Skip to content

องครักษ์เสื้อแพร 496

ตอนที่ 496 ต่างฝ่ายต่างมีความเห็น ระเบียบปฏิบัติคงเดิม

ฉู่เจ้าเหรินชี้ไปที่หน้าบัญชีหน้าหนึ่ง มีข้อสงสัยบางอย่าง ถามตัวเลขออกไป บรรดาขันทีในห้องทำงานก็รายงานที่มาที่ไป

เป็นขันทีประจำหนานจิงมานาน เรื่องการเก็บเงินคิดบัญชีพวกนี้ก็เป็นงานที่ทำประจำ เงินรายได้จากค่าเช่าที่นาส่วนพระองค์นั้นก็เป็นรายได้ก้อนใหญ่อยู่ไม่น้อย ไม่อาจสะเพร่าเลินเล่อได้ นับประสาอันใดกับสองปีนี้ที่มีเงินทองไหลเข้าวันมาราวกับสายน้ำ สำนักอาชาหลวงก็ย่อมไม่อาจทำให้ดูแย่กว่าได้ อย่างไรก็ต้องพยายามให้มาก บีบออกมาให้มากอีกหน่อยเพื่อส่งเข้าวัง

คนสำนักอาชาหลวงแม้ว่าแอบบ่นกัน แต่ก็ต้องตั้งใจกันเกินร้อย ไม่อาจให้เกิดข้อผิดพลาดใด ฉู่เจ้าเหรินหลายวันนี้ก็ตรวจจนหน้ามืดตามัว แต่ก็ต้องทำต่อไป

ขันทีด้านนอกเข้ามารายงานบอกว่า “กรมทหารมาถามเรื่องการฝึกทหารกองกำลังฝ่ายใน ฉู่เจ้าเหรินยังทันตั้งสติได้ก็เงยหน้าอึ้งไป แต่ก็รับรู้แล้ว

ไม่คิดยังดี พอคิดก็รู้สึกกระตุกวาบในสมอง สองตามืดดับ เกือบจะล้มคว่ำลง ยังดีที่มือยันดันพื้นไว้ จึงยังทรงตัวอยู่ได้

“ข้างนอกมีใครอยู่บ้าง เข้ามา! ลากเจ้าตัวบัดซบนี้ออกไป โบยแส้ 800! โบยไม้ 800!”

นี่เป็นจำนวนที่เพิ่งคิดบัญชีค้างอยู่ “800 ตำลึง” อยู่ๆ ก็เอ่ยตัวเลขเช่นนี้ออกมา ขันทีผู้นั้นโดดลงหมอบกับพื้นขอร้อง ในใจยังรู้สึกงง ก็แค่รายงาน เหตุใดจึงมีความผิดใหญ่เช่นนี้ได้

ฉู่เจ้าเหรินตาแดงก่ำ ปีก่อนเรื่องส่งทหารสำนักอาชาหลวงออกไปฝึกซ้อมนอกเมืองหลวง เดิมคิดว่าจะสร้างความลำบากให้พวกหวังทง คิดไม่ถึงว่าตอนแรกที่ตนได้คำชมจากทุกฝ่ายมายกใหญ่ บอกว่าปฏิบัติหน้าที่ซื่อสัตย์ตั้งใจ แสดงแสนยานุภาพกองกำลังฝ่ายใน

เรื่องดีที่ตกมาจากฟ้าเช่นนี้ คิดไม่ถึงว่าต่อมาก็เป็นหายนะใหญ่ ฟ้าเท่านั้นที่รู้ว่าละแวกเซวียนฝู่นั้นกลับมีกองกำลังม้าพวกมองโกลหลายพันอยู่ ฟ้าคุ้มครอง กองกำลังหู่เวยสังหารไปหลายร้อย กลับมาอย่างปลอดภัย

แต่เรื่องนั้นก็ทำให้ฉู่เจ้าเหรินถึงกับเหงื่อเย็นหลั่งโทรมกาย ไปโขกศีรษะที่ตำหนักฉือหนิงกงห้อโลหิต ยังดีที่ทุกคนเข้าใจ ไม่ได้ตำหนิเขา จึงได้รอดพ้นมาได้

กองกำลังฝ่ายในออกไปซ้อมรบนอกเมือง ตอนนั้นได้รับคำชม ทุกคนต่างว่าดี บอกว่าวันหน้าจะตั้งเป็นระเบียบปฏิบัติ แต่พอเกิดเรื่องหวังทง ก็เลยปล่อยเลยตามเลยกันไป หากออกไปอีกล่ะก็ ถึงตอนนั้นแม้ว่าไม่ใช่ตนกระทำก็ย่อมถูกเบื้องบนเข้าใจผิดเอาได้

