Skip to content

องครักษ์เสื้อแพร 447

ตอนที่ 447 กำไรมากมี ล้วนเพื่อใจคน

“……ข้าย่อมไม่ปล่อยให้ครอบครัวทุกท่านต้องลำบาก ไปอย่างวางใจเถอะ!”

ณ ลานค่ายตอนเหนือของเทียนจิน หวังทงยืนกล่าวอยู่บนเวทีไม้ กล่าวจบ ก็หันไปคำนับยังทิศเหนือ จากนั้นก็มีเสียงกลองประสานเสียงทำนองโศกเศร้าดังขึ้น ครอบครัวพวกทหารที่สละชีพกำลังร้องไห้คร่ำครวญ

การสู้รบนอกด่านนั้น กองกำลังหู่เวยไม่ได้แตกขบวน และยังหลบอยู่หลังค่ายรถศึก ทหารบาดเจ็บล้มตายไม่มาก ทหารตายไปหกล้วนเป็นเพราะบาดเจ็บจากธนูที่ยิงข้ามมา

พอกลับถึงเทียนจิน ก็ใกล้เดือนสามแล้ว เทียนจินมีพ่อค้ามากมายมากันแล้ว พวกมีหน้ามีตาต่างมาขอพบ หากหวังทงปฏิเสธไป

พวกแรงงานที่สร้างโรงม้าอยู่ถูกเรียกตัวกลับมาอย่างเร่งด้วยเกือบพันมาสร้างศาลขึ้นที่นี่ เพื่อเป็นศาลวีรชน ไว้สำหรับตั้งป้ายวิญญาณวีรชนผู้กล้าของกองกำลังหู่เวยที่สละชีพในสนามรบ

หลังพิธีฝัง หวังทงยังเชิญคนมาปรึกษาหารือ แม้ว่าหลายคนไม่เข้าใจ แต่หวังทงก็ไม่ปล่อยเลยตามเลยแม้แต่น้อย

วันที่ 2 เดือนสาม กองกำลังหู่เวยรวมกำลังพลยืนสงบนิ่งอยู่บนลานฝึก หวังทงเอ่ยรายนามวีรชนแต่ละคนด้วยเสียงดังกังวาน แบะยังมองเงินและรางวัลให้กับครอบครัววีรชนอีกมากมาย……สุดท้ายก็ยิงปืนใหญ่ขึ้นพร้อมกันหลายกระบอก

“น้องสาม เจ้าเห็นไหม ทุกคนในกองกำลังหู่เวยยืดตัวตรงอย่างภาคภูมิใจ แม้แต่ตอนที่นายท่านนำทัพ ก็คิดไม่ได้คิดวิธีการเช่นนี้ออกมา”

“พี่ใหญ่เห็นกองกำลังรักษาความปลอดภัยและชายฉกรรจ์สำนักนาวาสุคนธ์นั่นไหม พวกที่มามุงดูกัน สีหน้าอิจฉาอย่างมาก น่ากลัวคงอยากให้คนที่ตายไปเป็นพวกเขาเอง”

ผู้ที่คุยกันก็คือถานเจียงและถานปิง พวกเรามองอย่างสำรวจ พิธีการน่าเกรงขาม บรรดาทหารหาญยืดอกภาคภูมิ ชายฉกรรจ์รอบๆ พากันมองด้วยความอิจฉา

นี่คือการรู้สึกถึงการเป็นส่วนหนึ่ง เป็นเกียรติยศ ให้พวกเขาทุกคนรู้สึกว่าทำเช่นนี้คุ้มค่าแล้ว สละชีพเพื่อกองทัพและกลุ่มนี้นับว่าเป็นเกียรติ

มีคนเห็นหวังทงแจกเงินด้วยตนเอง ยังกล่าวผลประโยชน์ตอบแทนอื่นๆ พวกนั้น ทหารที่สละชีพได้รับการเรียกขานว่า ‘วีรชน’ ได้เข้าไปตั้งกราบไหว้ในศาลนั่นเป็นเรื่องจับต้องไม่ได้ แต่ครอบครัวได้รับการเว้นภาษี 50 ปีนี่สิของจริงจับต้องได้ และลูกหลานวีรชนยังได้สิทธิพิเศษอื่นๆ อีกมากมาย

หากว่าการค้าที่คึกคักถึงขีดสุดของเทียนจินตอนนี้แล้ว การเป็นคนงานในร้านเหล่านั้นว่าดีแล้ว แต่การทำงานก็ต้องมีคนรับรอง ต้องให้ศาลทางการออกเอกสารรับรองไปทำงานที่ที่ทำการทางการที่เก็บเงินและปฏิบัติงานระดับบริหารได้ก็ดี แต่ก็คัดเลือกกันเข้มงวดมาก

