ตอนที่ 558 ไม่อาจล่วงเกิน เหตุใดจึงควรยินดี
วันที่ 28 เดือนหก ปีรัชสมัยว่านลี่ที่ 9 หลี่ว์วั่นไฉเจ้าหน้าที่แห่งศาลซุ่นเทียนถูกปรับเบี้ยหวัดสามเดือน
บุคคลดำรงตำแหน่งระดับนี้ได้ ผู้ใดก็ย่อมไม่สในใจเบี้ยหวัดที่ไม่พอกินทั้งปีแต่อย่างใด แต่ถูกปรับเบี้ยหวัดเป็นหนึ่งในโทษรุนแรงของขุนนางบุ๋นในเมืองหลวง
พวกบัณฑิต พวกขุนนางบุ๋นตำแนห่งใหญ่ต่างก็รักษาหน้ำตา วงการขุนนางไม่ค่อยได้ตำหนิกันตรงๆ หากว่าทำผิดหรือล่วงเกินผู้ใดถึงระดับหนึ่ง ความผิดไม่ถึงขึ้นลดตำแหน่งหรือขับออกจากตำแหน่ง ส่วนใหญ่ก็จะเป็นการปรับเบี้ยหวัดง
นี่เป็นแค่เริ่มต้น ใครบางคนถูกปรับ ลำดับถัดมาก็จะไม่ได้เลื่อนตำแหน่งหรือโยกย้าย อนาคตดับวูบ
แม้ว่าหลี่ว์วั่นไฉเป็นเพียงผู้ช่วยเจ้ากรมแห่งศาลซุ่นเทียน ไม่อาจกล่าวได้ว่าตำแหน่งใหญ่โตอันใด แต่สถานะก็สำคัญไม่น้อย ไม่ต้องพูดถึงว่าเขายังทำงานให้กับสำนักรักษาความสงบเขาเป็นคนสนิทของนายกองพันหวังแห่งสำนักองครักษ์เสื้อแพร
ตั้งแต่หวังทงปรากฏตัวขึ้นในเมืองหลวง รอบกายเขาแม้ว่ามีเสียงวิจารณ์ไม่ขาด ถูกราชสำนักโจมตีไม่หยุด แต่เส้นทางขุนนางของหวังทงก็ก้าวขึ้นไปอย่างมั่นคง คนรอบกายแม้ว่าไม่มาก แต่ก็พลอยได้ดิบได้ดีไปด้วย ยืนอยู่ท่ามกลางคลื่นลมไม่ล้มลง แต่ครั้งนี้ไม่เหมือนกัน
แม้ว่าไม่ได้ประกาศให้เป็นที่รู้กัน แต่ข่าวนี้ก็แพร่ไปทั่วเมืองหลวงอย่างรวดเร็ว หลายคนรู้สึกได้ว่าเรื่องนี้มีความนับถึงสิ่งใด
อย่างไรสำนักรักษาความสงบที่หลี่ว์วั่นไฉปฏิบัติหน้าที่นั้นก็อยู่ใต้การควบคุมของจางเฉิงแห่งสำนักส่วนพระองค์ สนิทใกล้ชิดกับหวังทง เรื่องต่างๆ ในเมืองหลวงต้องอาศัยจางกงกงช่วยกั้นลมกั้นฝนให้
ตอนนี้จางกงกงปกป้องไม่ได้แล้ว หรือว่าจะเกิดเรื่องใดขึ้นจริง หรือว่าหน่วยงานอย่างสำนักรักษาความสงบจะต้องจบสิ้นลงแล้ว? คนคิดเช่นนี้มีมาก
เมืองหลวงหลายแห่งมีผู้ที่รู้สึกดีกับสำนักรักษาความสงบมีไม่มาก ไม่ต้องกล่าวถึงว่ามีเรื่องเก็บค่าป้ายสงบสุขนั่นอีก ผู้ใดอยากให้มีหน่วยงานมาจับตาดูเพิ่มทั้งที่มีสำนักบูรพาและสำนักองครักษ์เสื้อแพรสองหน่วยงานนี้จับตาดูอยู่ก่อนแล้วกัน