เขาจึงทำเป็นแกล้งลืม ยังมีคนมาเอ่ยถึงเรื่องนี้อีก ไหนเลยจะไม่โมโหโกรธาเช่นนี้ ฉู่กงกงโมโหหนักเช่นนี้ ขันทีผู้ใหญ่ข้างๆ ที่พอรู้เรื่องนี้ก็รีบกระซิบบอกว่า

“ฉู่กงกง ขันทีผู้นี้เป็นคนของจางกงกงสำนักส่วนพระองค์”

ขันทีแต่ละคนย่อมมีสังกัดนาย คนของจางเฉิงแห่งสำนักส่วนพระองค์นั้นไม่อาจแตะต้องได้ นับประสาอันใดกับการที่กล่าวออกไปด้วยความโมโหกัน ฉู่เจ้าเหรินรู้ว่าตนเองหลุดแสดงอารมณ์ออกไป ก็กระแอมไอ กล่าวว่า

“เรื่องกองกำลังฝ่ายในเป็นเรื่องฮ่องเต้และไทเฮาพิจารณา กรมทหารยุ่งอันใดด้วย ข้าย่อมมีคิดเช่นนี้”

ขันทีน้อยตกใจอยู่ โขกศีรษะอยู่ที่พื้น รายงานต่อว่า

“ฉู่กงกง กรมทหารบอกว่า กองกำลังฝ่ายในไปซ้อมรบชายแดนแต่ละแห่ง การเตรียมเสบียง และค่ายพักระหว่างทาง กรมทหารล้วนต้องตระเตรียมล่วงหน้า……”

กล่าวไม่ทันจบ ก็ถูกฉู่เจ้าเหรินที่ทนฟังต่อไม่ไหวตัดบทสั่งสอนไปว่า

“เหลวไหล ข้าทำงานด้านนี้มาหลายปี เรื่องพวกนี้จะไม่รู้ได้อย่างไร เรื่องพวกนี้ สำนักอาชาหลวงย่อมจัดการเองได้ ถึงตอนนี้ให้กรมทหารช่วยก็พอ ไยต้องถามให้มากความเช่นนี้”

ขันทีน้อยไม่กล้ากล่าวต่อ ได้แต่โขกศีรษะแทน ในตอนนั้นเอง ด้านนอกก็มีขันทีวัยกลางคนเดินเข้ามา พอเข้ามาก็ทิ้งมือข้างกายกล่าวว่า

“จางกงกงเชิญฉู่กงกงไปพบ มีเรื่องหารือ”

ขันทีวัยกลางคนในชุดดำ เป็นคนของจางจิงแห่งสำนักอาชาหลวง ฉู่เจ้าเหรินไม่กล้ารอช้า รีบลุกขึ้นยืน ตอนเดินอ้อมโต๊ะออกมาก็คิดแล้วกล่าวกับคนสนิทว่า

“ให้เงิน 10 ตำลึงปลอบขวัญขันทีน้อยนี่ไป”

เมื่อครู่เสียกิริยาไป อย่างไรก็เอาเงินชดเชนแทนก็แล้วกัน

************

“ปีก่อนข้าเสนอเรื่องนี้ออกมา ไม่ใช่ว่าเป็นการหาเรื่องตบหน้าตัวเองหรอกหรือ ช่างเปลืองแรงเปลืองเงินทองไม่มีอันใดดีสักอย่าง กองกำลังต่างๆ ก็พากันไม่พอใจอย่างมาก จางกงกง หลินกงกง อย่างไรก็พอเถอะ!”

ณ สำนักอาชาหลวง ฉู่เจ้าเหรินกำลังกล่าวอย่างตรงไปตรงมา วงการราชสำนักฝ่ายใน ผู้ที่มาดำรงตำแหน่งระดับพวกเขานี้ได้ก็ล้วนต้องไว้หน้ากันสามส่วน

หากฉู่เจ้าเหรินกลับไม่สนใจไยดีเรื่องพวกนี้แม้แต่น้อย แสดงความคิดเห็นของตนออกมาตรงๆ เขาคิดไม่ถึงว่าถูกเรียกมาพบด้วยเรื่องการซ้อมรบนี่ ในใจรู้สึกโมโหมาก คิดอยู่ว่าหรือว่าทุกคนร่วมมือกันจัดการเขา

ได้ยินเขากล่าวเช่นนี้ จางจิงก็ขมวดคิ้วแน่น หรี่ตามองไปยังหลินซูลู่ สองตาปะทะกัน หลินซูลู่ก็เข้าใจทันที กระแอมไอกล่าวว่า

“ที่ฉู่กงกงคิดนั้น พวกเราก็เดาพอได้อยู่ จะไม่ทำด้วยเหตุที่หวังทงประสบนอกด่านมาเท่านั้นหรือ?”