หากลูกหลานวีรชน ก็จะให้สำนักองครักษ์เสื้อแพรเทียนจินรับรอง ให้เอกสารรับรอง เป็นทหารหรือรับราชการ ก็ได้สิทธิพิเศษ หากมีปัญหากับผู้อื่น ก็จะมีสำนักองครักษ์เสื้อแพรออกหน้าหนุนหลัง

แม้เงื่อนไขพวกนี้จะมีระยะเวลาจำกัด แต่อย่างไรก็นับว่าพิเศษจริง เหมือนคนในครอบครัวสอบผ่านตำแหน่งบัณฑิต

“โอ้โห! เงื่อนไขเช่นนี้ ส่งลูกหลานไปตาย ก็นับว่าคุ้ม”

“ดูท่าเจ้าสิ ส่งลูกเจ้าไป อีกฝ่ายไม่รู้จะรับไว้ไหม แต่ว่า ได้ยินว่าเป็นทหารในกองกำลังหู่เวย เงินทองพอเพียง มีอาหารกินอิ่มท้อง ออกรบก็ชนะ มีเป็นทหารที่นี่ ก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอันใด……”

ไม่เพียงแต่เสียงวิพากษ์วิจารณ์ของบรรดาทหารในกองทัพ แม้แต่ราษฎรที่มุงดูต่างก็พากันคิดไปต่างๆ นานา ไม่ว่าอย่างไร พิธีศพครั้งนี้นับว่าได้ผลเกินคาด

*************

ขณะเลิกแถว ถานเจียงกับถานปิงเดินอยู่ด้านหลัง พวกขุนพลตระกูลถานมีสถานะสูงส่งในกองกำลังหู่เวย ทุกคนล้วนให้ความเคารพ สองคนคุยกัน คนอื่นย่อมหลีกทาง

“น้องสาม กองกำลังหู่เวยนี้อีกสองสามปี ก็คงพอที่จะเรียกได้ว่ากองกำลังเข้มแข็งใต้หล้าได้กระมัง!”

“ไม่เพียงแค่นี้ๆ ได้ยินใต้เท้าหวังเคยบอกว่า หากทำตามวิธีการของเขา อีกสองสามปี นี่ไม่กล้าคิดเลยจริงๆ”

ได้ยินคำชมของถานปิง ถานเจียงก็ยิ้มพยักหน้า กล่าวต่อว่า

“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เจ้ากับถานเจี้ยนก็ไม่น่าจะรายงานทุกเรื่อง กองกำลังเข้มแข็งเช่นนี้ไม่ใช่สิ่งที่นายท่าถานเราต้องการหรอกหรือ ใต้เท้าหวังอายุยังน้อย ทำการบางครั้งก็เกินเลยไปบ้าง หากเกิดเหตุใดที่ไม่ตรงใจคนในเมืองหลวง กว่าจะสร้างขึ้นมาได้เช่นนี้ ใช่ว่าต้องสลายลงหรอกหรือ……”

กล่าวถึงตรงนี้ ถานเจียงก็เริ่มมีน้ำเสียงขอร้อง กล่าวต่อว่า

“ใต้เท้าหวังอายุยังน้อย หากจงรักภักดีอย่างมาก จิตใจเพื่อแผ่นดินเพื่อฝ่าบาท ไม่มีเพื่อตนเอง น้องสามกับน้องห้าก็อย่าได้จับตาดูทุกฝีก้าวเลย”

ถานปิงกับถานเจี้ยนมีอีกสถานะเป็นคนสำนักบูรพาและสำนักองครักษ์เสื้อแพร เมื่อก่อนคอยจับตาถานกวน ตอนนี้มาจับตาหวังทง หากเป็นยามปกติก็ยังดี แต่เหตุการณ์ขาดหัวที่เมืองเซวียนฝู่นั้นช่างละเอียดอ่อนเกินไป แม้หวังทงมีเหตุผลของตน แต่หากดำเนินการพลาดหรือโชคร้ายเพียงเล็กน้อย ก็ย่อมนำภัยใหญ่มาสู่ตนได้

พอกลับถึงเทียนจิน ก็ได้ข่าวจากเมืองหลวงมาไม่ขาด แสดงให้เห็นว่าการข่าวทางนั้นคงได้รับตั้งแต่กองกำลังหู่เวยออกจากเมืองเซวียนฝู่มาแล้ว

