรือเลื่อนตำแหน่งข้า ก็ต้องป้องกันว่าข้าจะไม่พอใจ ยังต้องกลัวว่าข้าก้าวขึ้นไปจะแย่งตำแหน่งพวกเขา ถึงตอนนั้นทุกคนต้องสูญเสียกัน เกรงว่ามีหน้ามีเกียรติได้ไม่นาน จากนั้นคงได้โชคร้ายไปตลอดชีวิตนี้แล้ว”

กล่าวถึงตรงนี้ ถานเจียงก็ส่ายหน้าและตามมาด้วยเสียงถอนหายใจ หวังทงกล่าวต่อว่า

“ขายให้บรรดาขุนพลเมืองเซวียนฝู่ไป สร้างมิตรภาพกับพวกเขา วันหน้าทำการค้าจะได้สะดวก หัวพวกนี้ทิ้งไว้ที่ข้าก็ก่อแต่ความยุ่งยาก ไม่สู้เปลี่ยนเป็นเงินทอง หลายแสนตำลึงเข้ากระเป๋า นับว่าคุ้มค่าแล้ว”

กล่าวมาหลายคำ หวังทงก็โดดขึ้นไปบนรถ ถานเจียงตามขึ้นไป หวังทงยิ้มกล่าวว่า

“เรื่องพวกนี้อย่าว่าแต่ตอนนี้เลย เกรงว่าตอนพวกเราอยู่เมืองเซวียนฝู่คงมีคนส่งข่าวไปเมืองหลวงเรียบร้อยแล้ว อย่างนี้ก็ดี ทางนั้นยอมซื้อ เห็นประจักษ์ว่ากองกำลังเรามีผลงานจริง พวกเราไม่ต้องการผลงานนี้ กลับแบ่งให้พวกเซวียนฝู่ เกรงว่าทุกคนคงจะชมเชยว่าข้าใจกว้างรู้งานกันไปแล้ว”

“เฮ้อ นายท่านคิดการได้รอบคอบ เพียงแต่ผลงานความชอบใหญ่กลับไม่อาจรับไว้ ช่างรันทดเหลือเกิน”

ถานเจียงทอดถอนใจ หวังทงบิดขี้เกียจกล่าวว่า

“ไม่รันทด ฝ่าบาทปีนี้ยังไม่ 18 ชันษษ ข้าก็ยังไม่ถึง 18 ยังหนุ่มอยู่ รอไหว ไม่รีบ ไม่รีบ……”

*************

“ข้ามีภารกิจทหารอยู่ ไม่อาจเข้าเมือง ขอรบกวนจางกงกงออกนอกเมืองมา รู้สึกไม่ดีมาก ข้าน้อยหวังทงขอโขกศีรษะรับผิด”

กองกำลังหู่เวยเดินไปแต่เช้าได้สองชั่วยามก็หยุดพัก ลากรถม้าที่ปรับแต่งเป็นห้องมาเป็นที่รับแขก พอหยุดพักไม่ถึงหนึ่งเค่อ ก็มีรถม้าสีดำมาถึง

ให้จางเฉิงมาพบตน ช่างผิดธรรมเนียม พอประคองจางเฉิงเข้ามานั่งในรถม้าได้ เรื่องแรกที่หวังทงทำก็คือขอขมา จางเฉิงมีสีหน้ายิ้มแย้ม ลุกขึ้นประคอง กล่าวอย่างนุ่มนวลว่า

“คนกันเองทั้งนั้น ลุกขึ้นๆ ไยต้องมากพิธี หวังทง เจ้าสร้างความชอบใหญ่เช่นนั้นมา ในวังรู้แล้ว ทุกคนกำลังไม่เข้าใจ พวกขุนพลชายแดนทหารมากมายเพียงนั้นทำไม่ได้ เจ้าแค่ไม่กี่พันคนกลับทำได้ขนาดนั้น”

“ลำบากกงกงแล้ว ข่าวการรบทั้งหมดเขียนรายงานคร่าวๆ แล้ว กลับถึงเทียนจินปรับแก้ให้ดีสักหน่อย ก็จะส่งม้าเร็ซนำไปเมืองหลวง จะต้องถวายให้ฝ่าบาทได้ทอดพระเนตรอย่างแน่นอน”

“เร็วหน่อยก็ดี ฝ่าบาทพระทัยร้อนอยากทอดพระเนตรแล้ว หากเป็นฉู่เจ้าเหรินทำการเช่นนี้จริง ข้าเองก็อยากดูว่าจะฉู่เจ้าเหรินจะทูลแก้ตัวอย่างไร”

ได้ยินจางกงกงกล่าวเช่นนี้ หวังทงก็ลังเลครู่หนึ่งก่อนจะคำนับกล่าวว่า

“จางกงกง ฉู่กงกงทางนั้หากคิดทำอะไรข้าน้อยจริง ก็ไม่จำเป็นต้องคิดวิธีการให้วุ่นวายใหญ่โต ฉู่กงกงปฏิบัติงานมานานหลายปี ย่อมไม่ลงมืออย่างไม่รู้กาละเช่นนี้”

จางเฉิงมองหวังทง สีหน้ายิ้มแย้มกว้างขึ้นอีก พยักหน้าเอ่ยชมว่า

“เจ้าคิดได้กระจ่างแท้……”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version