เห็นคนสำนักรักษาความสงบโชคร้าย คนเดากันไปต่างๆ นานา คนที่ยินดีก็มีมาก วันที่ 29 เดือนหกเงียบสงบกันทั้งวัน ทุกคนในเมืองหลวงยังหวังว่า เรื่องนี้จะมีปฏิกิริยาโต้กลับเช่นไร
แต่พวกที่การข่าวแม่นยำในเมืองหลวงก็ไม่ได้ยินข่าวอันใดเพิ่ม หลี่ว์วั่นไฉถูกปรับเบี้ยหวัดสามเดือน และเจ้าหน้าที่จากศาลซุ่นเทียนและสำนักองครักษ์เสื้อแพรที่เกี่ยวข้องกับการสืบสวนพวกนิรนามนอกเมืองก็ล้วนถูกส่งกลับกรมกองไปอย่างเงียบเชียบ ดูท่าแล้วครานี้หลี่ว์วั่นไฉกับสำนักรักษาความสงบคงโชคร้ายแน่แล้ว ไม่แน่ว่าแม้แต่จางกงกงเองก็พลอยโดนไปด้วย
การสืบสวนคดีพวกนิรนามนี้ถึงกับมีจุดจบปิดฉากเช่นนี้ เห็นได้ว่าได้ล่วงเกินคนในวังเข้าแล้ว นี่ยังจะมีประโยชน์อันใด……
วันที่ 30 เดือนหก คนของสำนักรักษาความสงบที่ส่งออกไปเก็บค่าป้ายสงบสุขถูกปฏิเสธกลับมาแบบนิ่มๆ หอฉินก่วนก็มีคนแสร้งว่าเมาโวยวายจะฉุดหญิงสาวสองสามนางกลับไป
ทุกคนรู้ว่านี่เป็นการลองใจ หากว่าสำนักรักษาความสงบอดทนไม่กล่าวอันใด ก็จะยิ่งเป็นการพิสูจน์ความคิดของตนที่วิเคราะห์ไว้ สำนักรักษาความสงบอ่อนกำลัง มีคนคิดจะพังอำนาจนี้
แม้กระทั่งเจ้าหน้าที่ของสำนักรักษาความสงบเองก็ถูกคนทั่วไปเย็นชาใส่ เก็บเงินไม่ได้ ตอนนั้นก็ได้แต่อดกลั้นกลับมา นางเล็กๆ ในหอฉินก่วนถูกแขกเมาสุราล่วงเกินก็แค่กล่าววาจาขอร้องเท่านั้น ไม่เหมือนเมื่อก่อนที่กล้าตำหนิ
เจ้ายอมอ่อนข้อให้หนึ่งนิ้ว ผู้อื่นก็จะแข็งกร้าวใส่หนึ่งเชี๊ยะ วิธีการนี้ทำให้คนในเมืองหลวงยิ่งมั่นใจในความคิดตน คนไม่น้อยเตรียมไว้ว่าวันรุ่งขึ้นจะไปหาเรื่องสำนักรักษาความสงบสักหน่อย
แต่พอวันรุ่งขึ้น พวกที่คิดมาหาเรื่องสำนักรักษาความสงบก็ต้องตกใจกลับไป ร้านค้าที่ไม่จ่ายค่าป้ายสงบสุขเมื่อหลายวันก่อนล้วนถูกเจ้าหน้าที่ศาลซุ่นเทียนสั่งปิดร้าน
แขกที่มาก่อเรื่องที่หอฉินก่วนก็ถูกผู้ค้มกันหอตีบาดเจ็บไป คิดจะไปฟ้องร้องก็ไม่มีทาง พวกที่มีที่พึ่งเบื้องหลังคิดหาคนออกมาต่อกร ก็ถูกข่าวในวังทำให้ต้องตกใจกลับไปแทน
หลานชายจางเฉิงแห่งสำนักส่วนพระองค์นามว่า จางผิง เป็นคนซื่อสัตย์ ได้รับเข้าดำรงตำแหน่งในสำนักองครักษ์เสื้อแพร ตำแหน่งนายกองธงใหญ่ ประจำถนนทักษิณ