ในเมื่อเขากล่าวมาตรงๆ ทางนี้ก็ย่อมตอบตรงๆ ในใจจางจิงกระจ่างชัดเจนมาก ฉู่เจ้าเหรินพยักหน้าอย่างไม่พอใจ หลินซูลู่ยิ้มกล่าวว่า

“ปีก่อนทำ ปีนี้ไม่ทำ หากมีคนคิดให้ดี ใช่ว่าปีก่อนฉู่กงกงมีใจคิดอันใดงั้นหรือ แม้ไม่มีก็จะกลายเป็นมีไปได้?”

วาจานี้ทำเอาสีหน้าฉู่เจ้าเหรินดูไม่ได้ แต่ก็เป็นความจริง หากว่าปีก่อนไป ปีนี้ไม่ไป ย่อมมีคนหาว่ามีใจคิดเอาเรื่องหวังทง ไทเฮาแม้ไม่ตำหนิ แต่ในพระทัยอย่างไรก็ย่อมมีรอยด่าง เห็นเขาไม่ตอบอันใด จางจิงก็กล่าวว่า

“การออกไปซ้อมรบเป็นเรื่องดี ทำให้กองกำลังเราเก่งกล้าขึ้นไม่น้อย กองกำลังเราหนึ่งปีมานี้รู้จักฝึกกองกำลัง พวกเขาทำได้ดี พวกเราก็มีความชอบ ย่อมต้องทำต่อไป มิเช่นนั้น ยามปกติสุขเช่นนี้ สำนักอาชาหลวงเราจะมีโอกาสสร้างความดีความชอบได้อย่างไร?”

ฉู่เจ้าเหรินมองซ้ายทีขวาที สองคนล้วนอยากให้ออกไปซ้อมรบ เขาคิดจะปฏิเสธอย่างไรก็ย่อมไร้ผล ได้แต่กัดฟันทนกล่าวถึงสิ่งที่ตนคิดออกมาว่า

“กองกำลังอื่นไม่ว่า หากกองกำลังหู่เวยของหวังทงปะทะพวกมองโกลอีก แม้ทั้งตัวข้ามีแต่ปากเต็มไปหมดก็กล่าวแก้ตัวไม่พ้น……”

กล่าวได้ครึ่งเดียว จางจิงกับหลินซูลู่ก็หลุดหัวเราะออกมาพร้อมกัน จางจิงส่ายหน้ากล่าวว่า

“เหลวไหล พวกมองโกลจะเจอกันง่ายๆ ได้อย่างไร จะว่าไป ในฐานะที่เป็นทหารหมิง เลี้ยงดูพวกเขาไว้ไมใช่เพื่อรบมองโกลงั้นหรือ?”

***********

สำนักส่วนพระองค์นอกจากห้องรวมส่วนกลางแล้ว ยังมีห้องสำหรับไว้ให้บรรดามหาขันทีได้พักผ่อนกันข้างๆ ตอนนี้ในห้องออกไปหมด ชันทีด้านนอกก็ออกไปรอรับใช้ไกลออกไป พวกที่เข้าออกฝีเท้าเบายิ่ง พูดจากันเบาๆ เพราะทุกคนรู้ว่าในห้องมีเฝิงเป่าและจางเฉิงพร้อมจางจิงแห่งสำนักอาชาหลวงร่วมหารืออยู่ ทั้งสามเป็นตำแหน่งสูงสุดในวัง เดือนสิบไม่มีเรื่องใหญ่ ไม่มีเรื่องใดให้หารือกันนัก

“การฝึกกำลังสำนักอาชาหลวงพรุ่งนี้ก็จะเตรียมตัวกันแล้ว หลายกองก็จะไปตามต้นปีเคยไปมา ไปยังเมืองเซวียนฝู่และจี้โจวเพื่อฝึกซ้อมกองกำลัง”

จางจิงเอ่ยขึ้น เห็นเฝิงเป่าพยักหน้าก็อดไม่ได้กล่าวว่า

“กรมทหารปฏิบัติการเรื่องนี้เหมือนน้อยไปหน่อยไหม ออกรบก็ออกรบ เหตุใดต้องปิดๆ บังๆ ! พวกที่รู้ยังดี พวกไม่รู้ยังคิดว่ากองกำลังสำนักอาชาหลวงเรามีพวกนอกลู่นอกทาง”

