Skip to content

องครักษ์เสื้อแพร 446

ตอนที่ 446 ชนะหรือพ่ายรู้เอง เรื่องราวซับซ้อน

เดือนสองในเมืองหลวงยังหนาว ฉู่เจ้าเหรินมาโขกศีรษะที่นอกพระตำหนักฉือหนิงกง ไม่นานก็โขกจนห้อโลหิต โลหิตไหลเป็นทาง

ที่แห่งนี้มีนางกำนัลคอยรับใช้เป็นส่วนใหญ่ พบเห็นเรื่องใหญ่จนชินชา ขันทีโขกศีรษะหลั่งโลหิตจะไปมีอันใดกัน นางกำนัลที่ยืนเฝ้าหน้าตำหนักไม่ชายตาแลแม้แต่น้อย ไม่แม้แต่จะสนใจ

ดีที่ไม่นานก็มีนางกำนัลเข้ามาถ่ายทอดพระเสาวนีย์ไทเฮา นางกำนัลรับใช้ข้างกายไทเฮา ก็นับว่าเป็นบุคคลสำคัญในวัง มีสถานะใกล้เคียงกับมหาขันทีแห่งสำนักต่างๆ เลยทีเดียว พอออกมาถ่ายทอดพระเสาวนีย์เสร็จ ก็มองซ้ายมองขวากล่าวว่า

“พวกเจ้าเข้าประคองฉู่กงกง ดูแลทำแผลให้เรียบร้อย จะได้ไม่ล้มป่วยไป!”

นางกำนัลข้าง ๆ รีบเข้ามาคำนับรับคำ เข้าไปประคองฉู่เจ้าเหริน ขันทีฉู่ไหนเลยจะกล้าลุกขึ้นเช่นนี้ หากยังโขกศีรษะอย่างแรงอีกหลายที ตะโกนเสียงดังว่า

“ไทเฮาทรงพระเมตตา กระหม่อมขอถวายชีวิตรับใช้!”

เสียงแหลมตะโกนจบลง จึงได้ให้คนประคองลุกขึ้น คนที่รอรับใช้ที่ตำหนักนี้มีมาก แค่เพียงสองประโยคดังขึ้น ก็มีคนนำน้ำร้อนและผ้าสะอาดเข้ามาเช็ดทำความสะอาดบาดแผลทันที

“ไทเฮาตรัสว่า เรื่องนั้นไม่เกี่ยวข้องกับฉู่กงกง ไม่ต้องกังวลไป ฉู่กงกงอย่างไรก็จงรักภักดี ปฏิบัติงานต่อไปให้ดีก็แล้วกัน”

นางกำนัลกล่าวนุ่มนวล ฉู่เจ้าเหรินได้ยินดังนี้ ก็ตะเกียกตะกายคุกเข่าลงอีก นางกำนัลยิ้มกล่าวว่า

“ฉู่กงกงหน้าผากยังไม่ใส่ยา หากคุกเข่าลงอีกคงสกปรก ข้างนอกหนาว ฉู่กงกงรีบกลับไปเถิด!”

ในใจฉู่เจ้าเหรินรู้สึกสับสน ได้ยินเช่นนี้ ก็แปลว่าตนไม่ได้ถูกสงสัย แต่พระทัยไทเฮาย่อมทรงกริ้วเป็นแน่ มิเช่นนั้นเหตุใดจึงไม่ทรงอนุญาตให้ตนเข้าเฝ้าด้านใน

ในใจคิดเช่นไรอีกเรื่องหนึ่ง แต่อย่างไรก็ไม่อาจกล่าวออกมาได้ นางกำนัลสองสามคนทำแผลให้เสร็จ ก็พันด้วยผ้าสะอาด ฉู่เจ้าเหรินควักหยกนกเป็ดน้ำชิ้นหนึ่งออกมากับก้อนทองอีกสองสามก้อน ยิ้มกล่าวว่า