ด้วยประสบการณ์ถานเจียง รู้ว่าสิ่งที่หวังทงดำเนินการที่เทียนจินล้วนเป็นประโยชน์ต่อแผ่นดินและราษฎร ตลอดจนกองทัพ แต่หวังทงเรียกได้ว่ามีความสัมพันธ์กับขุนนางใหญ่ในเมืองหลวงไม่ดีนัก หากปล่อยให้ถานปิงและถานเจี้ยนส่งข่าวออกไปตามใจชอบแล้วถูกผู้ใดจับหาความผิดกระผีกหนึ่งได้ ดีไม่ดีก่อเป็นภัยใหญ่ ทุกอย่างก็คงได้สลายไปราวกับเมฆหมอกเป็นแน่

ถานปิงหยุดเดิน เงียบไปครู่หนึ่งก็หันมายิ้มเฝื่อนๆ กล่าวว่า

“พี่ใหญ่ ภารกิจติดตัวนี้ หลายครั้งก็ไม่ได้ขึ้นอยู่กับข้ากับพี่ห้าจะทำหรือไม่ พี่ใหญ่คิดว่าที่เทียนจินมีเพียงข้าและพี่ห้าจับตาดูใต้เท้าหรือ พี่น้องเราส่งข่าวรายงานขึ้นไป ยังมีวาจาดีอยู่หลายส่วน คนอื่นรายงานขึ้นไปไม่รู้ว่าอย่างไร จะว่าไป ใต้เท้าก็ใช่ว่าไม่รู้เรื่องนี้ เกรงว่าก็คงอาศัยการส่งข่าวนี้กระจายข่าวมากกว่า

***********

“นายท่าน ร้านสามธาราและร้านเถ้าแก่จาง กำไรปลายปีออกมาแล้ว ขอใต้เท้าตรวจสอบด้วย”

พอกลับถึงเทียนจิน กิจการกองทัพอื่นๆ ก็เป็นตามระเบียบ แต่เรื่องการค้ากลับสะสมไว้หลายเรื่อง กลางวันจัดพิธีศพวีรชน กลางคืนก็จัดงานเลี้ยงส่วนตัวที่จวน

นี่มิใช่เลี้ยงต้อนรับกลับมา หากเป็นอาศัยงานเลี้ยงส่วนตัวนี้จัดการเรื่องหนึ่ง กำไรนี้เป็นกระดาษเท่านั้น ด้านล่างเป็นลายประทับนิ้วมือของกู่จื้อปินและจางฉุนเต๋อเพื่อรับรอง

เห็นตัวเลขบนกระดาษ หวังทงก็เลิกคิ้ว ส่งให้หยางซือเฉินเก็บ เอ่ยว่า

“คิดไม่ถึงว่าทำกำไรมากเพียงนี้!”

จางฉุนเต๋อเป็นคนซื่อ กู่จื้อปินปล่อยวางเป็น เห็นสีหน้าพอใจของหวังทงก็ยิ้มรับคำว่า

“การค้าไม่น้อยที่ร้านเราลงมือทำเร็วกว่า ทำกันรู้ลู่ทางชำนาญ การค้าที่เทียนจินก็ขยายใหญ่ ลูกค้าก็แนะนำต่อๆ กัน ก็เหมือนก้อนหิมะที่ทับไปมาก็ยิ่งก้อนโต กอปรกับการค้าที่เมืองเหลียวโจว สินค้าเรามากที่สุด และยังมีสายสัมพันธ์ใต้เท้า เมืองเหลียวโจวทางนั้นสั่งสินค้ากับร้านเราไม่น้อย รอเปิดทะเลเมื่อไรเตรียมสินค้าครบ คงได้ไปสักครา ทำการค้ารู้ทางชำนาญกว่านี้ ไม่รู้ว่าจะกำไรอีกมากมายเท่าไร”

กู่จื้อปินกล่าวอย่างได้ใจ จางฉุนเต๋อเองก็ไม่แพ้กัน กล่าวตามว่า

“ใต้เท้าอาจไม่ทราบ เมืองในเขตปกครองเหนือ นับรวมเมืองเซวียนฝู่และจี้โจวแล้ว พวกพ่อค้ามาที่เทียนจินก็เล็งมาที่ร้านเรา บางรายยอมจ่ายมากกว่า ก็อยากซื้อขายสินค้าผ่านมือเรา ล้วนเป็นบารมีใต้เท้าโดยแท้!”