“เจ้าอย่าได้คิดมากไป ในวังนอกวังราวกับกระจาดฝัดข้าว เราสั่งการไปซื้อสมุด พริบตาเดียวก็รู้กันไปทั่ว เรื่องพวกนี้ เกรงว่าคงรู้กันไปทั่วใต้หล้าแล้ว พวกมองโกลไหนเลยจะไม่รู้กัน”

เฝิงเป่ากล่าว จางจิงจึงเงียบ เฝิงเป่าหยุดไปครู่หนึ่งก็หันไปทางจางเฉิงกล่าวว่า

“เวลากองกำลังในวังเราจากเมืองหลวงไปนั้นไม่นาน หากเป็นกองกำลังหู่เวยที่เดินทางทางไกลกว่าเหมือนคราก่อน ได้รบกับพวกมองโกล ดังนั้นครั้งนี้จึงต้องใช้งานพวกเขา ทางฮ่องเต้นั้นเจ้าก็ไปทูลหน่อยว่าขอทรงอย่าได้กังวล ทหารหมิงต้องออกรบเพื่อหมิงเป็นหน้าที่ เอาแต่อยู่สงบสุขกันที่นั่นเลี้ยงดูกันทำไม ข้าว่าหวังทงเองก็ไม่ใช่พวกขี้ขลาด เอาแต่สุขสบาย หากเป็นพวกอยากตอบแทนแผ่นดิน”

จางเฉิงรีบรับคำกล่าวว่า

“เฝิงกงกงกล่าวได้ถูกต้องแล้ว”

ฮ่องเต้ว่านลี่เห็นเฝิงเป่า ยังตั้งประทับตัวตรงนิ่ง ในใจยังคงหวาดกลัว วาจาเฝิงเป่ากล่าวมายังไม่กล้าไม่รับคำ เฝิงเป่าเห็นจางเฉิงรับคำ ก็รู้สึกจัดการไปได้เรื่องหนึ่ง รู้สึกผ่อนคลาย ยิ้มเปลี่ยนหัวเรื่องสนทนาต่อว่า

“สนมเจิ้งเลื่อนเป็นพระสนมเอก ไทเฮาทรงรับปากแล้ว ให้สำนักอาชาหลวงบอกตัวเลขมา อย่างไรก็เรื่องดี ต้องควักเงินออกมาจัดการสักหน่อย”

“เฝิงกงกงกล่าวได้ถูกต้อง เงินก้อนจินฮวาส่งเข้าวังมาเมื่อหลายวันก่อน เอาเงินก้อนนี้มาจัดการก็พอ”

“พระสนมเจิ้งดำรงในจารีต กับพวกเราก็ทรงมีพระเมตตาดี……”

************

ณ เรือนส่วนตัวของหัวหน้าขันทีสำนักอาชาหลวงหลินซูลู่ บ่าวรับใช้ล้วนรู้ว่าหลินซูลู่ชอบความสงบเงียบ ดังนั้นบ่าวที่ไม่มีเรื่องงานอันใดจึงไม่เข้าไปรบกวน

เพราะไม่มีคนเข้าใกล้ ดังนั้นจึงไม่มีคนได้ยินเสียงไอในห้อง ในห้องยังคงอึมครึม หลินซูลู่ใช้ผ้าเช็ดหน้ากุมปากไว้ สั่นไหวไปทั้งร่าง เสียงไอดังออกมาไม่หยุด

ซวงสี่ยืนอยู่ข้างๆ ด้วยสีหน้าร้อนใจ สะอื้นดังกล่าวว่า

“นายท่าน ตามหมอหลวงมาดูอาการเถอะ อาการนี้ไม่อาจทนต่อไป”

หลินซูลู่กว่าจะหยุดไอได้ ก็คว้าเอายาในกล่องเทียนไขเคลือบออกมากินลงไป ครู่หนึ่งจึงกล่าวอย่างอ่อนแรงว่า

“หมอหลวงมาดูอาการ งานนี้ก็ไม่ต้องทำกันแล้ว อาการป่วยที่ยังรักษาไม่หายขาดในตอนนั้นเป็นเพราะต้นปีโมโหรุนแรงจึงได้กำเริบขึ้น……เจ้าไม่ต้องกังวลเรื่องนี้ ออกไปนอกวังสักครา ให้คนไปที่ซานซี……”

“นายท่าน เรื่องต้นปีนั้นหรือ?”

“ตระกูลอวี๋ไม่คิดจะล้างแค้นให้บุตรชายรองหรือ!? พวกมองโกลสูญทหารไป 5,000 กว่านาย หรือไม่คิดจะล้างแค้น!? ครั้งนี้เราจะไม่ทำอันใด แต่ส่งข่าวไปเท่านั้น”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version