“ในเมื่อไทเฮามีพระเสาวนีย์แล้ว เช่นนั้นข้าก็ขอกลับไป วันนี้ข้าสร้างความลำบากให้กับพี่สาวทุกท่านแล้ว ของเล็กน้อย ขอพี่สาวโปรดรับไว้”

เขาอายุมากกว่าอีกฝ่ายน่าจะ 10 ปี ได้ แต่ขันทีใน 12 สำนักในวังต่างก็ให้เกียรติต่อนางกำนัลตำหนักฉือหนิงกงเช่นนี้เหมือนกันหมด

นางกำนัลที่ออกมาถ่ายทอดพระเสาวนีย์ลังเลครู่หนึ่งก็ยิ้มรับหยกและทองก้อนมา หยกให้ตน ก้อนทองให้นางกำนัลอีกสองสามคนไปแบ่งกัน

ได้เห็นอีกฝ่ายรับของตนเองไว้ ฉู่เจ้าเหรินก็ผ่อนคลายลงไม่น้อย ขอบคุณก่อนจะขออำลาจากไป ผู้ติดตามที่ติดตามมาจากสำนักอาชาหลวงด้านนอกก็เดินตามไป รีบพากันเข้าไปประคอง

*************

“ไทเฮา เตี่ยนชุ่ยรับหยกประดับและทองก้อน 4 ก้อนไว้ ส่งฉู่เจ้าเหรินกลับไปแล้ว”

ณ โถงกลางพระตำหนักฉือหนิงกง ไทเฮาฉือเซิ่งกำลังประทับพระวรกายตรงบนพระที่นั่ง มีเฝิงเป่าและจางจิงอยู่ข้างๆ นางกำนัลผู้หนึ่งกำลังรายงาน ไทเฮาพยักพระพักตร์ ตรัสขึ้นว่า

“หยกประดับและก้อนทองให้เตี่ยนชุ่ยเก็บไว้แล้วก็แบ่งออกไปละกัน!”

นางกำนัลถอยออกไป เฝิงเป่าและจางจิงสีหน้านิ่งเฉย แต่อีกสักครู่จะพูดอันใดต้องคิดให้ดี ไม่ให้เข้าพบในพระตำหนัก แปลว่าทรงกริ้ว แต่ของกำนัลให้รับไว้ได้ แสดงว่าเรื่องนี้ยังไม่ถึงขั้นสุด

“จางจิง เจ้าก็ไปบอกฉู่เจ้าเหรินว่าวางใจปฏิบัติหน้าที่ไป กองกำลังมังกรฝ่ายซ้ายและกองกำลังหู่เวยออกไป กองกำลังอื่นก็ต้องออกไปฝึก อย่างไรก็เป็นแผนงานที่ดี”

จางจิงถวายคำนับรับพระบัญชา เฝิงเป่าข้างๆ ยิ้มกล่าวสัพยอกว่า

“เหล่าฉู่เองก็คิดหาเรื่องอยู่บ้าง หากคิดไม่ถึงว่าจะเป็นเรื่องใหญ่เช่นนี้ คาดว่าตอนได้ยินข่าวคงตกใจแทบแดดิ้น จึงได้รีบมาขอรับโทษอย่างเสียจริตเช่นนี้ ไทเฮาทรงพระปรีชายิ่งแล้ว”

ผู้ที่สามารถพูดคุยได้สบายๆ ต่อหน้าไทเฮาก็มีเพียงเฝิงเป่าผู้เดียวเท่านั้น ไทเฮาพยักพระพักตร์ แย้มสรวลตรัสว่า