เดิมที่สองคนเรียกขานว่านายท่าน แต่ลูกสาวจางฉุนเต๋อแต่งงานกับหม่าซานเปียว มีความสัมพันธ์นี้ก็เริ่มเรียกใต้เท้าแทน สองคนกล่าวจบ เห็นรอยยิ้มของหวังท ก็สบตากัน กู่จื้อปินกล่าวว่า

“นายท่านออกเดินทางครั้งนี้ ข้าน้อยอยู่บ้านฉลองปีใหม่ เลยลองคำนวณกำไรจากร้านประกันภัยที่สร้างให้เช่าดู กำไรน่าตกใจจริงๆ เงินกำไรของเรานายท่านก็เห็นแล้ว ร้านประกันภัยสามารถออกเงินทำได้ พวกเราเองก็ออกเงินทำได้ ไยต้องให้คนอื่นๆ ที่เทียนจินร่วมด้วย พ่อค้าพวกนี้พอเห็นท่าไม่ดีก็ทิ้งเงินหนีกันไป ไม่สู้พวกเราลงทุนเอง ให้นายท่านเป็นหัวเองก็ดี”

หวังทงยกน้ำชาขึ้นจิบ ส่ายหน้ากล่าวว่า

“ไม่จำเป็น จัดการการค้าตอนเหนือให้ดีก็กำไรพอแล้ว การปรับที่สร้างเมือง สร้างร้านค้าพวกนี้ให้แบ่งกับทุกคน พวกเราหากคิดจะทำ อย่างช้าก็คงรออีกห้าปี ถึงตอนนั้นก้อนโตแล้ว พวกเราขอแบ่งมากอีกก้อน คนอื่นก็คงไม่รู้สึกอันใด”

ตอนนี้เทียนจินกำลังคึกคัก แต่อย่างไรก็อยู่ในระยะเริ่มต้น ทุกอย่างยังไม่มั่นคง หวังทงพยายามดึงพ่อค้าใต้หล้ามาที่นี่ ให้พวกเขาได้หากินทำกำไรกันอย่างสบายใจ ให้พวกเขามีโอกาสร่ำรวยกัน ร้านสามธารามีเงินมีอำนาจ หากตอนนี้เข้าแทรกแซงการค้านี้ ย่อมได้กำไรก้อนโต แต่ก็คงทำให้คนอื่นไม่กล้ามาเทียนจิน ไม่กล้ามาทำการค้ากัน ด้วยเกรงว่าร้านสามธาราจะแย่งการค้าไป

แม้ว่าจะได้กำไรมหาศาลในระยะเวลาอันสั้น แต่ไม่อาจยืนหยัดยาวนาน หวังทงย่อมไม่เลือกทางนี้ อาศัยร้านประกันภัยรวมใจทุกคนเอาไว้ ในห้องนี้ทุกคนก็เข้าใจ เห็นหวังทงยืนยันดังเดิม พวกเขาก็ย่อมไม่อาจกล่าวอันใด

กู่จื้อปินจิบสุรา จากนั้นก็เปิดประเด็นอื่นว่า

“นายท่าน ตอนนี้เรือไปเมืองเหลียวโจวซื้อสินค้า แล้วนำของที่นั้นกับไม้ใหญ่กลับมาก็เท่ากับบรรทุกเงินทองกลับมาเต็มลำ แต่เรือในมือเราแค่แปดลำ คิดจะบรรทุกให้มาก ก็ต้องเช่าเรือทะเล เช่าใช้กันนานวัน พวกเขาเองก็ย่อมรู้ทาง ถึงตอนนั้นย่อมมาแย่งการค้าเรา”

หวังทงได้ยินก็เงียบไป ถอนหายใจกล่าวว่า

“เรื่องเรือนี้หาทางไม่ค่อยได้ ราชาสามธาราทางนั้นไม่ยอม ช่างเรือก็หายาก รอเปิดทะเลก่อน แล้วค่อยคิดหาวิธี!”

กล่าวจบ จางซื่อเฉียงก็กล่าวขึ้นว่า

“ใต้เท้า ทางคลองส่งน้ำและแม่น้ำทะเล นอกเมืองในเมือง เจ้าหน้าที่เก็บเงินค่าป้ายสงลบสุขไม่พอแล้ว พื้นที่เก็บเงินกว้างมาก พวกเราคนน้อย มีเงินเก็บไม่ถึง เจ้าหน้าที่บางคนยังแอบยักยอกไว้ ดูแลไม่ถึง วันหน้าย่อมยุ่งยาก ใต้เท้ารีบหาวิธีด้วย”

“เรื่องนี้ไม่ยาก เปิดโรงเรียนสอน สอนให้คนเก็บบัญชีเป็น เก็บเงินเป็น”

เรื่องนี้หวังทงคิดไว้นานแล้ว เขาเอ่ยวิธีออกไป ทุกคนที่นั่งอยู่ก็พากันคิดตาม จากนั้นก็กระจ่างใจ หวังทงตบหน้าผากตัวเองเอ่ยขึ้น

“เกือบลืม ข้านำผงฟูจากเมืองเซวียนฝู่มาสองคันรถ……”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version