ขันทีใหญ่ในสำนักส่วนพระองค์ถือเป็นอันดับสองหรือสามในวัง ภูเขาทองทะเลเงินย่อมไม่ต้องพูดถึง อำนาจนี้เท่ากับว่าเป็นถึงรองอำมาตย์ในคณะเสนาบดีใหญ่ ในวังย่อมไม่มีตำแหน่งใดมอบให้ได้อีกแล้ว ตามธรรมเนียม ล้วนตำแหน่งระดับนี้ย่อมส่งเสริมหลานเข้าดำรงตำแหน่งในสำนักองครักษ์เสื้อแพรหรือไม่ก็สำนักบูรพา อย่างเช่นเฝิงโหย่วหนิง หลานชายเฝิงเป่าที่ได้เป็นถึงนายกองพันสำนักบูรพา
มีกำบังเช่นนี้ มีราชโองการพระเมตตาเช่นนี้ ทุกคนรู้ว่าในวังคิดอย่างไรกับจางกงกงแล้ว ไหนเลยมีภัย เห็นชัดว่าได้รับความโปรดปรานมากขึ้นไปอีก
ไม่ต้องพูดถึงอีกสายข่าวที่แพร่ออกมาว่า ไทเฮาฉือเซิ่งกับฮ่องเต้ล้วนตรัสชมจางกงกง สถานะจางเฉิงมั่นคง หรือถึงขึ้นเพิ่มมากขึ้น
สำนักรักษาความสงบในอำนาจสั่งการของจางเฉิงก็ย่อมมั่นคง ไม่ได้โชคร้ายหรือพลอยซวยไปอย่างที่ว่ากันก่อนหน้า หรือบางทีการปรับเบี้ยหวัดหลี่ว์วั่นไฉก็แค่ปรับไป ไม่ได้มีโทษอื่นใดอีก
พวกที่ยอมจ่ายค่าป้ายสงบสุขไปก็ย่อมไร้ภยันตราย พวกที่แข็งข้ออยากจะร่ำไห้ก็ไม่ทันการณ์เสียแล้ว ครั้งนี้ไม่โดนปรับเงินหลายเท่าก็ต้องทำเรื่องเปิดกิจการใหม่
สำนักรักษาความสงบสั่งการไว้ว่าหากแข็งข้อให้ปิดร้านทิ้ง เจ้าของร้านนั้นไม่ให้เปิดร้านในเมืองหลวงอีก หลงจู๊และคนงานไม่ให้ทำงานในเมืองหลวงต่อ สำหรับพวกนักเลงที่มาหาเรื่องที่หอฉินก่วน ก็ให้คนจากสำนักองครักษ์เสื้อแพรไป ‘เยี่ยมเยือน’ ถึงบ้านสักหน่อย ปรากฏว่าพวกนั้นวันรุ่งขึ้นก็เป็นไข้หวัดติดต่อกัน อยู่บ้าน ‘พักรักษาตัว’ กันหมด ไม่ก็ ‘คิดถึงบ้านเกิด’ ออกจากเมืองหลวงไป
ไม่เปิดร้านที่เมืองหลวง ไปเทียนจินก็ได้ ไม่ทำมาหากินเมืองหลวง ใต้หล้าก็ยังมีงานทำเงินอีกมากมายให้ทำ ส่วนพวกที่แกล้งมาหาเรื่อง ก็ตักเตือนไปเท่านั้น
เมื่อสถานการณ์เป็นเช่นนี้ แม้ว่าหลี่ว์วั่นไฉถูกปรับเบี้ยหวัด แม้ว่านอกเมืองสืบคดีนิรนามถูกให้ถอนกำลังกลับ แต่ สำนักรักษาความสงบก็ยังคงไม่ใช่ที่ผู้ใดจะมาหาเรื่องกันได้อยู่เหมือนเดิม
***********
สำนักรักษาความสงบยังคงเกรียงไกร แต่คนทำงานที่นี่ล้วนอารมณ์ไม่ดีนัก ผู้ช่วยเจ้ากรมแห่งศาลซุ่นเทียนหลี่ว์วั่นไฉลาป่วยครึ่งเดือน โจวอี้ทั้งวันก็ยุ่งแต่งานในสำนักส่วนพระองค์ เวลาออกมานอกวังน้อยลงไปมาก