“ฉู่เจ้าเหรินคงอยากจะสังหารหวังทง เรื่องนี้จริงแท้ แต่ทำเอิกเกริกที่นอกด่านเช่นนี้นั้น เขาไม่มีความสามารถเพียงนั้น และก็คงไม่โง่เขลาถึงเพียงนั้น……รายงานจากหลายฝ่าย การฝึกซ้อมที่ฉู่เจ้าเหรินเสนอมานั้นเป็นวิธีที่ดี และข้อดียังไม่เพียงแต่กองกำลังในวังเท่านั้น หากทุกที่ได้เห็นกองกำลังองครักษ์ในวังเช่นนี้ก็ย่อมรู้ถึงแสนยานุภาพของราชสำนัก เป็นผลดีต่อแผ่นดินและฝ่าบาท มีความดีความชอบ ข้าย่อมต้องปกป้อง”

“ไทเฮาทรงพระปรีชายิ่งแล้ว!”

เฝิงเป่ากับจางเฉิงถวายคำนับสรรเสริญพร้อมกัน ไทเฮายกพระหัตถ์โบกไปด้านข้าง นางกำนัลที่คอยรับใช้ก็รีบยกพระสุธารสชาเข้ามา ไทเฮาทรงจบไปคำหนึ่งก็เอ่ยสุรเสียงเย็นเยียบว่า

“กองกำลังมังกรฝ่ายซ้ายออกนอกด่าน ข้าจำได้ว่าก่อนหน้านี้ชายแดนทั้งเก้าด่านมีฎีกาเร่งด่วนเตือนมา แต่กองกำลังมังกรก็ไม่ได้พบเจอพวกมองโกล ตอนกองกำลังหู่เวยออกไป ทุกคนสงบสุขเพียงนั้น เหตุใดจึงพบเรื่องราวเช่นนี้ได้ เฝิงเป่า สำนักบูรพาต้องสืบเรื่องนี้ ให้องครักษ์เสื้อแพรออกสืบข่าวด้วย”

สีหน้าเฝิงเป่าลำบากใจ ออกไปคุกเขาต่อหน้าพระพักตร์ไทเฮา กราบทูลว่า

“ทูลไทเฮา เรื่องเกี่ยวพันกับนอกด่าน สำนักบูรพาและสำนักองครักษ์เสื้อแพรไม่อาจข้องเกี่ยว คิดจะสืบอันใด ก็ย่อมยากไม่น้อย ไม่ใช่กระหม่อมไม่อยากสืบ แต่ขอกราบทูลขอรับพระอาญาต่อไทเฮาไว้ก่อน”

ชายแดนทั้งเก้าด่านของแผ่นดินหมิง ตอนนี้อยู่ในสภาพตั้งรับป้องกันเป็นหลัก ทุ่งหญ้าก็มิได้ดีเท่ากับในด่าน ไทเฮาก็ทรงเข้าพระทัยดี พอทรงได้ยินดังนี้ก็ถอนพระปัสสาสะก่อนจะทรงเงียบลงพักหนึ่ง หันไปตรัสกับจางจิงว่า

“กองกำลังหู่เวยรบบนทุ่งหญ้าได้ดีเช่นนี้ สำนักอาชาหลวงต้องไปเรียนรู้ไว้บ้าง ดูว่ากองกำลังอื่นๆ สามารถทำตามได้หรือไม่”

จางจิงเมื่อเทียบกับเฝิงเป่า นับว่านอบน้อมกว่ามาก ได้ยินพระดำรัสก็ขมวดคิ้วแน่น คุกเข่าลงกราบทูลว่า

“ทูลไทเฮา หวังทงเก่งการรบ เป็นเรื่องจริง แต่การรบชนะนอกด่านมาได้เช่นนี้ กระหม่อมตอนนี้ยังไม่อยากเชื่อ อย่างไรก็ต้องส่งคนไปสืบความจริงมา แล้วค่อยรับรอง”

ไทเฮาพยักพระพักตร์เบาๆ ตรัสว่า

“ข้าเองก็ว่าแปลก ตอนอดีตฮ่องเต้ ชายแดนตัดมาได้ร้อยกว่าหัวก็มารายงานยิ่งใหญ่ นี่ตัดมาหลายพัน หากแต่ละฝ่ายต่างว่าเป็นเรื่องจริง ไปตรวจสอบหน่อยละกัน!”

**************

ข่าวมาถึงฉู่เจ้าเหรินแห่งสำนักอาชาหลวงได้ ก็ย่อมไปถึงหลินซูลู่เช่นกัน ห้องทำงานของเขามีขันทีปฏิบัติหน้าที่เข้าออกอยู่เสมอ แต่ก็มีระบบเรียบร้อย ข่าวมาถึงอย่างเร็ว ได้ฟังสภาพของฉู่เจ้าเหรินแล้ว หลายคนก็ยินดีกับหายนะของผู้อื่น

กองกำลังในวังออกนอกเมืองหลวงไปฝึกซ้อม เรื่องนี้ดีหรือไม่ไม่วิจารณ์ เดือนสิบสองถึงเดือนหนึ่ง ทุกคนคิดแต่จะอยู่ในวังฉลองปีใหม่กัน กลับถูกส่งออกไป ผู้ใดจะพอใจกัน จึงย่อมไม่พอใจและโกรธแค้นฉู่เจ้าเหริน ได้ยินสภาพน่าอนาถเช่นนี้ ทุกคนก็ย่อมแอบร้องยินดีในใจ

หลินซูลู่เก็บท่าทีนิ่งเงียบอย่างมาก หากก็ส่ายหน้ายิ้มกล่าวว่า

“ทุกคนไปทำงานของตัวเองให้ดี ฉู่กงกงทางนั้นย่อมมีทางของเขาเอง”

ทว่าพอตกบ่าย หลินซูลู่ที่เดิมปกตินั่งทำงานจนดึกกลับกลับเร็วกว่าปกติสองชั่วยาม เขาเป็นนาย ทุกคนก็ย่อมไม่กล้ากล่าวอันใด

หลินซูลู่ออกไปด้วยเกี้ยวหาม ยิ้มกล่าวว่า

“วันนี้เสียงนกกระจอกทำเอาตื่นแต่เช้า นอนไม่ค่อยดี รีบพาข้ากลับไปพัก พรุ่งนี้ยังมีงานต้องทำอีก”

ขันทีน้อยหามเกี้ยวรับคำพร้อมกันว่า ‘ลำบากท่านแล้ว’ ก่อนจะยกเกี้ยวขึ้นเดินทางกลับ

พอกลับถึงลานที่พัก ขันทีคนสนิทก็มีเพียงแค่ซวงสี่ผู้เดียว หลินซูลู่สีหน้าปกติก้าวเข้ามาในลานหน้าที่พัก พอก้าวข้ามธรณีมาก็เร่งฝีเท้าเร็วเกือบหกล้ม ซวงสี่รีบเข้ามาประคอง หลินซูลู่ยืนหัวเราะเยาะตอนเองอยู่ตรงนี้ โบกมือกล่าวว่า

“ไปปิดประตูก่อน!”

ซวงสี่ปิดประตู เตรียมน้ำชาและของว่างไปที่ห้องรับรอง พอเข้าไปก็เกือบทำร่วง คนเบื้องหน้าแต่ไรมาก็ล้วนวางท่าทางหนักแน่นมั่นคง หลินซูลู่ที่วางตัวสง่างามอยู่เสมอ ยามนี้กลับล้มไถลตัวอยู่บนเก้าอี้เอนนอนตัวยาว ขันทีซวงสี่รีบวิ่งเข้าไปวางของในมือลง ถามอย่างร้อนใจว่า

“พี่……หลินกงกง……ท่านเป็นอะไรไป……”

“หุบปาก ข้ายังไม่ตาย ไม่ต้องเอะอะขนาดนั้น เจ้าอยากให้คนในวังตื่นตกใจกันหรือไง?”