สีหน้าหลี่เหวินหย่วนเย็นชาได้ทุกวัน แต่ก็เหมือนปกติ พอมีเวลาว่างก็จะไปดื่มทีห่อรุ่งเรือง งานที่ถนนทักษิณก็มอบให้นายกองร้อยเถียนหรงหาวไปจัดการเหมือนเดิม
วันที่ 15 เดือนเจ็ดต้องจัดงานพิธีเซ่นไหว้ดวงวิญญาณในวันสารทจีน จิตใจทุกคนย่อมหดหู่ไม่น้อย สำหรับเจ้าหน้าที่ในสำนักรักษาความสงบที่เดิมจิตใจก็ไม่สู้ดีอยู่แล้ว ก็ยิ่งสลดลงไปใหญ่
วันที่ 16 เดือนเจ็ด หลี่เหวินหย่วนก็อยู่รอนายกองร้อยสังกัดมารายงานตัวที่บ้านเสร็จก็แยกย้ายกันไปทำงาน เขาก็ไปวนตรวจที่เดิม คิดว่าพอสมควรแก่เวลาแล้ว ก็ไปหอรุ่งเรือง มองซ้ายขวาแล้วก็สงบดี งานน้อย กลางวันดื่มสักจอกสองจอก็ผ่อนคลายดี
หอรุ่งเรืองเป็นพื้นที่ของสำนักรักษาความสงบเอง เถ้าแก่พอเห็นหลี่เหวินหย่วนมาก็ย่อมทักทายเป็นปกติ มีที่นั่งเฉพาะไว้รอรับ รู้ความต้องการในรสชาติอาหารของหลี่เหวินหย่วนดี พอนั่งลงสุราอาหารก็พร้อมสรรพตรงหน้า
แต่วันนี้พอเข้ามา ก็มีคนงานคนหนึ่งหน้ำตาไม่คุ้นเคย คำนับกล่าวว่า
“ใต้เท้าหลี่ เชิญด้านใน!”
หลี่เหวินหย่วนจ้องมองเขาก่อนจะพยักหน้า และยังกวาดตามองไปยังหลงจู๊และคนงาน เดินตามคนผู้นั้นไป พออกมาจากประตูหลัง ก็เห็นเบื้องหน้าเป็นเรือนเดี่ยว คนผู้นั้นหันมากระซิบว่า
“ใต้เท้าหวังรอท่านอยู่ที่เรือนอวิ๋นไห่!”
หลี่เหวินหย่วนอึ้งไป มองไปด้านหน้า ก่อนจะพยักหน้า เก็บดาบสั้นที่ชักออกมาเข้าอกเสื้อดังเดิม เดินไปยังเรือนเดี่ยวด้านหน้า เห็นประตูเชียนด้วยขี้เถ้าขาวว่า “จิน” เห็นสัญลักษณ์นี้แล้ว หลี่เหวินหย่วนจึงได้วางใจ ผลักประตูเข้าไป
ในลานด้านหน้ามีชายฉกรรจ์สิบกว่าคนรออยู่ เรือนไม่ใหญ่นัก คนมากมายเบียดเสียดกัน หลี่เหวินหย่วนแปลกใจ ในใจคิดว่าไยต้องใหญ่โตเช่นนี้ เบียดเสียดเยี่ยงนี้ หากเกิดเรื่องใดย่อมรับมือยาก
“ใต้เท้าหวัง เมืองหลวงสถานการณ์เช่นนี้ ท่านมาที่นี่ หากมีผู้ใดพบเห็น ไม่ใช่ว่าเป็นเรื่องยุ่งยากหรอกหรือ!”
พอเข้าไปในห้อง บนโต๊ะมีกับแกล้มง่ายๆ อยู่ 2-3 อย่าง หวังทงลุกขึ้นยิ้มรับ หลี่เหวินหย่วนอย่างไรก็อายุมากกว่า ยังมีสายสัมพันธ์เป็นอาจารย์ที่ลานฝึกหู่เวย อดไม่ได้กล่าวว่า
“เมืองหลวงทุกอย่างสงบดี มีเรื่องยุ่งยากใดหรือ?”