หลินซูลู่ตะเกียกตะกายขึ้นจากเก้าอี้นั่งตัวตรง กดเสียงให้เบาตำหนิออกไป ซวงสี่รีบถอยออกไป น้ำเสียงหลินซูลู่แหบพร่า ก้มหน้าเงียบไปพักใหญ่ ก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงอู้อี้ว่า

“มิน่าที่ซานซีจึงไม่มีข่าวคราวส่งมา……แต่เหตุใดจึงได้……ทหารราบหลายพันของเรา และยังเป็นทหารใหม่ ถึงกับตัดหัวมองโกลหลายพัน……เป็นไปได้อย่างไร……”

น้ำเสียงแหบพร่า กล่าวถึงท่อนสุดท้าย สองมือหลินซูลู่ก็ยกขึ้นกุมใบหน้า ซวงสี่เริ่มร้อนใจแล้ว กล่าวอย่างลนลานว่า

“กงกงอย่าทำให้ข้าน้อยตกใจ กงกงทำใจให้สบาย กงกง……”

ยังกล่าวไม่ทันจบ อยู่ ๆ หลินซูลู่ก็ลุกขึ้นยืนคว้าถ้วยน้ำชาจะปาลงพื้นอย่างแรง แต่ยกมือค้างไว้ หอบหายใจอย่างหนักหลายที ก่อนจะวางลง เอ่ยน้ำเสียงแหบพร่าเบาๆ ว่า

“ใจเย็น ใจเย็น พวกมันสืบหาอันใดไม่พบหรอก คงมีแต่ตระกูลสวีนั่นที่ลำบากหน่อย แต่ชดเชยเป็นเงินให้ละกัน ชดเชยเพิ่มให้ก็แล้วกัน ซวงสี่ ข้าพูด เจ้าจด ยังอีกครึ่งชั่วยามกว่าประตูวังจะปิด ออกไปที่โรงบ้านท่านสาม รีบไปบอกเร็วเท่าไรยิ่งดี……”

***********

ที่ทำการสำนักรักษาความสงบในเดือนสอง หลี่ โจว หลี่ว์ สามคนก็ยังคงพบหน้ากันเช้าค่ำเพื่อปรึกษาหารือทำงาน ครั้งนี้พอก้าวเข้ามา หลี่ว์วั่นไฉก็ถอดชุดนวมตัวนอกออก ยิ้มกล่าวกับหลี่เหวินหย่วนว่า

“กรมทหารทางนั้นมีคำสั่งแล้ว ใต้เท้ารายงานหัวขึ้นมา ก็ปูนบำเหน็จความชอบตามธรรมเนียม เลื่อนให้เป็นผู้ช่วยผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพร แต่ยังคงคุมกองพันที่เทียนจิน”

หลี่เหวินหย่วนพยักหน้า สีหน้าไม่ได้ผ่อนคลายลง กลับมีสีหน้าเคร่งขรึมกล่าวว่า

“เรื่องที่ใต้เท้าสั่งการมาถึงตอนนี้ไม่มีข้อมูลแม้แต่น้อย คนที่ตอนเหนือมามีมากเหลือเกิน หากเรื่องนี้เป็นเรื่องบังเอิญล่ะ ผู้ที่สามารถสั่งการกองกำลังมองโกลมากเพียงนั้นได้ เป็นผู้ใดกันแน่……”

หลี่ว์วั่นไฉเพิ่งจะนั่งลง โจวอี้ก็ตามเข้ามา พอเข้ามาก็เอ่ยว่า

“สำนักในวัง สำนักบูรพาและสำนักองครักษ์เสื้อแพรวันนี้ได้รับภารกิจลับ ให้ไปสืบที่เมืองเซวียนฝู่ แม้ว่าไม่บอกชัดเจน แต่ก็เดาได้ว่าเป็นเรื่องของใต้เท้าหวัง”

“เรื่องราวซับซ้อน ไม่รู้เริ่มจากจุดใดดี”

หลี่เหวินหย่วนถอนหายใจอีกครั้ง

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version