หวังทงยิ้มรับถามกลับกับการบ่นไม่สบายใจของหลี่เหวินหย่วน หลี่เหวินหย่วนถอนหายใจ ส่ายหน้าอย่างไม่รู้ทำเช่นไรกล่าวว่า
“ใต้เท้าหวังรู้แล้วยังถาม ระยะนี้ใต้เท้าหลี่ว์ถูกปรับเบี้ยหวัด พวกเราสืบคดีนิรนามนอกเมืองถูกคำสั่งให้ถอนกำลังกลับ เมืองหลวงย่อมเป็นปรปักษ์กับเรา! ใต้เท้าเป็นขุนนางบู๊ ผละออกจากที่ประจำการ หากมีผู้ใดรู้ หาเรื่องขึ้นมา ย่อมมิใช่ว่ายุ่งยากหรอกหรือ”
หวังทงยกมือกดลง กล่าวสบายๆ ว่า
“นั่งลงก่อน นั่งก่อน รอพวกเขาสองคนมาก่อน”
พอทั้งสองนั่งรอ ไม่นาน หลี่ว์วั่นไฉก็ขี่ม้ามาถึง พอเข้ามาเห็นหวังทงก็ตกใจไปครู่หนึ่ง หลี่เหวินหย่วนยามนี้กลับคิดเรื่องอื่น หวังทงจากเมืองหลวงไปตอนสำนักรักษาความสงบเพิ่งก่อตั้งเป็นรูปร่าง และยามนั้นเขายังไม่มีอำนาจใด
หากพอไปเทียนจิน อำนาจของสำนักรักษาความสงบก็ค่อยๆ เป็นของพวกเขาสามคนและจางเฉิง แม้กล่าวว่า สำนักรักษาความสงบย่อมทำตามอย่างสุดกำลัง แต่กำลังในเมืองหลวงที่เป็นของหวังทงแท้จริงนั้นมีไม่มาก แต่การมายังหอรุ่งเรืองอย่างไรสำเนียงในวันนี้ และยังแจ้งข่าวไปยังทุกคนได้ ดูเหมือนว่าไม่เป็นดังที่เขาคิดไว้เสียแล้ว
หลังอาหารกลางวัน โจวอี้ก็รีบมา พอเข้ามาใหน้อง โจวอี้ก็กล่าวได้อ้อมค้อมกว่าที่กล่าวกับหลี่เหวินหย่วนวันนั้นไม่น้อย กล่าวว่า
“ใต้เท้าหวังในยามนี้ต้องระวังรอบคอบหน่อยเป็นดี ข้างนอกมีสายมากมาย เกรงว่าจะมีคนสังเกตพบเข้า”
หวังทงไม่ตอบ หากหันไปพยักหน้าให้ทหารติดตามด้านนอกประตู ให้ยกสุราอาหารเข้ามา
ไม่นานสุราอาหารก็เต็มโต๊ะ เป็นอาหารชั้นเลิศหอรุ่งเรือง อาหารมากมาย แต่พวกหลี่ว์วั่นไฉกลับยิ่งงง หวังทงลุกขึ้นรินสุราให้เขาสามคน จากนั้นรินให้ตนเอง ยกจอกสุราขึ้นยิ้มกล่าวว่า
“ข้ามาเมืองหลวงครานี้ ก็เพื่อยินดีกับท่านทั้งสาม มา พวกเรามาชนจอกนี้กัน!”
ได้ยินวาจาหวังทง ทุกคนก็ยิ่งงง ในยามกำลังไม่เข้าใจนี้ ไม่รู้ว่ายินดีเรื่องใดกัน แต่ก็ตามมารยาทต้องดื่มสุราจอกนี้
“ย่อมยินดีที่พวกท่านสืบหาความจริงได้ หากไม่ใช่แล้วไหนเลยจะมีแรงกระแทกมุ่งโจมตีมายังท่านทั้งสามได้”